ตอนที่แล้วตอนที่ 06   การค้าเฟื่องฟู
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 08 ทักษะ [ลอบโจมตี]

ตอนที่ 07 รีดไถเงิน


ตอนที่ 07   รีดไถเงิน

 

ผู้แปล  :  ThreeSwords

ปรับสำนวน  :  ThreeSwords

 

 

“เงินพวกนี้หมายความว่าอะไร  ฉินฟาง?”

 

ขณะที่ถังเฟยเฟยกำลังดีใจกับฉินฟาง  แต่เมื่อเห็นเขาแบ่งเงินใบหน้าอันสวยงามของเธอก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง  เธอตั้งคำถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

 

“ถังเฟยเฟย  ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเธอแล้ว  ผมน่าจะไม่สามารถตั้งร้านขายบะหมี่นี้ขึ้นมาได้  แถมยังมาช่วยผมทำงานตลอดทั้งบ่าย  ดังนั้นเงินพวกนี้เป็นสิ่งที่เธอสมควรได้รับ”

 

ใบหน้าของฉินฟางสงบนิ่งเป็นอย่างมาก  ถึงแม้ว่าเขาจะเกิดในครอบครัวที่ยากจนแต่ก็ไม่ลดตัวลงไปเอาเปรียบคนอื่น  ร้านขายบะหมี่นี้สามารถพูดได้ว่าทั้งฉินฟางและถังเฟยเฟยเป็นคนเริ่มสร้างมาด้วยกัน  เพราะฉะนั้นการแบ่งรายได้จึงเป็นเรื่องธรรมดา

 

“ฉินฟาง  นาย...”

 

หลังจากได้ยินคำพูดของฉินฟางแล้ว  สีหน้าของถังเฟยเฟยก็มีความรู้สึกที่สั่นไหวขึ้นมาวูบหนึ่ง  ทำให้ผู้คนสามารถรับรู้ได้อย่างลางๆ ว่าเธอกำลังเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นเนื่องจากความโกรธ  แต่พอมองไปยังดวงตาที่กระจ่างใสของฉินฟางและใบหน้าที่จริงใจของเขาแล้ว  เธอก็อดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดนั้นเอาไว้

 

“ฉันจะรับเงินนี้ไว้แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้  ร้านขายบะหมี่เพิ่งจะเริ่มเปิดจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จำเป็นต้องใช้เงิน  นายเก็บเงินพวกนี้ไว้ก่อนและทำเหมือนว่าฉันกำลังลงทุนให้กับร้านนี้  อย่างน้อยก็จนกระทั่งการค้าเริ่มอยู่ตัวก่อนที่จะทำการแบ่งผลกำไร”

 

“ก็ได้...”

 

สิ่งที่ถังเฟยเฟยพูดมันยากที่ฉินฟางจะหาเหตุผลมาปฏิเสธข้อเสนอของเธอ  อุปกรณ์ที่ร้านใช้อยู่ในตอนนี้ล้วนหยิบยืมมา  ถ้าเอามาใช้วันสองวันหรือกระทั่งสามถึงห้าวันแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร  แต่ในกรณีเจ้าของเดิมต้องการจะใช้งานพวกมันแล้ว  จึงเป็นไปไม่ได้สำหรับฉินฟางที่จะไม่ส่งคืน  และในท้ายที่สุดนั่นอาจจะหมายถึงการปิดตัวลงร้านขายบะหมี่  ซึ่งเห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ฉินฟางหวังไว้

 

จากแนวโน้มการขายที่แสดงให้เห็นในวันแรก  ยอดขายยังถือว่าไม่เลว  ตราบเท่าที่เขามุ่งมั่นทำงานแล้ว  ก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิดเรียนฉินฟางมั่นใจว่าสามารถหาเงินได้มากพอจ่ายค่าเล่าเรียน  และกระทั่งมีเหลือไว้ให้แม่ของเขาด้วย

 

ดังนั้นการตั้งร้านขายบะหมี่จึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวันที่สำคัญของฉินฟางกับถังเฟยเฟย  ฉินฟางทำเพราะต้องการเงิน  ขณะที่ถังเฟยเฟยบอกพ่อแม่ของเธอว่าต้องการทำงานเพื่อหาเงินพร้อมกับได้รับประสบการณ์ทำงานควบคู่ไปด้วย  เพราะในไม่ช้านี้เธอกำลังจะไปเข้าเรียนหลักสูตรการจัดการที่มหาวิทยาลัยหนิงไห่  ทำให้เหตุผลที่เธอยกมาฟังขึ้นเป็นอย่างมาก

 

หลังจากเขาตั้งรกรากอยู่ที่แห่งนี้  การค้าของฉินฟางก็ดีวันดีคืน  และเมื่อฉินฟางกับถังเฟยเฟยทำงานยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน  ผลกำไรที่ได้ในแต่ละวันย่อมเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา  จากกำไรวันละ 400 หยวนในตอนเริ่มต้นก็ค่อยๆ เพิ่มเป็น 600 หยวน  และบางครั้งก็สูงมากกว่านั้น  รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของคนทั้งสองจึงเริ่มที่จะสดใสมากขึ้นทีละน้อย

 

ถ้าแนวโน้มยอดขายยังเป็นแบบนี้ต่อไป  ไม่เพียงฉินฟางจะสามารถจ่ายเงินค่าเล่าเรียนของเขาได้  กระทั่งตัวของถังเฟยเฟยเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ครอบครัวเธอจ่ายให้ด้วย  สำหรับคนทั้งสองที่ยังไม่ได้เข้ามาในสังคมการทำงานแล้ว  นี่คือความสำเร็จที่คุ้มค่าต่อการเฉลิมฉลอง

 

ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็กลายมาเป็นใกล้ชิดกันมากขึ้นเนื่องจากความร่วมมือในครั้งนี้  ลูกค้าประจำที่อยู่ใกล้ตลาดทางด้านประตูทิศใต้ชอบพูดหยอกล้อพวกเขา  และมักจะบอกเสมอว่าที่ฉินฟางได้แฟนสาวที่สวยงามและขยันทำงานเช่นนี้เป็นผลมาจากการทำงานหนักของเขาในชาติที่แล้ว

 

ตอนแรกฉินฟางกับถังเฟยเฟยจะพูดอธิบายด้วยใบหน้าที่แดงสดใสว่าพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน  แต่หลังจากจำนวนคนและความถี่ในการพูดหยอกล้อเช่นนี้เพิ่มขึ้น  พวกเขาก็กลับกลายเป็นคุ้นเคยกับคำพูดพวกนี้ไป  ตอนนี้เมื่อถูกพูดหยอกล้อพวกเขาก็จะทำเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอธิบายอะไรอีก

 

ดังนั้นด้วยข่าวลือที่แพร่กระจายไปโดยลูกค้าทั้งหลาย  ฉินฟางกับถังเฟยเฟยจึงกลายเป็นคู่รักทำเส้นบะหมี่

 

ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงจึงเป็นธรรมดาที่จะถูกผู้คนอิจฉา  ดังนั้นภายในหนึ่งสัปดาห์ที่ฉินฟางทำการเปิดร้าน  พื้นที่รอบบริเวณร้านซึ่งถือว่าไม่ใหญ่มากนักก็มีแผงลอยขายของว่างหลายร้านเริ่มเปิดขึ้นมา  และตั้งเป็นตลาดของว่างเล็กๆ อยู่รอบร้านของฉินฟาง

 

แต่นี่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผงขายบะหมี่ของฉินฟางมากนัก  อาจเป็นเพราะเหตุที่ว่าราเม็งของเขาอร่อยมากขึ้นเรื่อยๆ จึงยังทำให้ขายดีอยู่เสมอ  ถึงแม้ว่าการค้าของแผงขายของว่างอื่นจะไม่เลวแต่เมื่อเปรียบเทียบกับของฉินฟางแล้วก็ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

 

“เฮ้ย... เจ้าของร้าน!  ทำไมถึงมีแมลงอยู่ในชาม?”

 

“ใช่แล้ว!  ตัวใหญ่ซะด้วย...”

 

“แกหวังจะให้พวกข้ากินบะหมี่ชามนี้ต่อไปยังไง?”

 

ในคืนนี้ฉินฟางกับถังเฟยเฟยยุ่งจนหัวหมุน  อาจเป็นเพราะการค้าในคืนนี้ดีเกินไป  กระทั่งฟ่านเจี่ยเจียที่ชอบมากินฟรีที่ร้านของฉินฟางก็ยังเริ่มเข้ามาช่วยในร้านอย่างน่าประหลาดใจด้วย  อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขากำลังทำงานตัวเป็นเกลียวอยู่นั้น  ลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งกินอยู่จู่ๆ ก็เริ่มตะโกนขึ้นมา

 

“มีแมลงได้ยังไงกัน?  อาหารที่นี่ไม่ถูกสุขลักษณะงั้นเหรอ?”

 

ร้านขายอาหารแผงลอยโดยปกติแล้วก็ไม่ได้ถูกสุขลักษณะมากนัก  ถึงแม้ว่าฉินฟางกับถังเฟยเฟยจะดูแลเป็นพิเศษแล้วก็ตาม  มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นที่ไหนสักแห่ง  ตอนที่เขาได้ยินเสียงตะโกนนั้นจึงได้หยุดสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนั้นและเดินตรงไปยังกลุ่มลูกค้าที่ส่งเสียงดัง

 

กลุ่มลูกค้าที่ตะโกนเกี่ยวกับเรื่องแมลงเป็นชายหนุ่มสามคน  พวกนั้นสวมเสื้อผ้าที่ดูฉูดฉาดแปลกๆ และผมก็ถูกย้อมจนเป็นสีเหลืองหรือไม่ก็เขียว  สีสันดูบาดตามาก  ท่ามกลางคนพวกนั้นมีชายคนหนึ่งที่ตัวของเขาผอมกระหร่องเป็นอย่างมากแต่ก็ยังสวมเสื้อทีเชิ้ตแขนกุด  และบนแขนของเขาก็มีรอยสักรูปมังกรสีน้ำเงิน

 

ฉินฟางไม่เคยสนใจเกี่ยวกับความเป็นมาของชายสามคนนั้น  ในเมื่อพวกนั้นเข้ามากินที่นี่แล้วก็ถือว่าเป็นลูกค้า  และเขาก็ไม่อาจที่จะไล่ลูกค้าไปได้ด้วย  เมื่อมองไปยังชามบะหมี่ที่มีแมลงซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ  เขาไม่รู้ว่าแมลงที่ลอยอยู่นั้นเป็นสายพันธุ์ไหน  แต่ตัวของมันใหญ่มากและมีสีดำจนเห็นได้เด่นชัด

 

ถ้ามันเป็นแมลงสีขาวขนาดเล็กแล้ว  เป็นไปได้ที่ฉินฟางอาจจะไม่สังเกตเห็น  แต่สำหรับแมลงสีดำตัวใหญ่ขนาดนี้ล่ะ?  กระทั่งคนที่สายตาไม่ดีก็ยังสามารถสังเกตเห็นได้  ฉินฟางเป็นคนทำเส้นบะหมี่ที่มีขนาดเล็กกว่าแมลงตัวนี้เป็นล้านๆ เท่า  แล้วเขาจะไม่สังเกตเห็นได้ยังไงถ้ามีแมลงตัวใหญ่ขนาดนี้?

 

ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ  สามคนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกอันธพาล  และมาที่นี่เพื่อก่อปัญหา

 

“เจ้าของร้าน  แมลงตัวใหญ่ขนาดนี้  แกต้องการให้พวกข้าตายจากอาหารเป็นพิษหรือยังไง?!  แกตอบพวกข้ามาให้ดีๆ นะ  ไม่งั้นแล้วแกอย่าคิดว่าจะตั้งร้านอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป”

 

เสียงต่อว่าอย่างรุนแรงดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  อันธพาลหนุ่มที่มีรอยสักทุบโต๊ะอย่างหนักและพูดอย่างโมโหโทโส  เสียงที่ใช้นั้นค่อนข้างดัง  จึงทำให้ลูกค้าซึ่งอยู่รอบๆ ที่ไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมสังเกตเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

“เหลาซูเฉียง!  แกกำลังรนหาที่ตายหรือยังไง  ห๊า?  ถ้าแกต้องการรีดไถเงินก็พูดมา  ทำไมต้องใช้อุบายแบบนี้?  แกกำลังวางแผนที่จะทำอะไร?”

 

ขณะที่ฉินฟางกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกไป  ฟ่านเจี่ยเจียที่ช่วยงานอยู่ด้านข้างก็เกรี้ยวกราดในทันทีและเดินเข้ามาก่นด่าอันธพาลพวกนั้นเสียงดัง  เห็นได้ชัดว่าเธอรู้จักพวกอันธพาลนี้

 

“อ้าว... นี่ฟ่านเจี่ยเจียไม่ใช่เหรอ?  ทำไมถึงมาติดแหมะอยู่กับเจ้าเด็กนี่ล่ะ?  มันเป็นผัวใหม่ของพี่หรือไง?”

 

เหลาซูเฉียงเป็นอันธพาลจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่เกรงกลัวฟ่านเจี่ยเจีย  และยังพูดล้อเลียนเธออย่างเพลิดเพลิน  ส่วนอันธพาลอีกสองคนซึ่งนั่งอยู่ข้างเขาก็ลุกขึ้นยืน  แสดงใบหน้าที่ส่งกลิ่นเหม็นและมีเจตนาชั่วร้าย

 

“แกกำลังรนหาที่ตาย  เหลาซูเฉียง...”

 

ถึงแม้ว่าฟ่านเจี่ยเจียจะชอบเอาเปรียบคนอื่น  แต่ฉินฟางก็รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิในตัวเอง  ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงมองหาผู้ชายคนอื่นไปนานแล้วหลังจากที่หย่า  ในตอนนี้เมื่อเหลาซูเฉียงพูดดูถูกเธอเช่นนี้  จึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่รู้สึกโมโห

 

หลังจากที่พูดออกไป  ฟ่านเจี่ยเจียที่พลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธก็รีบเร่งที่จะวิ่งเข้าไปฉีกปากของเหลาซูเฉียง

 

“เจี่ยเจีย  ช่างมันเถอะครับ  เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องนี้เอง...”

 

ฉินฟางไม่กล้าปล่อยให้เธอไปทุบตีพวกนั้น  เพราะถ้าไปมีเรื่องกับพวกอันธพาลแล้วก็เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาในการที่จะค้าขายที่นี่ต่อไป  แต่ในขณะที่เขาดึงตัวของฟ่านเจี่ยเจียไว้  ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเขาได้มีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป  ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดมากๆ  และก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน

 

 

………………………….

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด