ตอนที่แล้วตอนที่ 106 แดนก่อกำเนิดขั้นที่สาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 108 ข้าจะข้ามหัวเจ้า P2

ตอนที่ 107 ข้าจะข้ามหัวเจ้า P1


ในปราสาทตระกูลเย่ว์ การแข่งขันประจำปีใหม่ของตระกูลเริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว ยามนี้'เย่ว์หยาง'เดินขึ้นสู่เวทีประลองแล้ว  ตระกูลเย่ว์ได้เสร็จสิ้นพิธีเปิดการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว 'ฮ่องเต้จุนอู๋โหย่ว'และประมุขของตระกูล ผู้เฒ่า'เย่ว์ไห่'ต่างก็พูดเปิดงานกันคนละเล็กน้อย และตัวแทนอื่นยังได้ทำความเคารพกันและกันอีกด้วย

สำหรับ'เย่ว์หยาง'ค่อนข้างมีนิสัยเถื่อนและห่าม ไม่ค่อยพูดกับคนแปลกหน้า  แม้แต่ผู้เฒ่าห้าและหญิงงามก็กังวลว่าเขาจะก่อเรื่องยุ่งระหว่างพิธีเปิดการแข่งขัน ดังนั้นพวกเขาจึงจงใจทำให้เขาและเย่ว์ปิงไปนั่งในคอกนักกีฬารอเวลาผลัดเปลี่ยน น่าเบื่อ, 'เย่ว์หยาง'ล้มตัวลงนอนหลับ ยังคงพยายามก่อเรื่องลามกกับหญิงงามในฝันของเขา

เมื่อ'เย่ว์หยาง'ตื่น การต่อสู้รอบคัดเลือกรอบแรกก็จบลง 'เย่ว์ปิง'ผ่านรอบแรกไปได้ด้วยดี  แต่นางไม่ได้เรียกผู้พิทักษ์นักรบพฤกษาร้อยปีออกมาสู้  นางใช้กลยุทธแกมโกงที่'เย่ว์หยาง'ได้สอนนางไว้ก่อน  โดยนางรีบวิ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระหว่างอัญเชิญสัตว์อสูร แล้วโดดเตะเข้าที่หน้าของเขา  การจู่โจมที่นอกเหนือการคาดหมายนี้  นอกจากจะรบกวนการอัญเชิญอสูรแล้ว ยังทำให้กระบวนการอัญเชิญของคู่ต่อสู้ล้มเหลวอีกด้วย

นักรบอ่อนแอถูกน็อคหมดสติทันที การกระทำเช่นนี้ไร้ประโยชน์สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่อัญเชิญได้เร็ว  เป็นเรื่องอันตรายมากที่จะจู่โจมผู้เชี่ยวชาญด้วยวิธีดังกล่าว  แต่สำหรับผู้เริ่มต้น  การเคลื่อนไหวแบบนี้ ถือเป็นบททดสอบ แน่นอนว่า 'เย่ว์ปิง'ได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย กลุ่มผู้คนไม่ได้ตำหนินาง แต่พวกเขากับด่าว่า'เย่ว์หยาง'เพราะแนะนำสั่งสอนให้นางใช้วิธีแกมโกงแบบนี้ เพราะ'เย่ว์ปิง'ไม่เคยพยายามใช้วิธีลอบจู่โจมแบบนี้มาก่อน

มีเพียงเหตุผลเดียวที่นางใช้วิธีนี้ในปีนี้ ต้องเป็นเพราะการสอนสั่งของพี่ชายสวะจอมเพี้ยนของนาง เย่ว์หยาง'ที่ตอนนี้ได้ฉายาใหม่สวะจอมเพี้ยน เนื่องจากเรื่องบ้าๆ ที่เขาก่อขึ้นเมื่อไม่นานนี้ ทำให้เด็กหนุ่มจากตระกูลรอบนอกยอมถูกปรับแพ้ทันที  ใครกันที่อยากจะสู้กับเจ้าปีศาจจอมเพี้ยนนี่? นั่นคงไม่มีบันทึกเปรียบเทียบ  นั่นเป็นการเสี่ยงตาย

แม้เมื่อเขาได้ยินจากบ่าวรับใช้ว่า'เย่ว์หยาง'ยังคงหลับอยู่  ผู้เฒ่าห้าก็ไม่ได้ส่งคนไปปลุกเขา 'เย่ว์ซาน'และคนอื่นๆ เห็นพ้องกันว่าปล่อยให้'เย่ว์หยาง'ลอยลำเข้าไปสู้ในรอบสองเลย การประลองในรอบที่สองค่อนข้างจะบังเอิญมากเกินไป

ผู้เฒ่า'ห้า'เป็นตัวแทน'เย่ว์หยาง'จับสลากประลองได้สู้กับคุณชายเก้า 'เย่ว์เฟิง' อัจฉริยะน้อยสู้กับสวะจอมเพี้ยน  ผลจะออกมาเป็นเช่นไร? ฝูงชนกระหายที่จะดูการต่อสู้ครั้งนี้ แม้ว่าคุณชายเก้า 'เย่ว์เฟิง'จะมีอายุเพียง 7 ขวบปี  แต่เขาก็ยังประสบความสำเร็จในการทำสัญญากับสัตว์อสูรได้อย่างน่าประหลาดใจ

ภายในครึ่งปี  กล่าวกันว่าเขาได้ทำสัญญากับอสูรที่แข็งแกร่งถึง 8 ตัว  เขายังเป็นศิษย์คนสำคัญของหนึ่งในสี่นิกายที่ยิ่งใหญ่ นิกายภูเขาหมอกแดนใต้  ความจริง'เย่ว์เฟิง'นับว่าเป็นอัจฉริยะน้อย  หากแต่ตรงข้ามอีกฝ่ายก็คือ'เย่ว์หยาง'หรือสหายผู้น่าสงสารที่'เย่ว์หยาง'ใช้สถานะของเขาอยู่ กลับเป็นแค่สวะ  ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะ'เย่ว์หยาง'ข้ามมิติเข้ามาแทนที่สหายผู้น่าสงสารผู้นี้  ต่อให้สหายผู้น่าสงสารนี้ฝึกวิชาเพิ่มอีกสิบปี เขาก็คงไม่มีทางเอาชนะ'เย่ว์เฟิง'ได้

'เย่ว์หยาง'เดินออกมาแล้ว ลานประลองของปราสาทตระกูลเย่ว์มีขนาดใหญ่มาก  อาจจะใหญ่กว่าสนามแข่งฟุตบอลเสียอีก และที่นั่งสำหรับผู้ชมได้ติดตั้งเอาไว้อย่างดี บนอีกด้าน มีผู้คนแต่งกายหลากหลายซึ่งแตกต่างจากคนในตระกูลเย่ว์  ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นคนจากตระกูลเฟิง,และตระกูลหยาน อัฒจรรย์ฝั่งทิศเหนือ

นอกจากผู้เฒ่า'ไห่', 'เย่ว์ซาน', 'เย่ว์หลิง'และนักสู้คนอื่นๆ  ยังมีบุรุษวัยกลางคนที่ดูสะดุดตาที่สุด ดูละเอียดอ่อนและสง่างาม เขาสวมชุดนักรบสีขาวราวหิมะมีผ้าคาดประดับหยกคาดอยู่บนศีรษะของเขา  แม้ว่าเขาจะมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ท่าทางของเขาน่าเกรงขาม  'เย่ว์หยาง'คาดว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นฮ่องเต้แห่งอาณาจักรต้าเซี่ย 'จุนอู๋โหย่ว'

ดูจากลักษณะของเขา เหมือนกับมือกระบี่ระดับสูงอายุราว 40 ปี แต่ในความเป็นจริงพระองค์มีพระชนมายุ 180 ปี ทั้งยังเป็นฮ่องเต้นักสู้ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย พลังของเขาถูกจัดให้อยู่ในนักสู้ระดับ 7 ขั้นกลาง คนที่นั่งอยู่ทางด้านขวาก็คือผู้เฒ่า'เย่ว์ไห่'นั่นเอง ผู้เฒ่า'เย่ว์ไห่'แก่กว่า'จุนอู๋โหย่ว'เพียงเล็กน้อย  แต่เขาต่อสู้มาเป็นเวลาหลายปีและร่างกายของเขาแก่เกินไป  ตอนนี้เขาดูชราภาพมาก ผมบนหัวขาวโพลนนั่นบอกให้ทราบว่าเขาแก่มากเพียงไหน ด้านหลัง'จุนอู๋โหย่ว'เป็นร่างแม่ทัพที่ัตัวใหญ่มากสวมเกราะทองปิดร่างกายทุกส่วนรวมทั้งหน้าของเขาด้วย

เขามีโครงสร้างเหมือนกระทิงและมีท่าทีคุกคามเหมือนเสือ บุรุษผู้นี้เป็นแม่ทัพของกองกำลังยู่หลิน ผู้ที่นั่งอยู่ด้านขวาของฮ่องเต้'จุนอู๋โหยว' ก็คือตัวแทนจากตระกูลเฟิงและตระกูลเสวี่ย ทั้งสองคนมีอายุไม่ต่างจาก'เย่ว์ซาน' บางทีพวกเขาอาจเป็นตัวแทนของผู้นำตระกูลของพวกเขาก็ได้

เนื่องจาก'เย่ว์หยาง'เดินทางข้ามมิติมาที่นี่  เขาจึงไม่รู้จักว่าใครเป็นใคร  ถัดจาก'เย่ว์ซาน'ออกไปเป็นคนท่าทางดุร้ายอยู่ในชุดสีแดงเพลิง  ลักษณะของเขาคล้ายกับ'หยานโพ่จุน' แต่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าและมีพลังมากกว่า 'เย่ว์หยาง'คาดว่าคนผู้นี้คงเป็นบิดาของ'หยานโพ่จุน' ถัดเข้ามา 2-3 แถวข้างๆเป็นผู้ติดตามที่มีความข้องเกี่ยวกับตระกูลทั้งสามโดยตรง

'เย่ว์หยาง'มองเห็นเจ้าหนุ่มน้ำแข็ง 'เสวี่ยทันหลาง'รวมอยู่ด้วย  ในตอนนี้เขาจ้องมอง'เย่ว์หยาง'อย่างเย็นชา อย่างไรก็ตาม 'หยานโพ่จุน'และ'เฟิงชิชา'ไม่ได้มาด้วย  สิ่งที่ทำให้'เย่ว์หยาง'โล่งใจที่สุดก็คือมือกระบี่วังหลวงนางนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ คนที่ทำให้เย่ว์หยางปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุดก็คือนางนั่นเอง  โชคดีที่ทักษะลวงของขาก็ยกระดับขึ้นไปด้วย  เขาไม่ทราบว่าทักษะลวงของเขาที่เพิ่มระดับไปแล้วนี้จะสามารถตบตามือกระบี่หญิงได้หรือไม่  ถ้าเขาทำได้อย่างนั้น  เขาก็เป็นอิสระจากนาง เมื่อเวลามาถึงเขาอาจก่อกวนจนนางเป็นบ้าก็ได้

“ดี, ดีมาก!”

“เสี่ยวจิ่วเก่งที่สุด”

ทันทีที่'เย่ว์เฟิง'ปรากฏตัวบนเวที เขาก็ทำให้หมู่ผู้ชมปั่นป่วนทันที โดยเฉพาะสตรีที่มีความรู้สึกเหมือนเป็นมารดาแทบจะคลั่งไคล้ลักษณะที่น่ารักของหนูน้อย  แทบจะทุกคนต่างก็เชียร์เขา  เขาโค้งคำนับ'เย่ว์หยาง'ที่กำลังเดินขึ้นเวทีมาช้าๆ อย่างสุภาพ  แม้ว่าคำพูดของเขาจะดูมีความเคารพ  แต่ก็ยังแฝงแววเย่อหยิ่งเอาไว้ในเบื้องหลังคำเหล่านั้น

“พี่เสี่ยวซาน! โปรดชี้แนะข้าด้วย  อาจารย์และท่านพ่อฝากบอกให้ข้าขอบคุณพี่เสี่ยวซานที่ยอมสละยาพลังวิญญาณให้ข้า”

แม้ว่าเขาไม่พูดตรงๆ แต่ก็ยังส่อให้เห็นว่าปล่อยให้เขากินยาปลุกพลังวิญญาณสัตว์อสูรยังจะดีกว่า และว่า'เย่ว์หยาง'เป็นผู้ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นสวะ กินยานั่นไปก็มีแต่จะเสียของ 'เย่ว์เฟิง'ยื่นมือออกมาและเรียกคัมภีร์อัญเชิญของเขา เสียงเชียร์จากผู้ชมกระหึ่มไปทั่ว   คัมภีร์อัญเชิญของเขาเป็นคัมภีร์สีเงิน นี่ทำให้'เย่ว์หยาง'ประหลาดใจจริงๆ

อย่างไรก็ตาม 'เย่ว์หยาง'ก็ยิ้มออกในทันที ไม่ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะมากขนาดไหน แต่เขาไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งของตนเองเพื่อยกระดับจากคัมภีร์ทองแดงไปเป็นคัมภีร์เงิน  'เย่ว์ปิง'เข้าศึกษาในโรงเรียนมานาน 4 ปี ยังคงเป็นคัมภีร์ทองแดงระดับสูง

นอกจากนี้ เขายังทำสัญญากับคัมภีร์ได้ไม่นาน  เป็นไปได้อย่างไรที่จะได้ครอบครองคัมภีร์ชั้นเงิน? มีคำอธิบายที่เหมาะสมได้ก็คือนิกายภูเขาหมอกแดนใต้หาคนมาประลองให้'เย่ว์เฟิง'ทุกวันๆ   และจงใจยอมให้'เย่ว์เฟิง'เรียกสัตว์อสูรมาเอาชนะพวกนั้้น  คะแนนสมยอมนี้ก็เลยสะสมได้อย่างรวดเร็ว วิธีแบบนี้ที่ต้องให้บรรลุผลทันที ไม่มีผลต่อการฝึกฝนของแต่ละคน  อย่างไรก็ตามนิกายภูเขาหมอกแดนใต้และครอบครัวที่สองต้องการเอาอัจฉริยะ'เย่ว์เฟิง'นี้มาอวดชาวโลกให้เร็วเท่าที่จะทำได้

พวกเขาต้องการให้ชาวโลกช่วยประโคมความสามารถเหนือชั้นของเขาและให้คอยจับตาระหว่างการแข่งขันประจำตระกูลในวันปีใหม่  เป็นเรื่องจำเป็นที่วิธีนั้นจะต้องว่าจ้างให้มีการช่วย'เย่ว์เฟิง'ได้สะสมคะแนนรบจนไปเพิ่มระดับชั้นของคัมภีร์อัญเชิญ  นี่เป็นบรรทัดฐานในหมู่ครอบครัวที่ยิ่งใหญ่

ในเบื้องต้น ตระกูลใหญ่เหล่านั้นจะหานักรบที่สมัครใจสมยอม(แพ้)ในการต่อสู้  จากนั้นพวกเขาก็จะถูกใช้เป็นบันไดสร้างคะแนนรบให้สมาชิกรุ่นเยาว์ได้แสดงฝีมือตามสัญญา  หลังจากความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง พวกเขาถึงจะยอมให้ลูกหลานเหล่านั้นออกไปแสวงหาประสบการณ์ในโลกจริง การมีคัมภีร์เงินตั้งแต่แรกจะได้เปรียบมากในช่วงระยะเวลาเริ่มต้น ข้อบกพร่องประการเดียวก็คือ คะแนนรบที่ตั้งใจสะสมแบบนี้มันไม่ใช่ของแท้  สิทธิประโยชน์ของกฎโบราณที่ได้รับมาด้วยการเพิ่มระดับของคัมภีร์อัญเชิญมันจะด้อยเสมอ หรืออาจจะไม่ได้รับเลยก็ได้

แน่นอน มีเพียงคนอย่าง'เย่ว์หยาง'เท่านั้นที่ได้รับสิทธิประโยชน์โดยสมบูรณ์จากกฎโบราณเมื่อคัมภีร์อัญเชิญของเขายกระดับ  เมื่อเจ้าของคัมภีร์อัญเชิญยกระดับคัมภีร์ของพวกเขาได้แล้ว  มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจไม่ได้อะไร  คนส่วนใหญ่จะได้รับหน้าว่างในคัมภีร์หรือไม่ก็สัตว์อสูรที่ดูเหมือนจะไม่เป็นประโยชน์  สิทธิประโยชน์ที่คนส่วนใหญ่อยากได้ที่สุดก็คือเพิ่มระดับของสัตว์อสูรของพวกเขา ในฐานะเป็นรางวัลที่มีค่ามากที่สุดในใจของเจ้าของคัมภีร์ ก็คือวิวัฒนาการของสัตว์อสูรของพวกเขา ตัวอย่างเช่นเปลี่ยนจากอสูรสามัญไปเป็นอสูรทองแดง

'เย่ว์หยาง'อาจเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่ได้รับความสามารถมาเพราะอสูรผู้พิทักษ์ของเขาซึ่งก็คือของขวัญจากสวรรค์ที่ได้รับโดยกฎโบราณ  ถ้าเป็นคนอื่นได้รับบ้าง พวกเขาอาจจะมีความสุขมากจนร้องไห้ถึง 3 วัน 3 คืนก็ได้..

“ว้าว, ดูสิ, คัมภีร์อัญเชิญของคุณชายเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นสีเงินแล้ว!  นี่มันอัจฉริยะ!  เขาคืออัจฉริยะที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเป็นร้อยปีแล้ว!”

“คุณชายเก้า เยี่ยมที่สุด!”

บรรดาผู้ชมต่างปรบมือเสียงกึกก้อง นอกจากเสียงเชียร์'เย่ว์เฟิง'แล้ว ยังมีเสียงสาปแช่งนับไม่ถ้วนผสมปนเปอยู่ด้วย

“ฆ่าไอ้สวะนั่นซะ!”

“ถ้าไอ้สวะนั่นไม่ตาย, ความโกรธเกลียดที่ข้ามี คงไม่ได้ระบายออกแน่”

และยังมีคำอื่นทำนองเดียวกันตะโกนออกมาประปราย

ก่อนหน้านี้'เย่ว์หยาง'ฆ่าหน่วยป้องกันตระกูลเย่ว์และบริวารจากครอบครัวอื่นมาหลายคน ผู้คนที่สาปแช่งชิงชังเขาอย่างดุเดือดเลือดพล่านน่าจะเป็นญาติ เพื่อน หรือผู้เกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้น 'เย่ว์หยาง'ไม่ยอมแม้แต่จะพา'ฮุยไท่หลาง'ขึ้นเวที

 

 

ที่มา:https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=107

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด