ตอนที่แล้วWOC บทที่ 6 - อันตรายอย่างยิ่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWOC บทที่ 8 - การเปลี่ยนแปลง

WOC บทที่ 7 - ข้าจะรอเจ้า


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/WorldofCultivation/

บทที่ 7 - ข้าจะรอเจ้า

เมื่อตื่นขึ้นมาจากการฝึกลมปราณ จั้วโมรู้สึกได้ว่าทั้งจิตวิญญาณและร่างกายของเขานั้นกระปรี่กระเปร่าอย่างมาก ร่างกายของเขานั้นรู้สึกเบาลงและสะดวกสบายอย่างมาก

เมื่อออกมาจากห้องที่เงียบสงบ เขาก็หยิบกล่องเสียงขึ้นมาและกระโดดขึ้นไปบนหลังคา

เขาเอื้อมนิ้วมือออกไป และเริ่มขับเคลื่อนความคิด ทันใดนั้นแสงสีทองจาก [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ก็ปรากฏขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย จั้วโมรู้สึกเป็นสุขอย่างมาก เขาไม่จำเป็นต้องกินอาหารใดๆ เห็นได้ชัดว่าการควบคุม [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ของเขาทำได้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ

[เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ที่โคจรอยู่รอบ ๆ นิ้วของเขาบิดเบี้ยวไปมาอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมันหยุดลง มันส่องแสงเฉกเช่นเดียวกับแสงจากดวงดาวบนฝากฟ้า ส่องประกายดุจทรายสีทองเล็กๆมากมายที่ส่องประกายสวยในที่มืด

ความคิดบางอย่างจู่ ๆ ก็ปรากฎขึ้นในหัวของเขา [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] เป็นเคล็ดวิชาที่ใช้โจมตีด้วยหรือไม่?

การต่อสู้ที่ไม่รุนแรงในครั้งก่อนส่งผลให้เกิดความคิดนี้ขึ้น

แต่ จากสิ่งที่เขาเข้าใจเกี่ยวกับชาวนาที่ปลูกพืชหลิง อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ไม่ได้เชี่ยวชาญการต่อสู้ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องของชาวนาผู้ปลูกพืชหลิงที่มีความสามารถในการต่อสู้ นอกจากนี้เขาไม่ใช่คนเดียวในนิกายที่รู้จัก [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ทุกคนต่างมีพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน จั้วโมเองก็สามารถเรียนรู้ได้ถึงขั้นที่ 3 ของ [เคล็ดเมฆาฝนโปรย] ซึ่งหลายคนก็ต่างมีความสามารถในด้านเคล็ดวิชาอื่น ๆ

ในสาวกของนิกายชั้น เหล่าศิษย์พี่ทั้งหลายต่างก็บรรลุขั้นที่ 2 ของ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ไม่ใช่แค่ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] แม้กระทั่ง [เคล็ดพฤกษาพรรณา], [เคล็ดพลังพสุธา] และ [เคล็ดอัคคีเพลิงเดือด] ทุกคนต่างก็ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาเหล่านี้ แม้จะไม่บรรลุในขั้นที่สูงมากนักก็ตาม

หรือเขาคิดอะไรผิดไป?

คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของจั้วโมอยู่ตลอดเวลา

แต่เขาก็สลัดความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว เขาหยิบกล่องเสียงขึ้นมา และถ่ายพลังปราณหลิงเข้าไปข้างในและวางไว้ข้างๆเขา

จั้วโมนอนหนุนแขน พลางเหม่อมองไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ หัวใจของเขาค่อยๆสงบลงช้าๆ ลมหนาวพัดผ่านอย่างนุ่มนวลจนไม่อาจกล่าวเป็นคำพูดใดๆออกมาได้ เสียงที่ถูกบรรลุอยู่ภายในกล่องเสียงดังออกมาช่วยกล่อมให้จั้วโมนอนหลับสบายยิ่งขึ้น

วันรุ่งขึ้นเขาก็ยังคงออกไปเรียกเมฆฝนเพื่อทำไร่ยาตามที่เขาได้ตกลงกับศิษย์พี่เอาไว้ ก่อนที่เขาจะกลับไปยังไร่ของเขาเอง

เมื่อเดินผ่านไปตามทุ่งหลิง และเมื่อเขามองไปที่แนวของเหล่าพืชหลิง มันยิ่งทำให้เขาคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา

หลังจากลังเลชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจที่จะลองดูสักครั้ง

มือของเขาสัมผัสกับเมล็ดพืชหลิง [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ซึมซับเข้าสู่ก้านหลิงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเมื่อวาน จิตใต้สำนึกของจั่วโมก็เริ่มเชื่อมต่อกับ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง]

ภายในเวลาชั่วพริบตา [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ก็พบเหล่าเพลี้ยมากมาย จั้วโมเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เนื่องจากความโหดร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ทำให้เขายังคงรู้สึกตื่นตระหนกไม่หาย

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในวันนี้ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ไม่ถูกต่อต้านเลยแม้แต่น้อย เพลี้ยอ่อนทั้งหมดถูกบดขยี้จนเป็นฝุ่นผงในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในการจู่โจมครั้งเดียว และไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?

เขาฉงนงงงวยอย่างมาก เขาเอื้อมมือไปจับก้านของต้นหลิงต้นอื่น ทุกอย่างก็เป็นไปเช่นเดียวกัน หรือว่าก้านหลิงในวันนี้แตกต่างจากเมื่อวาน? เขาส่ายหน้า ก้านของเมื่อวานกับวันนี้มันไม่ได้มีอะไรที่ต่างกันเลย

แล้วมันผิดพลาดตรงไหนกัน?

เขาวิ่งไปที่ก้านหลิงที่จุดเดิมของเมื่อวานนี้เพื่อตรวจสอบอีกครั้ง ผลคือมันไม่มีความแตกต่างใดๆเลย อย่างไรก็ตามเขาพบว่าใบอ่อนเมล็ดหลิงนั้นเติมโตดีกว่าของเมื่อวาน ใบของมันเต็มไปด้วยสีเขียวขจี ซึ้งซากเพลี้ยมากมายไปกลายเป็นอาหารแก่เหล่าพืชหลิง จากประสบการณ์ปลูกพืชกว่าสองปีเขา เขาได้คาดการไว้ว่าผลผลิตของเมล็ดหลิงนี้จะต้องมากมายกว่าปีที่ผ่านๆ มาอย่างแน่นอน

จั้วโมรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง คำถามเกี่ยวกับว่า [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] นั้นเป็นเคล็ดวิชาจูโจมหรือไม่ ได้ถูกโยนทิ้งไป

อะไรจะดีไปกว่าผลผลิตที่เพิ่มขึ้นกันล่ะ? พืขหลิงคือแหล่งกำเนิดพลัง และแหล่งกำเนิดพลังก็สามารถเปลี่ยนรูปเป็นยุทธภัณฑ์เวทย์หรือแม้กระทั่งคาถาคำภีร์

จั้วโมทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการจัดการกำจัดศัตรูพืชในไร่หลิง ทุ่งไร่ทั้ง 5 มูของเขาจะไม่มีสักก้านหลิงเดียวที่เขาจะพลาดไป

สิบวันผ่านไป นอกเหนือจากการไปที่ทุ่งยาและทุ่งนาเพื่อให้เรียกฝนให้ตกแล้ว เขายังคงใช้ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] เพื่อดูแลเหล่าก้านหลิง เมื่อเขาใช้พลังปราณหลิงในตัวจนแห้งเหือด เขาก็วิ่งเข้ากลับไปยังห้องที่เต็มไปด้วยเส้นหล่อเลี้ยงพลังหลิงเพื่อพลิกฟื้นพลังจากนั้นเขาก็จะออกมาทำแบบเดิมซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า จนเกือบหมดสติจากการใช้ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง]

หลังจากที่ตรวจสอบใบอ่อนของต้นหลิงด้วย [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] เขาก็ยังคงนั่งมองไปที่ทุ่งหลิงที่ต้องดูแล การเจริญเติบโตเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ เหล่าพืชหลิงเต็มไปด้วยด้วยสีเขียวขจีและทุกต้นต่างอวบอ้วน จนจั้วโมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก

เขาไม่ใช่คนเดียวที่ได้เรียนรู้ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] แต่คงไม่มีใครบ้าเช่นเดียวกับเขา เพื่อตรวจสอบเมล็ดหลิงจนครบทุกก้านจะต้องใช้พลังปราณอันมหาศาล!!! โดยปกติคนส่วนใหญ่จะใช้ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ก็ต่อเมื่อพวกเขาพบต้นหลิงที่ติดเชื้อโรคแล้วเท่านั้น

หากเขาไร้ซึ่งห้องที่เต็มไปด้วยเส้นหล่อเลี้ยงพลังหลิง จั้วโมเองก็คงไม่กล้าที่จะทำแบบนี้

สิบวันที่ต้องทำงานอย่างหนักหน่วง ร่างกายหรือจิตใจของจั้วโมในตอนนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

สิ่งที่เขาอยากทำในตอนนี้คือ การเดินกลับไปที่ห้องแล้วนอนหลับให้สบาย

ขณะที่เขาเตรียมที่จะเดินกลับ นกกระเรียนกระดาษน้อยสีชมพูก็บินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

"โว้ววว!" จั้วโมรู้สึกว่ามันดูคุ้นเคยอย่างมาก หลังจากคิดเป็นเวลานาน เขาก็นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นกระเรียนกระดาษพันหลี้ที่เขาเก็บมาเมื่อสิบวันก่อน ตอนที่เขาทำความสะอาดไร่

นี้มันไม่ถูกต้อง นกกระเรียนกระดาษพันลี้โดยทั่วไปจะไม่สามารถหาตำแหน่งเองได้ หากไร้ซึ่งตราประทับสำหรับนำทาง ซึ่งในครั้งที่แล้ว นกกระเรียนกระดาษตัวนี้มีตราประทับของเจ้าของเดิมอยู่ ซึ่งถ้าหากถ่ายเทพลังหลิงเข้าสู่ตราประทับ มันก็จะสามารถบินกลับไปสู่เจ้าของเดิมได้

แต่จั้วโมไม่ได้ทิ้งตราประทับใดๆไว้เลย!

แม้ว่าตราประทับในครั้งนั้นจะมีพลังงานหลิงหลงเหลืออยู่ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าเป็นเขา จั้วโมเลยไม่เขียนคำใดๆลงไป โดยอาศัยพลังปราณหลิง

ในครั้งแรกที่มันบินมาหาเขา เขาคิดว่ามันเป็นเพียงแค่โชค แต่ในครั้งที่สองที่มันบินกลับมาหาเขา มันคงไม่อาจอธิบายด้วยคำว่าโชคได้อีกแล้ว

มันช่างเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนัก!!!!

นกกระเรียนกระดาษพันลี้ยังคงบินลอยอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนที่จั้วโมจะเอื้อมมือไปคว้ามันมา

และพามันเขาไปในห้องของเขา

จั้วโมนั่งอยู่บนเสื้อ พลางหยิบคลี่กระเรียนกระดาษพันลี้ออกมา

กระดาษสีชมพูถูกคลี่ออก บนกระดาษมีตัวอักษรสองตัวเขียนอยู่เหมือนครั้งก่อน

เมื่อตัวอักษรทั้งสองคำเข้าผ่านการรับรู้ของเขา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!

หลังเย็นยะเยือกเค้าครอบคลุมไปทั่วร่างของจั้วโม ความรู้สึกอันตราย ทำให้เส้นขนบนร่างกายลุกชัน เหมือนคมกระบี่กำลังจ่อที่ลำคอ ความเย็นจากคมกระบี่ เจาะผ่านทะลุชั้นผิวหนังอย่างรวดเร็วและกระจายไปทั่วร่างกาย

ให้ตายเถอะ ทำไมข้าถึงขยับตัวไม่ได้!

ดวงตาของชายหน้าผีเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ร่างกายของจั่วโมถูกคุกคามด้วยความหนาวเหน็บจากคมกระบี่ จนเขาไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว!

นี้คือผลกรรม? การแก้แค้น? หรือเรื่องตลก?

เขาไม่ได้มีเวลามากพอที่จะให้คิดเรื่องนี้ เขาเป็นเหมือนสัตว์ที่ถูกกุมขัง สัญชาตญาณเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่คือการต่อสู้! เขาพยายามต่อสู้เพื่อที่จะกลับมาควบคุมร่างกายตัวเองอีกครั้ง เขาพยายามโคจรพลังปราณหลิงที่อยู่ในร่างกาย แต่มันก็ไร้ผล ร่างกายของของเขายังคงไร้การเคลื่อนไหว

ความหนาวเหน็บยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่หิวกระหายอยู่ข้างกายของจั่วโม จั่วโมเริ่มอ้าปากขึ้นเพราะเขาเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป

ตอนนี้เขาคล้ายกับรูปปั้น ที่มีใบหน้าอันตลกขบขัน

โดยเฉพาะสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความโกรธและ ร่องรอยแห่งความอ่อนแอปรากฎขึ้นบนใบหน้า ซึ่งมันดูขัดแย้งกับร่างกายที่ผอมบางและใบหน้าที่ดูหน้ากลัวของเขา

ความพยายามทั้งหมดของเขาในตอนนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง พลังงานเย็นยะเยือกนี้สร้างความหวาดกลัวให้จั้วโมถึงขีดสุด

ความไม่เต็มใจ และความโกรธภายในหัวใจพลันพุ่งพล่านขึ้นมา

ไอ้บัดซบ!!!

เขาโคจรพลัง [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ด้วยพลังทั้งหมดที่เขามีอย่างฉับพลัน และสติที่เหลืออยู่ทั้งหมดกระแทกพลังเย็นยะเยือกนี้ในคราวเดียว

นี่คือทางออกเดียวที่เหลืออยู่ของเขา

ประสบการณ์ในการต่อสู้ครั้งของเขาที่ใช้ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] คือการต่อสู้กับเหล่าเพลี้ยศัตรูพืช เขายังจำได้ถึงพลังที่โหดเหี้ยมในคร่านั้น จิตสำนึกที่ก่อรวมตัวกันของเพลี้ยหลายพันตัว เมื่อเทียบกับพลังเย็นยะเยือกนี้ มันช่างดูเป็นเด็กไปในทันใด

ตอนนี้ จั้วโมเหมือนคนบ้าที่ถือเคียว เขาห่ำหั่นกับศัตรูที่มีอาวุธครบมือ

[เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ปรากฎเป็นลูกบอลหมอกเรืองแสงสีทอง มันปรากฎขี้นมาและเข้าโจมตีพลังอันหนาวเหน็บ

ทันใดนั้นเอง จั้วโมคล้ายกับมองเห็นกระบี่บินนับไม่ถ้วย ส่งเสียงกรีดร้องขณะเสียดสีกับอากาศ ก่อนที่มันจะบินพุ่งตรงมาหาเขา โดนที่เขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงมันได้!!!!!!

นัยตาที่เบิกกว้างแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงแห่งสงคราม ม่านตาที่ขยายกว้าง พร้อมทั้งโลหิตที่ไหลลงอาบใบหน้า บนใบหน้าที่แข็งทื่อ ปรากฎจุดสว่างขึ้น 2 จุด

จั้วโมไม่ได้รู้สึกถึงมันแม้แต่น้อย

พลังหลิงเริ่มโคจรอย่างบ้าคลั้งและเริ่มหลุดออกจากการควบคุม เขาไม่ได้หยุดมันและยังคงโคจรพลังต่อด้วยความเร็วที่สูงขึ้น

ภายใต้พลังอำนาจสูงสุดของ[เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง]ที่กำลังเกรี้ยวกาจและบ้าคลั่ง มันไม่ได้มีท่าทีที่จะถอยกลับเลยแม้แต่น้อย มันจะคงพุ่งเข้าหาพลังเยือกแข็งนั้น

ถ้าหากมีใครมาเดินเข้ามาในห้องของจั้วโมในตอนนี้ พวกเขาจะพบกับภาพที่แปลกประหลาด ลูกบอลสีทองสองแสงบิดเบี้ยวอย่างคึกคักราวกับกำลังต่อสู้กับบางสิ่งที่มองไม่เห็น และขนาดของมันก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง

เมฆทองจางๆ ยังคงสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากการปกป้องจั่วโม

สงครามกำลังดุเดือด [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] เผชิญหนัากับคลื่นความหนาวเน็บและเข้าห่ำหั่นกับคลื่นคมกระบี่อย่างไม่ท้อถอย เฉกเช่นเดียวกับจิตสำนึกของเพลี้ย [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] สร้างพลังงานนี้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นในรูปแบบเดียวกัน!

จั้วโมไม่ได้ให้ความสนใจกับ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ตอนนี้เขาเพียงรู้สึกว่าของเขาหมุนวนในหัวของเขาอย่างรวดเร็ว และรวดเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ!

การเปลี่ยนของพลังหลิงอยู่ในระดับที่น่าตกใจ เขาไม่เคยทดลองโคจรพลังหลิงให้หมุนอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เขาไม่กล้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตอนนี้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำบ้าคลั่ง และไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป เขายังคงเร่งความเร็วของมันไปสู่ระดับที่สูงขึ้น!

หัวของเขาคำรามกระหึ่มออกมาคล้ายมีสิ่งใดพลังทลายลง สติสัมปชัญญะของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนยุ่งเหยิง

พลังหลิงคล้ายม้าพยศ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ยังคงหมุนวนอย่างดุเดือด รูปร่างของเมฆไม่เสถียรมากนัก ถ้าหากเหล่าผู้ฝึกตนในระดับสูงได้มาเห็นภาพเหล่านี้ พวกเขาถึงกับหน้าซีด หากสูญเสียการควบคุมพลังปราณหลิงแล้วละก็ ผลร้ายที่จะตามมาคือพลังปราณในร่างกายจะแตกซ่านและปูทางไปสู่ความตาย!

ทันใดนั้นเอง กระแสอบอุ่นก็ไหลออกมาจากหัวใจของจั้วโม และชวนไชเข้าไปในเส้นลมปราณ

พลังหลิงกลับมาเชื่องอย่างน่าประหลาด แต่ความเร็วในการโคจรกลับยังคงเพิ่มขึ้น การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] เริ่มสงบและหายไปอย่างฉับพลัน

สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือพลังงานเยือกแข็งดูเหมือนจะได้รับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาดและถอยกลับเป็นครั้งแรก

ลูกบอลพลังจาก [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] เริ่มสงบและเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง มันหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นแกนพลัง คลื่นพลังอันเหน็บหนาวก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย

หนึ่งกลายเป็น สีทองจางๆ 7 ชั้น ลักษณะคล้ายกรวยราวกับเจดีย์ทองคำ

อีกหนึ่งกลายเป็นกระบี่จันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินที่ห้อยกระดิ่งเล็กๆเอาไว้

เงียบ ๆ ตรงข้ามกันและกัน เพียงแค่พริบตาทั้งสองเริ่มขยับ

หนึ่งเจดีย์ หนึ่งกระบี่ หนึ่งทองคำ หนึ่งน้ำทะเล เริ่มห่ำหั่นกัน

ปัง!

คล้ายกับเสียงกระจกแตก ลูกบอลสว่างวาบระเบิดกลางอากาศ มันเหมือนดอกไม้เพลิงสีฟ้าและสีทองผสมกันได้อย่างสวยงาม

หลังจากนั้นไม่นาน จั้วโมก็ลืมตาขึ้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผิดของเขาเหมือนจะแตกออกจากกัน ช่วยไม่ได้ เขาทำได้เพียงคร่ำครวญมันออกมา และความคร่ำครวญนี้ก็เป็นสิ่งที่ปลุกเขาให้ตื่นจากจิตใต้สำนึก

ข้าเคลื่อนไหวได้แล้ว!

พลังงานนรกนั้นหายไปแล้ว!

ความหนาวเหน็บในครั้งแรกเป็นรูปแบบหนึ่งของความหวาดระแวงที่ไม่อาจระบุได้ เขาอยากจะหัวเราะ แต่ก่อนที่ปากของเขาจะขยับ กล้ามเนื้อเริ่มเกิดบาดแผล และกลายเป็นเสียงกรี๊ดร้องแทน แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!!

แต่ในมือของเขายังคงถือกระดาษสีชมพูอยู่ มันเขียนตัวอักษรอยู่ 2 ตัวคือ

"คนเลว!"

ตัวอักษรที่เขียนไว้ยังคงงดงาม และน้ำเสียงก็เช่นกัน แต่ในเวลานี้จั้วโมกลับรู้สึกรังเกียจมันเป็นอย่างมาก

หญิงสาวชั่วร้าย! เจ้าต้องการชีวิตของข้า!

เพียงแค่ตัวอักษรยังสามารถปลดปล่อยการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว นี้จึงเป็นสิ่งที่เขาไม่ควรเผชิญ จั้วโมมั่นใจอย่างยิ่งว่า ผู้นำนิกายหรือแม้กระทั่งผู้อาวุโสคนอื่นๆก็คงไม่อาจกระทำเช่นนี้ได้ ยิ่งในหมู่สาวกภายในนิกายคงไม่มีใครที่สามารถเข้าถึงอำนาจเช่นนี้ได้เช่นกัน

นั่นหมายความว่าพลังของผู้หญิงที่ชั่วร้ายคนนี้ย่อมต้องร้ายกาจกว่าพลังจิตของศิษย์ภายในนิกาย

แต่หลังจากเดินเฉียดประตูความตายมาแล้ว จั้วโมก็ไม่มีความหวาดกลัวอีกต่อไป

เขาเคยได้ยินว่าผู้ฝึกตนที่แข็งแรงบางคนหยิ่งทะนง และไม่แยแสเหล่าผู้ฝึกตนระดับต่ำ แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนอยากสังหารเขาเพียงเพราะด้วยคำพูดมาก่อน !

จั้วโมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ รอยแผลที่เปิดออกสร้างความเจ็บปวดลึกไปถึงกระดูก แต่เขาก็ยังคงพยายามดิ้น กัดฟันเดินไปที่โต๊ะ

และหยิบแปรงพู่กันแทงหนาขึ้นมา จั้วโมถูกทำร้ายเพียงไม่กี่ครั้ง

มือขวาทั้งมือของเขาดูเหมือนจะแตกออกเป็นชิ้นๆ เพียงแค่ขยับเล็กน้อยก็มากพอที่จะสร้างความเจ็บปวดลงลึกในกระดูก เขาก้มหน้ากัดฟันและตวัดพู่กัน หยดน้ำหมึกสีทองแดงเปียกชุ่มบนขนแปรงพู่กันและเริ่มละเลงลงบนกระดาษสีชมพู ราวกับตัวอักษรเลือด

ผนวกกับอาการเจ็บปวด จั้วโมจึงจำเป็นต้องกลัวหายใจระงับอาการปวด มือขวาของเขาที่ถือแปรงพู่กัน เขาพยายามควบคุมมือของเขาจนเขียนคำสี่คำที่คดเคี้ยวบนกระดาษสีชมพู

"ข้าจะรอเจ้า!"

จั้วโมเขียนเสร็จก็โยนพู่ทิ้งไป และหัวเราะด้วยท่าทางอันแปลกประหลาด มือขวาของเขาไม่ยอมเคลื่อนไหวตามที่เขาต้องการ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไปกว่าหนึ่งชั่วโมงในการพับกระดาษเป็นรูปนกกระเรียนอีกครั้ง

น่าเสียดาย ที่การเขียนครั้งนี้ไม่ได้ดูดีเฉกเช่นครั้งที่แล้ว จั้วโมรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

เขาหายใจเหือกใหญ่ก่อนที่จะโคจรพลังปราณหลิงและถ่ายมันลงไปยังนกกระเรียนกระดาษ

ขณะที่เฝ้ามองดูนกกระเรียนพันลี้สีชมพูบินหายไปจากเส้นขอบฟ้า เขาก็ได้สาปแช่งหญิงชั่วรายคนนั้นตามหลังไปด้วย

เมื่อเขาทำสิ่งที่ต้องทำจนครบ เขาก็ไม่สามารถอดทนต่อได้อีกต่อไป ร่างกายที่เหือดแห้ง ดวงตาก็เริ่มเหม่อลอย ในที่สุดเขาเป็นลมล้มพับตกสู่พื้นดินในทันที

0 0 โหวต
Article Rating
11 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด