ตอนที่แล้วตอนที่ 85 เจ้าเมืองโล่วฮัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 88 ฆ่าขุนพลปีศาจทันที

ตอนที่ 86 นางพญากระหายเลือด


“ถ้าเป็นคนอื่นนะ ข้าจะไม่บอกอะไรแน่นอน  แต่ถ้าเป็นเจ้า โจรน้อยหน้าโง่ ไม่ว่ายังไง ข้าจะเป็นครูให้เจ้าสักครั้ง”

เมื่อเจ้าเมืองสาวพูดอย่างนี้ 'เย่ว์หยาง'ถึงกับตกใจ

แม่นางผู้นี้พูดจริงหรือนี่? หรือว่านางหลงรักเขาแล้ว? ทำไมเรื่องแบบนี้จึงดูเหมือนเป็นไปไม่ได้?  คนอย่างนางดูเหมือนเป็นนักสู้ที่ดูแข็งแกร่งมาโดยตลอด  ทำไมนางถึงได้สนใจเด็กหนุ่มที่ไม่มีชื่อเสียงอย่างเขาด้วยเล่า?

ยิ่งไปกว่านั้น  พอมองตานาง ตาทั้งคู่ไม่เหมือนตากระจ่างใสของ'อี้หนาน'ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่านางลังเลใจที่จะเปิดเผยบางอย่าง  นัยตานางเหมือน'เย่ว์อยู่'แสดงออกยามว้าวุ่น อาจเป็นได้ว่าแม่นางผู้นี้ทำตัวเหมือนเป็นพี่สาว แล้วถือเขาเหมือนเป็นน้องชายกระมัง?

ตลอดตามทาง มีเรื่องหัวเราะได้ไม่หยุดหย่อน เจ้าเมือง'โล่วฮัว'แนะนำเคล็ดลับในการบ่มเพาะสัตว์อสูรมากมาย  นางบอกเขาทุกอย่าง เรื่องแล้วเรื่องเล่า ทำให้'เย่ว์หยาง'ได้รับประโยชน์มากมาย เมื่อพวกเขามาถึงประตูเทเลพอร์ต นางล้วงตราประจำตัวออกมา

หลังจากคุยกับทหารยามเฝ้าประตูเทเลพอร์ตชั่วขณะ หลังจากนั้น'เย่ว์หยาง'จึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปอยู่วงแหวนเทเลพอร์ต  แต่ก่อนที่จะทำการเทเลพอร์ต เจ้าเมือง'โล่วฮัว'ใช้น้ำเสียงที่จริงจังเตือน'เย่ว์หยาง'

“โจรน้อย!  ข้าอยากเตือนเจ้าให้ระวังตัวให้ดี  เมื่อถึงจุดเวลาใดเวลาหนึ่ง เจ้าต้องจัดลำดับความสำคัญของชีวิตเจ้าให้ดี เข้าใจไหม? ตอนนี้ไม่มีผลึกเทพชุบชีวิตแล้ว  ถ้าเจ้าตายในการต่อสู้ ข้าจะไม่สามารถช่วยเจ้าได้เลย”

“แก้วผลึกเทพชุบชีวิตหรือ?”

'เย่ว์หยาง'ตัวแข็งเมื่อได้ยิน

“ตามตำนานกล่าวไว้ว่า มันเป็นแก้วผลึกเทพที่สุดยอดนักสู้ชาวมนุษย์นำกลับมาจากแดนสวรรค์ในตำนาน  ตราบใดที่คนยังตายไม่นาน ร่างกายยังครบบริบูรณ์ เจ้าสามารถใช้พลังเวทขั้นสูงที่เก็บอยู่ภายในแก้วผลึกมาชุบชีวิตคนตายได้ เมื่อคราวที่มีผู้รุกรานจากพวกปีศาจจำนวนมากจากดินแดนปีศาจในอดีตหลายพันปี  นักสู้คนสำคัญหลายคนตายในสนามรบ  เพื่อรักษาความหวังมีชีวิตของผู้คน  ผลึกเทพชุบชีวิตถูกนำมาใช้ทั้งหมดเพื่อชุบชีวิตคนสำคัญที่สุด ส่วนใหญ่เป็นนักสู้ที่มีคุณค่าและมีแนวโน้มว่ามีค่ามากที่สุด  นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผลึกเทพชุบชีวิตที่เดิมทีมีจำนวนน้อยถูกใช้ไปแล้วในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่แล้ว  เราต้องจริงจังและกล้าหาญเอาชนะอันตรายเมื่อเราต่อสู้  แต่เรายังต้องระวังตัวให้ดี  เพราะเราไม่มีโอกาสฟื้นอีกครั้ง”

สีหน้าของเจ้าเมือง'โล่วฮัว'ในตอนนี้เต็มไปด้วยความเข้มงวดและจริงจัง

“แดนสวรรค์มีอยู่จริงหรือ?”

'เย่ว์หยาง'มักคิดเสมอว่ามีการพูดถึงดินแดนทั้งสามเสมอ  นอกจากแผ่นดินมังกรทะยาน, แดนปีศาจ แล้วยังมีแดนสวรรค์จริงๆ เหรอ?

“มันควรเป็นอย่างนั้น แต่นักสู้ระดับสูงนั้น ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมัน เขาแค่เพียงบอกว่าเมื่อคนรุ่นหลังสามารถไปถึงหอทงเทียนชั้นที่ 8 ได้  พวกเขาจะเข้าใจด้วยตัวเอง  ข้าคิดว่าแดนสวรรค์มีอยู่จริง  เพราะทุกครั้งที่พวกเจ้าขึ้นไปบนหอทงเทียนสูงขึ้นไปๆ พื้นที่ๆ อยู่เหนือขึ้นไปอย่างน้อยจะใหญ่กว่าพื้นที่ชั้นล่างถึง 10 เท่า  บนชั้นที่ 8 ข้าคาดว่าพื้นที่คงใหญ่กว่าแผ่นดินมังกรทะยาน  จากนั้นก็คงมีชั้นที่ 9 ดูเหมือนว่าความคงอยู่ของแดนสวรรค์จะตั้งอยู่ในที่ๆ ห่างไกลจากดินแดนปีศาจ  มันอาจเป็นดินแดนระดับสูงห่างไกลออกไปจากหอทงเทียน”

เจ้าเมือง'โล่วฮัว'ไม่สามารถรับประกันเรื่องนั้นได้

“เราไม่สามารถไปแดนสวรรค์และเอาผลึกเทพชุบชีวิตมาได้เดี๋ยวนี้หรือ?”

'เย่ว์หยาง'ถาม

“ข้าได้ยินว่าผลึกเทพชุบชีวิตถูกนำมาจากหอทงเทียนเหนือชั้นที่ 10 ขึ้นไป  ในอดีตหลายพันปีมาแล้ว ยังไม่มีนักสู้ในแผ่นดินมังกรทะยานที่มีความสามารถไปถึงชั้นที่ 10 ได้”

เจ้าเมือง'โล่วฮัว'ส่ายศีรษะของนาง

“ในเวลาอย่างนี้คิดเรื่องนี้ไปก็ไร้ประโยชน์  เราต้องมีสมาธิอยู่กับปัจจุบันและระมัดระวังในการต่อสู้ครั้งต่อไป”

ขณะที่พวกเขาพูด  'เย่ว์หยาง'เห็นประกายแสงสีขาวก่อนที่จะถูกเทเลพอร์ตส่งไปในพื้นที่อื่น ตลอดทั้งร่างของเขาอึดอัด มันเหมือนกับว่ามีแรงกดที่มองไม่เห็นกดลงบนตัวของเขา ร่างของเขารู้สึกเหมือนกำลังจมลง

ขณะที่น้ำหนักของเขาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ มีความรู้สึกว่าร่างของเขาคล่องแคล่วว่องไวที่เหมือนนก ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ ความคิดอย่างหนึ่งแว่บเข้ามาในใจ'เย่ว์หยาง'  ทันใดนั้นเขาก็ได้รับคำตอบขณะที่โพล่งขึ้นมาว่า

“แรงดึงดูดทวีคูณเหรอ?  พื้นที่นี้มีแรงดึงดูดเป็นทวีคูณใช่ไหม?”

เจ้าเมือง'โล่วฮัว'มองหน้า'เย่ว์หยาง'ด้วยสายตาที่ขำ

“เป็นข้อจำกัดของรหัสโบราณ แรงกดดันจะเริ่มกล้าแข็งขึ้นตั้งแต่ชั้นที่สองของหอทงเทียนเป็นต้นไป  ถ้าเจ้าใช้คำว่าแรงโน้มถ่วงเพื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้ บางทีอาจยากลำบากที่จะเรียกแบบนั้น  อย่างไรก็ตาม น้ำหนักของเราไม่ได้เพิ่มขึ้น มันเป็นเพียงผลที่มีต่อร่างกายเราที่ต้องทนทุกข์จากข้อจำกัดของรหัสโบราณ  เจ้าอาจไม่คุ้นเคยในตอนแรก แต่เจ้าต้องปรับตัวเข้ากับมัน  เมื่อเราเทเลพอร์ตไปที่ชั้นสาม จะมีบทลงโทษที่แข็งแกร่งขึ้น รอสักเดี๋ยวนะ  ข้าต้องไปรายงานด่านเพื่อพิสูจน์สถานะของเจ้า  แล้วจะสามารถเข้าไปได้”

'เย่ว์หยาง'แปลกใจเล็กน้อยขณะที่มองเห็นเจ้าเมือง'โล่วฮัว'เข้าไปหาชายชราชุดยาวถือไม้เท้า  ดูเหมือนว่าแรงดึงดูดทวีคูณไม่ค่อยส่งผลต่อนางมากนัก ความภูมิใจของนักเดินทางข้ามมิติถูกลบหลู่เหมือนกับว่าฝีมือเขาแย่กว่าสตรีนางหนึ่งมากขนาดไหน เขาค่อยๆผ่อนลมหายใจลง

'เย่ว์หยาง'ค่อยๆ ขยับร่างกายขณะที่เดินปราณชั้นก่อกำเนิดให้หมุนเวียนไปทั่วร่างกาย   สภาพร่างกายของเขาค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นจนอยู่ในระดับดีที่สุดของเขา แรงกดดันที่น่าอึดอัดค่อยๆ อ่อนลงทุกที และหายไปในที่สุด

ดูเหมือนว่าข้อจำกัดของชั้นสองหอทงเทียนเป็นสิ่งที่ก่อความรำคาญจริงๆ ตราบใดที่ร่างของนักสู้ ยังอยู่ในมาตรฐานที่ดีที่สุดของพวกเขา  มันจะไม่ส่งผลอะไรต่อพวกเขาเลย  อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ใช้ปราณก่อกำเนิดปรับสภาพร่างกายของเขาได้รวดเร็วเหมือนอย่างที่'เย่ว์หยาง'ทำ?

ถ้า'เย่คง'หรือ'เจ้าอ้วนไห่'มาที่นี่  เขาคาดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้เลย  บางทีแค่เดินอย่างเดียวก็คงทำให้พวกเขาเหนื่อยจนแทบคลานอยู่กับพื้น เมื่อเจ้าเมือง'โล่วฮัว'กลับมา  'เย่ว์หยาง'ก็ตีลังกาลงมายืนกับพื้นแล้ว เขาเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วเหลือประมาณ พอเห็นเช่นนี้นางถึงกับอึ้ง ร่างกายของเจ้าเด็กนี่ น่าทึ่งจริงๆ เขาสามารถปรับตัวเองได้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

ก่อนหน้านี้ เขาฝึกฝนตัวเองมาอย่างไรกันแน่?  เขาฝึกแต่วิทยายุทธอย่างเดียวหรือ?  ต่อให้ฝึกแต่วิทยายุทธอย่างเดียว  แต่เขาปรับตัวเข้ากับระดับดังกล่าวภายในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร?  ตัวของนางเองต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อปรับตัวให้เข้ากับข้อจำกัดในชั้นสอง  ก่อนที่ในที่สุดผลกระทบก็ค่อยๆ หายไป

“นั่นก็ดีเหมือนกัน รักษาร่างกายของเจ้าให้อยู่ในสภาพพร้อมที่สุด เมื่อเราไปถึงชั้นสาม  จะมีข้อจำกัดที่กล้าแข็งยิ่งขึ้น  ยิ่งไปกว่านั้น  ทันทีที่เราออกจากปราสาทของมนุษย์ไปแล้ว มีโอกาสสูงที่จะถูกปีศาจจากแดนนรกจู่โจมทำร้ายได้   เจ้าจะต้องระมัดระวังอย่างสูงสุดตลอดเวลา  ต้องพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ”

เจ้าเมือง'โล่วฮัว'เตือน'เย่ว์หยาง'ต่อขณะที่พวกเขาเดินเข้าประตูเทเลพอร์ตเพื่อส่งตัวไปที่หอทงเทียนชั้นสาม

'เย่ว์หยาง'ตระหนักได้ว่าปราสาทแห่งนี้ ใหญ่กว่าเมืองไป๋ฉือเสียอีก  ประตูเทเลพอร์ตตั้งอยู่บนยอดเขา และที่ข้างล่างมีทหารเกราะทองเฝ้าคุ้มกันเกินกว่าร้อย  ห่างออกไปมีกำแพงขนาดมหึมาสูงราวๆ 40-50 เมตรถูกสร้างติดกับภูเขา ดูเหมือนกำแพงจำนวนมากถูกก่อสร้างโดยใช้ภูเขาเป็นฐาน บนกำแพง จะมีหอเชิงเทินที่มีมือธนูและทหารคอยเฝ้าประจำการ พอมองดูลงมา อาคารต่างๆ ที่อยู่ข้างล่างก็ยังเหมือนกัน  ถูกก่อสร้างโดยใช้ภูเขาเป็นฐาน ไม่ใช่อิฐและกระเบื้อง

หลักๆ ก็คือเพื่อความทนทานและดูแลง่าย บ้านเรือนมีการจัดเรียงตัวเหมือนรังผึ้ง มองดูเผินๆ แล้วยุ่งเหยิง  แต่ความจริงมีการจัดเรียงตัวอย่างลงตัวที่สุด เป็นการช่วยประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้ประโยชน์จากการที่มีภูเขาล้อมรอบ ยังมีหินสีดำขนาดมหึมา 3 ก้อน แต่ละก้อนติดตั้งธงที่แตกต่างกันอยู่บนนั้น  'เย่ว์หยาง'จำได้ว่าธงที่อยู่ตรงกลางเป็นรูปมังกรทองเลือดเหล็กของอาณาจักรต้าเซี่ย  ธงที่อยู่ด้านซ้ายเป็นธงสุนัขป่าเงินกับพระจันทร์สีทองอมม่วง

'เย่ว์หยาง'คาดว่าเป็นธงหมาป่าเทาหอนรับพระจันทร์ของอาณาจักรสื่อจิน  ธงทางด้านขวาเป็นธงสีฟ้าประดับด้วยดอกโบตั๋นแดงใจกลางดอกปักด้วยด้ายสีทอง นั่นน่าจะเป็นธงของอาณาจักรเทียนหลัว  มีเพียงชั้นที่สามของหอทงเทียนเท่านั้นที่จะเอาธงของอาณาจักรทั้ง 3 มาตั้งเคียงกันได้ เพราะที่นี่ไม่ใช่ทวีปมังกรทะยาน  มนุษย์นักสู้ทุกคนต้องมารวมกันเพื่อต้านทานการจู่โจมอย่างบ้าคลั่งของปีศาจ  ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรต้าเซี่ย, สื่อจิน, เทียนหลัว หรืออาณาจักรเล็กอื่นๆ   พวกเขาไม่สามารถเผชิญเหล่าปีศาจทั้งหมดด้วยลำพังตัวเขาเองได้...

“ไปกันเถอะ  ในเมืองเถี่ยฉวนนี้ เรายังจะปลอดภัยอยู่ตราบเท่าที่ยังไม่การโจมตีใดๆ จากกองทัพปีศาจ”

เจ้าเมือง'โล่วฮัว'ยอมให้'เย่ว์หยาง'ที่ปรับสภาพร่างกายเพื่อต่อต้านพลังจำกัด 3 เท่าในชั้นสามอย่างรวดเร็ว เขาเดินตรงไปที่ประตูเทเลพอร์ตที่อยู่ใต้ภูเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง

“กองทัพปีศาจโจมตีที่นี่บ่อยแค่ไหน?”

'เย่ว์หยาง'สังเกตเห็นร่องรอยหลังการต่อสู้เหลืออยู่เป็นจำนวนมาก กลิ่นคาวเลือดยังคงโชยมาในอากาศ

“กองทัพปีศาจจะโจมตีอย่างน้อยครั้งละ 1-3 เดือนเพื่อความมั่นใจ  นักรบผู้คอยปกป้องสถานที่แห่งนี้แทบไม่มีเวลาได้พักหายใจ การสู้รบอาจกินเวลาหลายวันหลายคืน ถือเป็นเหตุการณ์ปกติ  อย่างไรก็ตาม  โชคดีที่กองกำลังชั้นยอดของ 3 อาณาจักร ได้ร่วมมือกันและบางครั้งอาณาจักรเล็กน้อยก็เข้ามาช่วยด้วย  ที่แห่งนี้ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ตั้งแต่แรกจนถึงการต่อสู้ครั้งล่าสุด”ถ้าปีศาจที่แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจเข้ามาโจมตีล่ะ ทหารเหล่านั้นจะต้านทานอยู่ไหม?””

'เย่ว์หยาง'สงสัยจริงๆ  ที่แห่งนี้ไม่สามารถต้านทานพลังของจ้าวปีศาจได้แน่นอน

“เจ้าพล่ามเรื่องไร้สาระอีกแล้ว  ทำไมพวกที่แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจจะต้องมาที่ชั้นสามเพื่อโจมตีเมืองนี้ด้วยเล่า?”

พวกเขาเกือบทั้งหมดจะอยู่ที่ชั้นหกหรือไม่ก็ชั้นเจ็ด คอยต่อสู้กับพวกนักสู้ระดับสูง  ยิ่งไปกว่านั้น  ไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้มาโจมตีที่นี่  เมื่อนักสู้ชาวมนุษย์กลับมาที่นี่  พวกเขาสามารถผลักดันพวกปีศาจให้หนีไปได้

แม้ว่าพวกปีศาจจะมีฝีมือเหนือกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะสามารถทำลายมนุษย์ได้ การพัฒนาของพวกปีศาจทำได้เพียงฝึกเพื่อให้เป็นปีศาจระดับสูง และขณะเดียวกัน  ก็ทำให้เราเหล่ามนุษย์ได้เพิ่มความแข็งแกร่งไปด้วย  ในกรณีนี้ก็คือการแข่งขันกันระหว่างมนุษย์กับปีศาจ

“ท่านเจ้าเมืองที่นับถือ! โปรดระวังให้ดี อาจมีปีศาจซ่อนอยู่ตามทางที่ท่านผ่านไปก็ได้”

หนึ่งในขุนพลเกราะทองโค้งเคารพเจ้าเมือง'โล่วฮัว'

“ท่านเป็นเจ้าเมืองๆ นี้หรือ?”

'เย่ว์หยาง'ตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น   แม่นางผู้นี้ น่ากลัวจริงๆ โดดเด่นจริงๆ

“ไม่, ข้าจะเป็นเจ้าเมืองของเมืองที่น่ารังเกียจในชั้นสามได้อย่างไร?  เมืองของข้าอยู่ที่ชั้นสี่”

'เย่ว์หยาง'รู้สึกอยากทิ้งตัวลงกับพื้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น  ทรงพลัง แม่นางผู้นี้ทรงพลังมากกว่าที่เขาคิดในตอนแรกถึง 10 เท่า นอกจากแรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าเมื่อเทียบกับชั้นแรก พื้นที่ชั้นสามยังใหญ่กว่าในชั้นแรกถึง 100 เท่า

เมื่อ'เย่ว์หยาง'ดูแผนที่ชั้นที่สาม ถูกปีศาจครอบครองไป 60% อีก 40% ครอบครองโดยมนุษย์  เมืองเถี่ยฉวนที่เขาเพิ่งมาถึงไม่ได้เป็นเมืองเพียงเมืองเดียว  ยังคงมีเมืองที่คล้ายกันมากกว่าอีก 3 เมือง  แต่ขนาดของเมืองเหล่านั้นไม่ได้ใหญ่เท่าเมืองเถี่ยฉวน  เพราะเมืองเล็กๆ เหล่านั้นทำหน้าที่เป็นฐานที่มั่นตามธรรมชาติ

ในแผนที่มีเกือบ 100 พื้นที่ซึ่งแสดงไว้ด้วยวงกลมสีเงิน  ดูเหมือนว่าพื้นที่เหล่านี้เป็นถิ่นของอสูรทอง  เนื่องจากไม่ว่ามนุษย์หรือปีศาจก็ไม่สามารถต่อกรกับพวกมันได้  พื้นที่เป็นกลางเหล่านี้จึงได้รับการดูแล นางพญากระหายเลือดที่เจ้าเมือง'โล่วฮัว'กำลังพา'เย่ว์หยาง'ไปฆ่าอยู่ในพื้นที่ๆ เป็นกลางเหล่านี้แห่งใดแห่งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม  ถ้าพลังของจ้าวอสูรทองปรากฏอยู่บริเวณศูนย์กลางพื้นที่เป็นกลาง  จากที่เห็น  นางพญากระหายเลือดที่อยู่ในบรรดาจ้าวอสูรทองชั้นสามหอทงเทียนนี้ น่าจะเป็นอสูรทองที่อ่อนแอที่สุด  ทั้งนี้เป็นเพราะตามแผนที่ พื้นที่ๆ ส่งผลกับพลังที่มันปล่อยออกมาเกือบมีขนาดเล็กที่สุดในหมู่จ้าวอสูรทอง

“อย่าเข้าใจผิด ที่เหนือกว่านางพญากระหายเลือด ก็ยังมีมหานางพญาตนก่อนผู้แข็งแกร่ง มีอิทธิพลและใหญ่ที่สุดในชั้นสาม  นางแค่ละทิ้งชั้นสามและย้ายไปที่ชั้นสี่แทน  ธิดาของนางขึ้นครองตำแหน่งในฐานะนางพญากระหายเลือด  ขณะที่นางเพิ่งจะผ่านการวิวัฒนาการแปรเปลี่ยนรูป  นางยังคงอ่อนแอและตัวเล็กกว่าเมื่อเทียบกับอสูรทองอื่น  มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถสู้กับนางได้  แม้ว่ามารดาของนางพญากระหายเลือดจะจากไปแล้ว  แต่นางก็ยังทิ้งหัวหน้าปีศาจซึ่งยากจะต่อสู้ด้วยไว้ถึง 2 ตน  คือภูตกรงเล็บสีรุ้ง อสูรทองแดงระดับ 6  นางปีศาจดาบสังหาร อสูรทองแดงระดับ 7   นอกจากนี้ยังมีฮาร์ปี อสูรทองแดงระดับ 2  อีก 20-30 ตนและนางปีศาจแมงมุมดาบ อสูรทองแดงระดับ 3 ซึ่งจัดการกับพวกมันได้ยากจริงๆ”

เมื่อเจ้าเมือง'โล่วฮัว'พูดอย่างนี้ 'เย่ว์หยาง'รู้สึกเหมือนกับจะเป็นลมเสียให้ได้ อย่างนั้นก็ไม่ใช่แค่มีแต่นางพญากระหายเลือด นางพญากระหายเลือดนี้ยังมีบริวารที่คอยดูแลนาง และทั้งสองก็แข็งแกร่ง และยังมีจำนวนมาก  เราจะสู้ศึกครั้งนี้อย่างไร? ภูตกรงเล็บสีรุ้ง อสูรทองแดงระดับ 6

 

 

ที่มา:https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=86

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด