ตอนที่แล้วบทที่ 277 เปลี่ยนบทบาท กลับไปเป็นชาวนาไม่กี่วัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 279 จับปลาครั้งแรกที่บึงน้ำใหญ่

บทที่ 278 งานเกษตร ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย


ตอนเที่ยงกลับมากินข้าวที่บ้าน พอตกบ่าย ทั้งสามคนในครอบครัวก็ออกไปช่วยบ้านกู้เก็บเกี่ยวดอกทานตะวัน—ที่ดินของกู้ปั๋วหยวนมีแค่สี่หมู่ สองหมู่ปลูกข้าวโพด อีกสองหมู่ปลูกดอกทานตะวัน รวมคนจากบ้านกู้ปั๋วหยวนและบ้านหลี่ ทั้งหมดสี่คน ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็เก็บเสร็จ

"คนเฒ่าคนแก่พูดไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ คนเยอะช่วยกันทำงานก็เร็วขึ้นมาก" กู้ปั๋วหยวนถอนหายใจ "ถ้าฉันต้องทำคนเดียว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองวันแน่ๆ"

"แน่นอน คนเยอะช่วยกันทำงานได้เร็ว แต่คนยิ่งน้อยก็ยิ่งมีอาหารกินมากขึ้น" หลี่เจี้ยนกั๋วยิ้มพูด "แต่ละอย่างก็มีข้อดีของมัน"

หลี่หลงคิดในใจ ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางจินตนาการได้เลย อีกสี่สิบปีต่อจากนี้ อย่าว่าแต่ใช้คนเยอะเลยนะ ตอนนั้นที่ดินของสหกรณ์หลายพันหมู่แค่ไม่กี่คนก็จัดการได้หมด แน่นอนว่าแม้เขาจะพูดออกไปตอนนี้คนพวกนี้ก็คงไม่เชื่ออยู่ดี

ช่วงเย็นลมพัดเย็นสบาย ทุกคนนั่งกินแตงโมอยู่ใต้เพิงไม้ หลี่เฉียงเล่นปืนของเล่นที่ทำจากดินเหนียวแต่เผลอทำมันหัก หลี่หลงจึงบอกให้เขาไปหาสมุดการบ้านเก่าของหลี่เจวียนมา จากนั้นก็แกะกระดาษออกมาแล้วพับเป็นปืนพกโบราณ

เพราะเด็กๆในช่วงเวลานี้เคยอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่อง "การรบด้วยกับระเบิด" และ "การรบในอุโมงค์" พวกเขาจึงรู้สึกว่าปืนแมกกาซีนยาวแบบ 20 นัดนั้นดูเท่มาก หลี่หลงจึงพับเป็นกล่องเล็กๆห้ากล่อง แล้วใช้ตะเกียบเสียบรวมกัน กล่องแต่ละใบใช้กระดาษสองแผ่น เวลารวมกันต้องใช้กระดาษเพิ่มอีกสองแผ่น แม้ว่าจะพับได้ไม่เหมือนของจริงเป๊ะๆ แต่ก็พอมีเค้าโครง

หลังจากพับเสร็จ หลี่เฉียงดีใจมาก รีบหยิบไปเล่น หลี่หลงบอกกับเขาว่า นี่เป็นรางวัลที่เขาทำผลการเรียนได้ดี

หลี่เจวียนยืนดูอยู่ข้างๆเธอไม่ได้รู้สึกอิจฉาแต่อย่างใด เพราะเมื่อโตขึ้นเด็กผู้หญิงก็มักไม่สนใจปืนของเล่นอยู่แล้ว หลี่หลงจึงพับ "เกมพับกระดาษทิศทาง" ให้เธอ พร้อมสอนวิธีเล่น จากนั้นบอกให้เธอเอาไปเล่นกับเพื่อนๆตอนพักที่โรงเรียน

ของเล่นแบบนี้มีหลักการที่ง่ายมาก แต่ในยุคที่ความบันเทิงมีอยู่อย่างจำกัด มันกลับเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจได้ดี

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากกินข้าวเสร็จ หลี่เจวียนพาหลี่เฉียงไปโรงเรียน หลี่เฉียงดูตื่นเต้นมากเขาถือปืนกระดาษแล้ววิ่งออกไปด้วยความดีใจ

หลี่หลงรีบตะโกนไล่หลังว่า "ตอนเรียนห้ามเล่นนะ! เดี๋ยวครูยึดไปแล้วโดนดุเอา!"

ในช่วงเวลานี้คุณครูที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยตีเด็กแล้วแต่เรื่องการดุหรือว่าแรงๆยังเป็นเรื่องปกติอยู่ พ่อแม่เองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนักและเด็กๆก็ไม่ได้อ่อนไหวขนาดนั้น บางครั้งถูกครูดุแล้วก็ไม่กล้าบอกพ่อแม่เพราะกลัวจะโดน "ทำโทษซ้ำ"

ในสายตาของพ่อแม่ มีแต่เด็กที่ซนหรือดื้อเท่านั้นที่จะโดนครูดุ

"อา ผมรู้แล้ว!" หลี่เฉียงตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็ตะโกนลากเสียง "อา—!" แล้ววิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้นจนกระเป๋าสะพายหลังของเขาแกว่งไปมา

"เฉียงเฉียง! วิ่งช้าหน่อย! ถ้าเธอยังวิ่งอยู่ ฉันจะตีเธอนะ!" หลี่เจวียนตะโกนเรียกหลี่เฉียงจากด้านหลัง แล้วรีบก้าวเท้าวิ่งตามไป พอพ้นจากทางแยกออกสู่ถนนใหญ่ เสียงของหลี่เฉียงก็ยังดังมาถึงหน้าบ้านที่หลี่หลงยืนอยู่

มีของเล่นใหม่มันก็ต้องรีบไปอวดเพื่อน นี่เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กๆเพราะพวกเขาไม่มีอะไรให้แข่งขันกันมากนัก

หลี่เจี้ยนกั๋วเตรียมม้าเทียมเกวียน ส่วนเหลียงเยวี่ยเหมยต้มอาหารหมู หลี่หลงหยิบกระบองไม้ไม่กี่อันแล้วเดินไปที่ลานนวดข้าว

ในช่วงเวลานี้การนวดแยกเมล็ดทานตะวันออกจากดอกยังต้องใช้แรงคนทั้งหมด แถมยังไม่สามารถทำเหมือนการนวดข้าวสาลีได้เพราะปริมาณมีไม่มากและที่สำคัญงานนี้รอช้าไม่ได้เพราะอีกไม่นานพืชผลในทีมก็จะต้องเก็บเกี่ยวเช่นกัน งานแบบนี้สามารถนำไปคิดคะแนนแรงงานได้ แต่หลี่หลงไม่ได้ตั้งใจจะเข้าร่วม สิ่งสำคัญสำหรับเขาตอนนี้คือการเคลียร์พื้นที่ลานนวดข้าวให้เร็วที่สุด

งานนี้ถือว่าเบากว่างานอื่น เพียงแค่ถือกระบองไม้แล้วนั่งบนกองทานตะวันหรือข้างๆจากนั้นใช้กระบองทุบลงบนดอกทานตะวันเพื่อให้เมล็ดกระเด็นออกมา อาศัยแรงสั่นสะเทือนและแรงสะท้อนกลับเพื่อแยกเมล็ดออก พอเคาะจนหมดก็โยนดอกทานตะวันที่เหลือออกไปแล้วหยิบดอกใหม่มาทุบต่อ

มันเป็นงานที่ต้องทำซ้ำไปซ้ำมา

เมื่อเคาะเมล็ดทานตะวันเสร็จ ก็ต้องใช้กระบวยลมฝัดเศษดอกทานตะวันออกไป เศษที่ว่านี้มีทั้งเมล็ดลีบและสิ่งสกปรกที่ร่วงจากดอก ซึ่งส่วนใหญ่จะนำไปเป็นอาหารวัวและแกะ แม้ว่าหมูก็กินได้แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

ส่วนดอกทานตะวันที่เหลือจากการเคาะเมล็ดนั้น ใช้เป็นอาหารวัวและแกะโดยตรงได้เลย นอกจากนี้กวางป่า ม้า และลาจำพวกอื่นๆก็กินได้เช่นกัน ของแบบนี้แน่นอนว่าไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่า

หลี่หลงกำลังทุบดอกทานตะวันได้สามดอก หลี่เจี้ยนกั๋วกับเหลียงเยวี่ยเหมยก็เดินเข้ามาช่วย

ตอนเช้าการทำงานแบบนี้สบายกว่าตอนกลางวันเพราะแดดยังไม่ร้อนมาก คนงานทยอยมาที่ลานนวดข้าวและเริ่มลงมือทำงานกัน ด้วยความที่ทุกคนอยู่ใกล้กัน พวกเขาจึงคุยกันไปด้วยในขณะที่ทำงาน บางคนก็กะเทาะเมล็ดทานตะวันไป เคี้ยวเมล็ดไปซึ่งแน่นอนว่าต้องเลือกเมล็ดที่อ่อนกว่ามาเคี้ยว

หลี่หลงมองดอกทานตะวันพวกนี้แล้วคิดถึงชีวิตในชาติก่อน ผ่านไปสี่สิบปีในซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีดอกทานตะวันขนาดใหญ่วางขายในราคาสิบหยวนต่อดอก ตอนที่เขาเดินซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตครั้งแรก ยังรู้สึกเหมือนฝัน—ดอกทานตะวันนี่ขายได้ราคาขนาดนี้เลยเหรอ?

แต่ก็นั่นแหละในยุคนั้น ยกเว้นสินค้าเกษตรที่ราคาไม่ค่อยขึ้น นอกนั้นทุกอย่างราคาพุ่งหมด

เช่น ข้าวสาลี หนึ่งกิโลกรัมราคา 3 หยวน แต่รำข้าวกลับกล้าขายที่ 2.8 หยวน—บ้านที่เลี้ยงหมูต้องซื้อรำข้าว ซึ่งเทียบราคากันแล้วแทบจะเท่ากับข้าวสาลีหนึ่งกิโลเลย!

เมื่อถึงช่วงเก็บเกี่ยวข้าวโพด ราคาต่อกิโลกรัมจะอยู่ที่ 2-2.5 หยวน ขึ้นอยู่กับระดับความชื้นของเมล็ด แต่สำหรับการเลี้ยงหมู อาหารสำหรับลูกหมูราคากิโลกรัมละ 3 หยวน คุณจะซื้อหรือไม่ซื้อก็แล้วแต่คุณ

แน่นอนว่าถ้าพูดถึงดอกทานตะวันที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ต ดอกละ 10 หยวนแต่ราคาที่รับซื้อจากเกษตรกรนั้น ถ้าได้ 0.5 หรือ 1 หยวนต่อดอกก็ถือว่าแพงแล้ว

เพราะที่ดินหนึ่งหมู่สามารถปลูกได้หลายพันต้น แม้จะขายแค่ 0.5 หยวนต่อดอก ชาวนาก็ยังถือว่าได้กำไรดีและดีใจมาก

เขายังจำได้ว่าในชีวิตก่อนของเขาในฐานะเกษตรกรที่ทำไร่มาหลายปี ช่วงที่ทำเงินได้จริงๆมีอยู่แค่สามครั้งเท่านั้น

ครั้งแรกคือช่วงที่ราคาฝ้ายพุ่งขึ้นอย่างกะทันหัน จากปีก่อนๆที่ราคา 6 หยวน ต่อกิโลกรัม ขึ้นไปถึง 11 หยวนทันที ตอนนั้นคนในหมู่บ้านที่ปลูกฝ้ายต่างก็ร่ำรวยขึ้น หลายคนถึงกับซื้อรถเลยทีเดียว

แต่ปีนั้นครอบครัวของหลี่หลงปลูกฝ้ายแค่ 20 หมู่ ถือว่าพลาดโอกาสทำเงินก้อนใหญ่ไป

ครั้งที่สองคือช่วงที่มีบริษัทเกษตรรายใหญ่เข้ามาเซ็นสัญญากับชาวบ้าน ให้ปลูกข้าวฟ่างโดยมีการรับประกันราคาซื้อคืน ตอนนั้นราคาค่าเช่าที่ดินอยู่ที่ 4,500 หยวนต่อหมู่ ซึ่งในช่วงเวลานั้น ทีมหมู่บ้านมีระบบให้น้ำแบบหยด ทำให้ต้นทุนการปลูกข้าวฟ่างต่อหมู่ประมาณ 2,000 หยวน แน่นอนว่าราคาค่าเช่าที่ดินขนาดนี้ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านต่างรีบเซ็นสัญญา

ในสัญญายังระบุว่า แต่ละหมู่ต้องผลิตข้าวฟ่างให้ได้ 800 กิโลกรัม ถ้าผลผลิตต่ำกว่านั้น ราคาซื้อคืนจะลดลง แต่ถ้าเกินกว่านั้นส่วนที่เกินจะได้รับเงินเพิ่มกิโลกรัมละ 4 หยวน

แต่ชาวบ้านรวมถึงหลี่หลงไม่รู้ว่าคนพวกนี้คำนวณผลผลิตกันอย่างไร พวกเขาคิดว่า 800 กิโลกรัมต่อหมู่ก็น่าจะเหมาะสมแล้วแต่พวกเขาประเมินผลผลิตจากระบบให้น้ำหยดต่ำเกินไป เพราะชาวไร่ที่เคยปลูกข้าวฟ่างมานานเข้าใจดีว่าผลผลิตจริงๆสูงกว่านั้นมาก

ผลก็คือปลายปีนั้นบริษัทแทบจะล้มละลายเพราะต้องจ่ายเงินให้เกษตรกรจนเกือบหมดตัว—เพราะผลผลิตเฉลี่ยต่อหมู่ทะลุ 1,200 กิโลกรัมขึ้นไป!

พวกที่ปลูกข้าวฟ่างรวยกันถ้วนหน้าและในช่วงเวลานั้น ทุกคนในหมู่บ้านก็เริ่มใช้ WeChat กันแล้ว พอเข้าไปดูใน Moments (ฟีดโซเชียลของ WeChat) ก็เห็นว่า พอหมดฤดูเก็บเกี่ยว คนที่มีเงินก็ออกไปเที่ยวเล่น สกี ดูน้ำแข็งแกะสลัก พอถึงช่วงเปลี่ยนฤดู ก็พากันปิ้งเนื้อแกะกินกันอย่างสบายใจ

และแน่นอนว่า หมู่บ้านก็มีรถใหม่เพิ่มขึ้นอีกชุดใหญ่

เดิมทีบริษัทแห่งนั้นตั้งใจจะทำสัญญาเป็นเวลา 3 ปี แต่หลังจากปีแรกผลผลิตสูงกว่าที่คาด พวกเขาก็ปรับเงื่อนไขในสัญญาเพิ่มปริมาณผลผลิตขั้นต่ำ ทำให้ไม่สามารถตกลงกับชาวบ้านได้สุดท้ายเรื่องนี้ก็ล่มไป

ครั้งที่สามก็เป็นเรื่องของฝ้ายอีกครั้ง รอบนี้ราคาฝ้ายจากเดิมที่อยู่ที่ 5-6 หยวนต่อกิโลกรัมก็พุ่งไปถึง 10 หยวน ซึ่งช่วงเวลานั้น ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านต่างปลูกฝ้ายกัน 50-60 หมู่ สำหรับพวกที่มีที่ดินเช่าจำนวนมาก ยิ่งปลูกหลายร้อยหมู่หรือหลักพันหมู่ต่างก็รวยขึ้นอย่างมหาศาล

นี่คือสามครั้งที่คนในหมู่บ้านทำเงินได้มากที่สุด

แต่พอถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวและได้รับเงินมาก็มีพวกที่คอยวางแผนหลอกล่อเข้ามาทันที บางคนทนสิ่งยั่วยวนไม่ไหวเงินที่หามาอย่างยากลำบากตลอดทั้งปีจึงหมดไปภายในคืนเดียวเพราะการพนัน

ตอนนั้นหลี่เฉียงสอบเข้ามหาวิทยาลัยและออกจากหมู่บ้านไปแล้ว แต่ยังมีคนรุ่นเดียวกับเขาหรือโตกว่านิดหน่อยที่สอบไม่ติดและต้องทำไร่ต่อ หลายคนต้องเจอกับชีวิตที่โหดร้ายบางคนถึงขั้นตัดนิ้วตัวเองเพื่อหนีหนี้หรือไม่ก็หนีออกจากบ้าน ทิ้งภาระหนี้สินไว้ให้ครอบครัวต้องสูญเสียบ้านและที่ดินไป

หลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลก็เข้ามามีบทบาทโดยกำหนดให้ 40% ของพื้นที่เกษตรต้องใช้ปลูกฝ้าย ส่วนที่เหลือ 60% ปล่อยพักดินเรียกว่านโยบาย "ปลูกพืชหมุนเวียน"

แต่พอถึงปีที่สองของนโยบาย ที่ดิน 60% ที่เคยถูกปล่อยพักถูกนำมาใช้ปลูกข้าวสาลีแทนนโยบายนี้มีขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศ

ก่อนหน้านี้เกษตรกรเกือบทั้งหมดเลือกปลูกฝ้าย แม้ว่าราคาฝ้ายปีแรกตกลงมาเหลือเพียง 2.8 หยวนต่อกิโลกรัม ขณะที่ค่าจ้างแรงงานเก็บฝ้ายรอบที่สองสูงถึง 3 หยวนต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ขาดทุนหนักแต่ปีต่อมาทุกครอบครัวก็ยังเลือกปลูกฝ้ายเพราะพวกเขาเชื่อว่าราคาต้องดีขึ้นแน่

หลี่หลงนึกย้อนถึงเรื่องพวกนี้ แล้วหันไปมองเพื่อนบ้านที่กำลังหัวเราะและช่วยกันเคาะเมล็ดทานตะวันออกจากดอก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าคนเรายิ่งจนก็ยิ่งพอใจกับสิ่งเล็กๆน้อยๆได้ง่าย

ในเวลานี้มีที่ดินเป็นของตัวเองแค่สองหมู่ สามารถปลูกพืชอะไรได้ตามต้องการก็ถือว่ามีความสุขมากแล้ว

ขณะนั้นมีพ่อค้าขายไอศกรีมปั่นจักรยานผ่านมา หลี่หลงตะโกนเรียกเขาพ่อค้าก็รีบขี่จักรยานมาหาทันที

"ไอศกรีมรสนมสามแท่ง" หลี่หลงหยิบเงินจ่าย

ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ จะซื้อไอศกรีมเลี้ยงคนทั้งลานนวดข้าวก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจเพราะปีนี้เขาก็นำทีมทำเงินมาได้เยอะอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องโชว์ตัวอีก

และแน่นอนพอเขาซื้อเสร็จ คนอื่นๆในลานนวดข้าวก็เริ่มหยิบเงินออกมาซื้อไอศกรีมกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่เลือกซื้อรสธรรมดากันมากกว่า

ไม่มีใครรู้สึกว่าการที่หลี่หลงไม่เลี้ยงพวกเขาเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะในช่วงเวลานี้คนส่วนมากยังเป็นคนซื่อๆและให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีของตัวเอง

ใกล้เที่ยงแล้วเหลียงเยวี่ยเหมยกลับไปทำอาหารก่อน แดดเริ่มร้อนจัด แสงแดดแผดเผาลงมาตรงๆจนหลี่หลงรู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาร้อนจนเหงื่อไหลออกมาจากรากผม แต่พอหันไปดูยังมีดอกทานตะวันอีกเยอะที่ยังไม่ได้เคาะเมล็ดออกเขาจึงคิดจะกัดฟันทำต่อไป

"เสี่ยวหลง เอาถุงมาใส่ดอกทานตะวันแล้ววางไว้บนเกวียน จัดการเสร็จแล้วก็เอากลับบ้านไปเลย"

หลี่เจี้ยนกั๋วรู้ดีว่าหลี่หลงไม่ค่อยชอบงานเกษตร จึงแบ่งหน้าที่ใหม่ให้เขาทำแทน

หลี่หลงเองก็ไม่ได้เกี่ยงอะไร เขาลุกขึ้นสะบัดเศษซากดอกทานตะวันที่ติดตัวออก แล้วไปเก็บดอกทานตะวันใส่ถุง

พอกลับถึงบ้านเหลียงเยวี่ยเหมยก็ทำอาหารเสร็จแล้ว เธอกำลังเตรียมทำบะหมี่สด ส่วนหลี่หลงก็ช่วยจุดไฟหุงต้ม

ตอนบ่าย ลุยงานกันต่อ!

ใช้เวลากว่าสองวันในการเคาะเมล็ดทานตะวันออกจนหมด จากนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องไปเก็บเกี่ยวพืชผลของทีมหมู่บ้านต่อ

แต่หลี่หลงตัดสินใจถอนตัวจากงานนี้แล้วไปจับปลากับเถาต้าเฉียงแทน

เขาไม่ได้ขาดแคลนคะแนนแรงงาน จึงอยากเปิดโอกาสให้คนอื่นได้มีรายได้แทน

หลังจากจับปลาอยู่หนึ่งสัปดาห์ ทีมหมู่บ้านก็เก็บเกี่ยวและบรรจุเมล็ดทานตะวันลงถุงเรียบร้อย ดอกทานตะวันที่เหลือก็แบ่งให้แต่ละบ้านนำไปใช้ จากนั้นหลี่หลงก็ไปช่วยหลี่เจี้ยนกั๋วเก็บเกี่ยวข้าวโพด

การเก็บเกี่ยวข้าวโพดคล้ายกับการเก็บเกี่ยวทานตะวัน สามารถเลือกเก็บฝักข้าวโพดก่อนแล้วค่อยโค่นต้นทีหลังหรือจะทำไปพร้อมกันเลยก็ได้ ข้าวโพดที่เก็บกลับมาในครั้งนี้ ไม่ได้ถูกนำไปกองรวมที่ลานนวดข้าวเหมือนเมล็ดทานตะวันแต่ถูกกองไว้ที่บ้านของตัวเองแทน

ถุงข้าวโพดถูกกองซ้อนกันอยู่ใต้เพิงในลานบ้านและงานใหญ่ต่อไปก็คือการกระเทาะเมล็ดข้าวโพดออกจากฝัก

ช่วงเวลานี้ยังไม่มีเครื่องกระเทาะเมล็ดข้าวโพดทุกอย่างต้องทำด้วยมือทั้งหมด ต้องใช้ไขควงแซะเมล็ดออกก่อนเป็นแถวๆ พอแซะออกแล้วก็ค่อยๆใช้มือลูบและกระเทาะเมล็ดออกจนหมด

งานนี้ทำกันทั้งวันทั้งคืน มือของคนทำงานโดยเฉพาะตรงโคนนิ้วโป้งจะแดงและถลอกจนแสบไปหมด

แต่เมื่อเห็นเมล็ดข้าวโพดที่กองสูงขึ้นเรื่อย ๆ ชาวนาทุกคนต่างก็รู้สึกดีใจ เพราะนี่คืออาหารที่พวกเขาจะได้กิน

ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ยังมีความสุข

อีกห้าหรือหกปีให้หลัง ถึงจะเริ่มมีเครื่องกระเทาะเมล็ดข้าวโพดแบบใช้มือหมุน ต่อมาอีกหน่อยก็เริ่มมีเครื่องที่ใช้แรงจากรถไถมาช่วยและอีกหลายปีหลังจากนั้นเครื่องเก็บเกี่ยวอัตโนมัติแบบรวมขั้นตอนก็ถูกพัฒนาขึ้น แต่ในตอนนี้เครื่องเก็บเกี่ยวอัตโนมัติยังสามารถใช้ได้แค่กับข้าวสาลีเท่านั้น

มันต้องผ่านการปรับปรุงอีกหลายรุ่น ก่อนที่จะสามารถเก็บเกี่ยวข้าวโพดและทานตะวันได้และกว่าจะมีเครื่องเก็บฝ้ายแบบอัตโนมัติก็ต้องใช้เวลานานถึง 20 ปี ทำให้แรงงานเก็บฝ้ายที่มีอยู่เป็นจำนวนมากค่อยๆลดลงไป

หลี่หลงทำงานที่บ้านเป็นเวลาสามวันเต็ม จากนั้นก็พาเถาต้าเฉียงไปช่วยเก็บเกี่ยวข้าวโพดที่บ้านกู้ปั๋วหยวนอีกสองวันซึ่งก็ถือว่าจัดการข้าวโพดของทั้งสองบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนี้เขาไม่คิดจะเข้าร่วมงานเกษตรอื่นๆอีก

บ้านที่เคยเป็นห้องว่างตอนนี้ไม่สามารถเรียกว่าว่างได้อีกต่อไปเพราะถูกกองด้วยข้าวโพดเมล็ดทานตะวันและข้าวสาลีจนเต็มไปหมด

ข้าวสาลีนี้เป็นส่วนแบ่งที่ทีมหมู่บ้านจัดให้แต่ละครอบครัวซึ่งต้องนำไปโม่เป็นแป้งเอง บางบ้านเลือกที่จะโม่แป้งออกมาเป็นจำนวนมากในคราวเดียวเพื่อให้สะดวก แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะโม่ทีละ 1-2 ถุงพอกินหมดก็ค่อยโม่ใหม่

เมล็ดทานตะวันก็เช่นกันเก็บเมล็ดไว้ได้นาน แต่แป้งข้าวสาลีเก็บได้น้อยกว่าจึงต้องบริหารการใช้ให้ดี

คืนวันนั้นอาหารในหม้อเป็นเมนูพื้นบ้านทั่วไปของเกษตรกร

ถ้าหากเป็นยุคก่อนหน้านี่คงเรียกว่า "เทศกาลฉลองผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์ของเกษตรกร"

ในข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวมานั้นมักจะมีข้าวโพดอ่อนที่โตช้าติดมาด้วยทุกครั้งที่เก็บข้าวโพดก็มักจะเจออยู่สองสามฝัก บางฝักดูเหมือนจะอ่อนอยู่ แต่พอนำไปต้มแล้วกลับรู้สึกว่าแข็งไปหน่อย วิธีทดสอบว่าอ่อนจริงหรือไม่ก็ง่ายมาก ไม่ใช่แค่ดูจากภายนอกแต่ต้องลองบีบดูด้วยถ้าสามารถบีบให้มีน้ำซึมออกมาได้แสดงว่าเป็นข้าวโพดอ่อนจริงๆ

นอกจากนี้ยังมีมันฝรั่งที่ขุดมาจากแปลงผักของครอบครัว มันฝรั่งขนาดใหญ่จะถูกเก็บไว้ใช้ทำกับข้าวส่วนหัวที่เล็กเกินไปและหั่นลำบากก็จะถูกนำไปต้มทั้งเปลือก

เด็กๆในหมู่บ้านชอบนำมันฝรั่งใส่ไว้ใต้เตาไฟเพื่ออบให้สุกโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว พวกเขามักจะโยนมันลงไปใต้เตาอุ่นๆ ทิ้งไว้ พอสุกก็ค่อยนำออกมากิน อบมันฝรั่งใต้เตาถือเป็นอีกหนึ่งความสนุกของเด็กๆในฤดูหนาว

นอกจากข้าวโพดและมันฝรั่งแล้ว ยังมีถั่วแระ—จริง ๆ แล้วก็คือถั่วเหลืองนั่นเอง เหตุผลที่เรียกว่าถั่วแระก็เพราะเปลือกของฝักมีขนเล็กๆปกคลุม

สุดท้ายคือถั่วปากอ้า—ซึ่งในหมู่บ้านของหลี่หลง ชาวบ้านเรียกมันว่า "ถั่วใหญ่" ขณะที่ถั่วเหลืองถูกเรียกว่าถั่วเหลือง ชื่อเรียกนี้คงอยู่มานานจนกระทั่ง ต่อมาเมื่อนักเรียนเริ่มเรียนหนังสือกลับมา พวกเขาจึงเริ่มแยกแยะชื่อที่ถูกต้อง บางคนถึงกับตกตะลึงว่าตัวเองเรียกผิดมาตลอดชีวิต ในขณะที่บางคนก็ยังยืนกรานว่า "ถั่วปากอ้าต้องเรียกว่าถั่วใหญ่ เพราะมันใหญ่กว่าถั่วเหลือง!"

เรื่องเล็กๆแบบนี้กลายเป็นข้อถกเถียงที่เถียงกันไม่จบ

อาหารพวกนี้ถูกต้มรวมกัน รสชาติอาจจะปะปนกันบ้างแต่ทุกอย่างมีเปลือกหุ้มอยู่จึงไม่มีใครใส่ใจ

บ้านค่อนข้างเล็กและค่อนข้างอบอ้าวจึงยกอาหารออกไปที่ลานบ้านวางไว้ในถาดใบใหญ่ แล้วทุกคนนั่งล้อมวงหยิบกินไป คุยกันไป

หลี่หลงรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีแล้วเพราะในช่วงชีวิตก่อนของเขา ช่วงหลายปีสุดท้ายมันยากมากที่จะหาใครมานั่งพูดคุยด้วย ทุกครั้งที่รวมตัวกันคนก็มักจะก้มหน้าดูโทรศัพท์กดดูวิดีโอสั้นๆแต่ละคนมีเสียงดังกันไปหมด ทั้งวุ่นวายและไร้ความหมาย

"เสี่ยวหลง งานในบ้านจัดการเสร็จแล้ว พรุ่งนี้จะไปจับปลาอีกไหม?" หลี่เจี้ยนกั๋วถามขึ้น

"รออีกสองวัน" หลี่หลงตอบ "อีกสองวันก็ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว รอให้ถึงวันนั้นก่อนค่อยไปจับปลา ขายปลาเสร็จจะได้ซื้อขนมไหว้พระจันทร์กลับมาด้วย"

ในหมู่บ้านนี้เทศกาลไหว้พระจันทร์ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากมาย ไม่มีการบูชาพระจันทร์อะไรทั้งนั้นแค่คนในครอบครัวมานั่งกินขนมไหว้พระจันทร์ด้วยกันเท่านั้นเอง

ส่วนหลี่หลงเองไม่ค่อยชอบขนมไหว้พระจันทร์นัก เพราะมันหวานและแข็งเกินไปถ้าจะกินก็คงเป็นไส้พุทราแดงที่พอจะรับได้

"ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีแต่ไส้ห้าถั่วหรือเปล่า?" เขาพึมพำ

"ก็ดีเหมือนกัน" หลี่เจี้ยนกั๋วพยักหน้า "พักอีกสองวันค่อยไป ฉันได้ยินคนในทีมหมู่บ้านพูดกันว่า ช่วงที่แกไม่ได้จับปลา พ่อของพวกเราไม่อยู่ พวกที่จับปลาเอาไปขายทุกวันก็หาเงินเพิ่มได้อีกหลายหยวนเลยล่ะ"

"หึหึ ให้พวกเขามีความสุขไปอีกสักสองสามวันเถอะ" หลี่หลงหัวเราะ

(จบบท)

Top of Form

Bottom of Form

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด