ตอนที่แล้วWOC บทที่ 7 - ข้าจะรอเจ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWOC บทที่ 9 - การสรรสร้าง

WOC บทที่ 8 - การเปลี่ยนแปลง


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/WorldofCultivation/

บทที่ 8 - การเปลี่ยนแปลง

มือที่ผอมบางและซีดราวกับหยกกำลังขยำกระดาษสีชมพูอยู่ในมือ

"ฮ่า ๆ ที่เขาโดนมันก็สมควรแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะอารมณ์เสีย ข้าก็เพียงอยากทำให้เจ้าหวาดกลัว มีใครเคยบอกเจ้าบ้างไหมว่าเจ้าเป็นคนอวดดีและเก่งแต่ต่อต้าน? "

ใบหน้ารูปไข่ที่ดูเรียบเนียน ดวงตาสีฟ้าดุจพลอยไพลินที่แอบแฟงไปด้วยความชั่วร้าย จมูกโด่ง ปากเรียวเล็กสีแดงสด พร้อมชุดที่ทำจากผ้าขนสัตว์จันทราเงิน มันยิ่งเสริมให้เธอดูน่ารักและดึงดูด ความงามของทุกส่วนของร่างกายเปรียบดังงาช้างขาว ไร้ซึ่งข้อบกพร่อง สายรัดผมสีแดงของเธอยิ่งเสริมความมีเสน่ห์ กำไรข้อมือคู่สีท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยกระดิ่งเล็กๆบนข้อมือเธอ เพียงแค่เธอโบกสะบัดเสียงกระดิ่งก็จะดังขึ้นก้องกังวาล

"แต่ คนๆนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ"

"ถ้าเจ้าพบคนที่น่าสนใจ พวกเขาทั้งหมดก็จะสนใจด้วยเช่นกัน" เบื้องหลังเธอปรากฎเป็นเสียงที่น่ายกย่องนับถือ

ผู้ฝึกตน ผิวสีทองแดง สวมมงกุฎไม้จันทร์เหนือศีรษะ อายุราวๆ 40 ปี ถ้ามีผู้ใดพบเห็นบุคคลคนนี้ พวกเขาจะต้องตกใจในทันที ราชันย์วิญญาณชือเยผู้โด่งดังกำลังแสดงความเคารพต่อหน้าเด็กหญิงตัวน้อย

เธอรู้อยู่แล้วว่ามีคนเข้ามาทางข้างหลังของเธอ เธอจึงไม่รู้สึกตกใจใดๆ เธอหัวเราะค่อยๆ "ใช่ ข้ารู้สึกสนใจในคนๆนี้ แม้เขาจะยังไม่บรรลุระดับจูจิ ที่เป็นระดับพลังกลางของเหล่าผู้ฝึกตน แต่เขากลับสามารถต่อต้าน[คำสาปดวงใจอสูร] ของเซียนเอ๋อที่อยู่ระดับพลัง 20% ได้ เขาช่างแข็งแกร่งจริงๆ"

"โอ้—!" ใบหน้าของราชันย์วิญญาณชือเยแปรเปลี่ยนไป: "ช่างเปี่ยมไปด้วยศักยภาพอย่างแท้จริง" จากนั้นเขาก็พึมพำออกมา "หรือว่าเจ้าจะพาเขาไปเข้านิกาย ... ... "

เซียนเออหันหน้าเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของเธอจองมองออกไปไกลแสนไกล : "บนเส้นทางแห่งการฝึกตน นอกเหนือจากพรสวรรค์โดยธรรมชาติ โอกาสก็เป็นสิ่งสำคัญ ในบรรดาเหล่าสาวกของนิกาย ที่มีมากมายหลายพันคน ต่างก็มีพรสวรรค์โดยธรรมชาติ แต่หากไม่กล่าวถึงพลังอำนาจ จะมีสักกี่คนกันที่จะสามารถก้าวไปถึงระดับจินตัง?"

จู่ๆเธอก็แลบลิ้นออกมาแล้วกล่าวอย่างไร้เดียงสา "แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาควรจะปล่อยให้เซียนเอ๋อแกล้งเขาเพื่อบรรเทาความน่าเบื่อ"

ราชันย์วิญญาณชือเยหัวเราะ: " ทำไมเราไม่อยู่ที่นี้อีกสัก 2-3 วันล่ะ? "

เซียนเออเอียงศีรษะขณะที่ดวงตาสีฟ้าของเธอกำลังกระพริบ เธอรำพึงออกมา: "เรายังมีงานสำคัญที่ต้องทำ พวกเราอยู่ที่นี่นานพอแล้ว ฮ่าๆ เซียนเออได้ทิ้งรอยประทับไว้ในร่างของเขาแล้ว และเขาจะไม่สามารถหนีพ้นเอื้อมมือเซียนเอ๋อได้ "

เมื่อราชันย์วิญญาณชือเยเห็นท่าทางที่น่ารักของเซียนเอ๋อก็อดกลั่นเสียงหัวเราะไม่ได้

จั้วโมตื่นขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับร่างกายที่รู้สึกเจ็บ เขาทำได้เพียงแค่ร้องคร่ำครวญออกมา

คิดถึงเมื่อวานที่ผ่านไป มันคล้ายกับความฝัน แต่แผลบนร่างกายของเขาทำให้เขารู้ตัวว่ามันไม่ได้ฝันไป แม้กระทั้งตอนนี้ เขายังคงไม่อาจเชื่อว่าเขาจะเอาชนะพลังเยือกแข็งนั้นมาได้

แต่มันเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น?

เขาเองก็คิดไม่ออก

หลังจากคิดวิเคราะห์ในจิตใจต่างๆนาๆ เขาก็ไม่อาจหาคำตอบมารองรับมันได้ เขาจึงทำได้เพียงเลิกคิดมันไป ส่วนเรื่องการแก้แค้น จั้วโมก็คิดว่ามันคงบ้าเกินไปที่คิดเกี่ยวกับมันในตอนนี้

ตอนนี้เขายุ่งมาก!!!

หากนับนิ้วมือทั้งหมด มันก็ยังไม่พอ เพราะวันนี้งานที่เขาทำมีจำนวนมากเกินไป ไม่เพียงแต่จะต้องเรียกฝนในตกสำหรับทุ่งยา เขายังต้องเรียกฝนให้กับเหล่าศิษย์พี่อีกด้วย ซึ่งนับเป็นจำนวนทุ่งพืชหลิงกว่า 100 มู สมุนไพรหลิงในทุ่งยาหลิง เขาไม่ต้องดูแลมันมากเพราะเขารู้ลักษณะของพวกมันดี แต่อีก 100 มู ที่เขาต้องเรียกฝน มันเป็นสัญญาที่สร้างขึ้นนานมากแล้ว และเขาก็ไม่สามารถปฎิเสธมันได้

เขากัดฟันและลุกขึ้น จั้วโมรู้สึกได้ว่ากระดูกในร่างกายของเขามันพร้อมจะแตกหักออกจากกันในทุกวินาที

เขาค่อยๆไปหุบเขาหมอกสะท้านด้วยความเร็วเยี่ยงเต่าคลาน เมื่อมองไปยังพื้นที่ทุ่งยารอบๆหุบเขา เขายังคงสาปแช่ง "เจ้าสองคนคู่ชู้" ห่าวหมินและหลัวลี่นับครั้งไม่ถ้วน

เขายังคงสาปแช่งแม้ว่าเขาจะกำลังทำงานก็ตาม

โดยปกติ เขาจะต้องเริ่มร่ายคาถา [เคล็ดเมฆาฝนโปรย] แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้จั้วโมถึงกับยืนอึ้ง

หมอกสีขาวเริ่มแผร่ออกมาอย่างบ้าคลั่งรอบๆตัวเขา ในพริบตามันก็รวมตัวกันกลายเป็นก้อนเมฆ ก่อนที่จั้วโมจะรู้สึกงุนงง เมฆได้ขยายตัวได้อย่างรวดเร็วและในระยะเวลาสั้น ๆ ปกคลุมไปทั่วหุบเขา

จั้วโมเริ่มงุนงงอยู่ที่แกนกลางของปุยเมฆขาว ความหนาวเหน็บเจาะทะลุไปทั่วร่างของเขาราวกับความฝัน

เขาตื่นตระหนกและตกใจ นี้มันคือผลของ [เคล็ดเมฆาฝนโปรย]ขั้นที่ 3!

ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่จริงจัง

เกิดอะไรขึ้น? หรือเป็นเพราะคลื่นพลังงานเยือกแข็งที่เกิดขึ้ยเมื่อวานนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างไป เขาสงบจิตใจ ปิดตาและกางแขนออกท่ามกลางเมฆที่ปกคลุม

ในเวลารวดเร็วเขาก็ตรวจพบสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล ลูกบอลเมฆที่ทำจากหมอกความชื้นที่นับไม่ถ้วน กำลังเกิดขึ้นราวกับมีชีวิตชีวา พวกมันเป็นเหมือนฝูงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา

เมฆครั้งนี้มีรวมตัวขึ้นมาด้วยพลังงานที่พิเศษ มันคล้ายกับหญ้าสีเขียวที่เพิ่งผลิขึ้น แต่ก็เหมือนแสงแดดเช่นกัน จั้วโมพบว่ามันเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจะอธิบาย และเขาก็รู้สึกชอบพลังงานนี้มากเพราะมันเต็มไปด้วยความรู้สึกสบาย

 

เขาปลูกพืชหลิงมาเป็นเวลานับสองปี ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าพลังงานที่มีชีวิตชีวานี้เป็นอย่างไร แต่แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นประโยชน์สำหรับการเจริญเติบโตของเหล่าพืชหลิง

เขาเริ่มเคลื่อนไหวจิตและเมฆก็เริ่มกลั่นฝนให้ตกลงมา หยดฝนที่ตกลงมามีลักษณะเหมือนเส้นด้ายเงิน พลังงานภายในจะหนาแน่นกว่าในเมฆฝนทั่วไป

เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นจะเป็นแค่ภาพลวงตาหรือไม่ แต่ภาพที่เขาเห็นคือใบของเหล่าต้นสมุนไพรหลิงกำลังเลื้อยเคลื่อนไหวราวกับว่าพวกมันกำลังมีความสุขมาก

หรือว่าจะคิดไปเอง?

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ดูเหมือนจะเป็นความฝัน สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ยิ่งเป็นเหมือนความฝันเช่นกัน

นี่คือ [เคล็ดเมฆาฝนโปรย] ระดับที่สี่จริงๆหรือ? เขาเองก็ไม่แน่ใจ เพราะแท่งหยกที่เขานำมามันอธิบายถึง [เคล็ดเมฆาฝนโปรย] ถึงแค่ระดับที่สามเท่านั้น ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาไม่นึกถึง เขาชื่นชมเหล่าสาวกในนิกายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคาถาใด ถ้าหากต้องการจะเรียนรู้จะต้องมีความเข้าใจด้วยตัวเอง แต่สำหรับพวกคนเหล่านั้นจะสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น จะทำให้พวกเขาสามารถลดเวลาในการเรียนรู้ลงได้โดยง่าย

ตัวเขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครให้ปรึกษา ไม่เคยเห็นแม้แต่ผู้อาวุโส แม้แต่เหล่าบรรดาศิษย์พี่ในนิกาย ก็ยังไม่ง่ายที่จะขอให้พวกเขาช่วย และเขาก็สงสัยอย่างมากว่าทำไมศิษย์พี่ในนิกายชั้นใน ทำไมถึงไม่มีคิดจะยอมทุ่มเทพลังและเวลาเพื่อเรียนรู้เคล็ดวิชาระดับต่ำและไม่ใช้เคล็ดวิชาต่อสู้อย่าง [เคล็ดเมฆาฝนโปรย]

นิกายกระบี่อู้กงเป็นนิกายที่เน้นการฝึกฝนกระบี่ ส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนรู้หลังการของผู้ฝึกกระบี่ ถ้าหากว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เหล่าพืชหลิง พวกเขาคงจะไม่ยอมรับคนนอกนิกายเช่นเขา ในหมู่เหล่าผู้ฝึกตน ผู้ฝึกกระบี่มีชื่อเสียงลือนามในด้านของพลังโจมตี พวกเขาจะเรียนรู้บ่มเพาะพลังจากคัมภีร์แห่งกระบี่ พวกเขาจะให้ความสำคัญกับกระบี่ที่สามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้

ธาตุทั้ง 5 เป็นพื้นฐานที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี คนส่วนใหญ่ที่เริ่มฝึกฝนมักจะเป็นผู้ฝึกตนที่ข้ามเขตแดนพลังมา ดังนั้นเหล่าชาวนาผู้ปลูกพืชหลิงจำนวนมากก็จะหันมาเป็นผู้ฝึกตน

หลังจากที่ทำการเรียกฝนจนเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ไปหาเหล่าศิษย์พี่ที่เขาได้ทำข้อตกลงในการเรียกฝน

 

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่อย่างที่ต้องทำในวันนี้ จั้วโมรู้สึกเหนื่อยไปทั้งกายและจิตใจ เขาก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนหลังจากกลับมาจากทุ่งพืช ประสบการณ์อันขมขื่นที่เขาได้รับเมื่อวานนี้ ทำให้เขาเข้าใจถึงความเป็นจริงอย่างลึกซึ้ง ในสายตาของเหล่าผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง ผู้ที่อ่อนแอกว่าเทียบได้กับเศษหญ้า

 

ร่างกายของเขาเป็นเหมือนสัตว์ที่หิวโหยค่อยๆดูดกลืนพลังหลิงที่อยู่โดยรอบ เส้นหลอเลี้ยงพลังหลิงที่อยู่ใต้เสื่อช่วยสร้างพลังหลิงให้เขาอย่างต่อเนื่อง พลังงานหลิงของจั้วโมไม่ได้ถูกส่งผ่านเส้นลมปราณดั่งคนทั่วไป แต่มันแทรกซึมไปในทุกๆส่วนของร่างกาย

ต้องบอกเลยว่าจั้วโมมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่สูงมาก [คัมภีร์ 10 ปฐมบท] แม้ไม่ได้เป็นพระคัมภีร์ระดับสูง แต่มันช่วยทำให้เขาเรียนรู้ถึง "ความสงบและความถูกต้อง" ดังนั้นผลที่ได้รับการเรียนรู้จากมันจึงเป็นสิ่งที่ดี

หลังจากเรียนรู้วัฎจักรทั้ง 6แล้ว จั้วโมก็เริ่มเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหนึ่งวัฎจักร เขานั่งลงจากนั้นก็เริ่มทำมัน

หลังจากที่เขาออกจากรวบรวมจิต เขาก็พบว่าบาดแผลที่อยู่ทั่วร่างกายกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

เขาตรวจสอบการบ่มเพาะของเขา มันก้าวหน้าขึ้นแต่ไม่มากเกินไป เขายังคงอยู่ที่ระดับเหลียนชีขั้นที่ 8 ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาไม่ได้รู้สึกผิดหวัง แต่เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในสองวันนี้มีสิ่งแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้นมากมาย มันทำให้เขาฝึกฝนควบคุมจิตอย่างจริงจัง

เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อวาน จิตของเขาก็เริ่มเขาควบคุม [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง]

แต่แล้วมันก็กลายเป็นปีศาจ

พลังงานยุคทองเคลื่อนไหวรอบๆนิ้วมือของเขาราวกับว่าพวกมันกำลังมีความสุข พลังงานจางๆสีทองคือทองคำอย่างแท้จริง มันทั้งแวววาวส่องสว่างเช่นเดียวกับทองคำ แสงสีทองกระพริบอย่างลึกซึ้ง

มีข้อมูลจำนวนมากไหลเข้ามาในหัวของเขา เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อมูลที่เขาไม่เคยเจอ พลังงานยุคทองยังคงหมุนเวียนอยู่รอบๆนิ้วของเขา จนกระทั้งข้อมูลทั้งหมดได้ถ่ายทอดเขาสู่ห่วงความคิดของเขาจนสมบูรณ์

[เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] เป็นเคล็ดวิชาต่อสู้โดยแท้จริง

สิ่งที่จั่วโมเคยตั้งสมมติฐานคาดคะเนเอาไว้ ในตอนนี้เขาเริ่มมั่นใจมากขึ้น

ความเชี่ยวชาญของ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ของเขาในตอนนี้อยู่ที่ขั้นที่ 2 เมื่อดูข้อมูลภายในแท่งหยก เขามั่นใจว่าเขาจะต้องอยู่ในขั้นที่ 2 ของ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] อย่างแน่นอน

ภายในหนึ่งคืน [เคล็ดเมฆาฝนโปรย] ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 4 และ [เคล็ดสัปยุทธ์ยุคทอง] ก็ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 2 มันยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แต่เขาก็รู้สึกว่ามันยังเป็นพลังที่ไม่มั่นคง

พลังที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนเป็นภาพมายาแต่ระดับที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นของจริง อย่างไรก็ตามเขาก็หวังว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก แม้ว่าเขาจะเป็นคนดื้อรั้นและทิ้งวาจาเอาไว้เมื่อวาน

ปลอดภัยไว้ก่อน!!!

หลังจากได้พักฟื้น ร่างกายของเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นกกระเรียนกระดาษสีชมพู(นกกระเรียนพันลี้) อันแสนชั่วร้ายก็ไม่ปรากฏตัวอีก จั้วโมจึงรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น

บนโต๊ะเต็มไปด้วยวัตถุต่างๆทั้งโลหะเพลิงแดงทมิฬ ก้อนทองสัมฤทธิ์ เจ็ดไม้เท้าต้นสน

นี้เป็นข้อมูลที่ได้รับจากเฟยหยุนเพื่อขึ้นรูป [พลั่วกระตุ้นหลิง]

การขึ้นรูปเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่เหล่าผู้ฝึกตนจะต้องเรียนรู้ ทุกคนต่างก็รู้จักแม้จะเล็กน้อยก็ตาม มันเป็นห้องเรียนที่ต้อนรับให้เหล่าผู้ที่อยู่นิกายชั้นนอกได้เข้ามาเรียนรู้ สำหรับสาวกนิกายชั้นนอก หากผู้ฝึกตนคนใดสามารถเรียนรู้การสร้างขึ้นรูปจนสามารถทำได้ดี มันจะทำให้พวกเขาสามารถหางานที่มั่นคงทำได้

แต่สำหรับสาวกนิกายภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนิกายกระบี่ ยังมีอาวุธระดับดีที่เกิดจากการขึ้นรูปเพียงไม่กี่ชิ้น

ผู้ฝึกกระบี่จะใช้กระบี่เพื่อพิชิตโลกทั้งใบ และจะใช้กระบี่ไปตามสิ่งที่ผู้ใช้คิดและต้องการ

เฉกเช่นเดียวกับนิกายของเขา แค่มีเพียงบรรดาศิษย์ของปรมจารย์ซินเยียนเท่านั้นที่มีพรสวรรค์ในการสร้างขึ้นรูป ศิษย์พี่ซวียี่ คือศิษย์ที่เก่งที่สุดของปรมจารย์ซินเยียน แต่เนื่องจากปรมจารย์ซินเยียนเป็นกลุ่มศิษย์รุ่นใหม่ มันจึงทำให้พวกเขาไม่ได้รับสถานะที่สูงมาก

แต่นั้นก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจั้วโมเลย(WTFFF อธิบายทำไม)

ในเวลานี้ เขาเต็มไปด้วยรู้สึกตื่นเต้น นี้คือการสร้างขึ้นรูปครั้งแรกในชีวิตของเขา และมันกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

0 0 โหวต
Article Rating
8 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด