ตอนที่แล้วตอนที่ 169 มนุษย์ และพระเจ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 171 พายุกำลังใกล้เข้ามา

ตอนที่ 170 การเตรียมการก่อนสงคราม (ฟรี)


ตอนที่ 170 การเตรียมการก่อนสงคราม

สวี่จื้อสามารถใช้สกิลเนตรส่องความลับเพื่อระบุได้โดยตรงว่าผู้ที่รอดชีวิตเป็นแฟมิเลียของเธอหรือเป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่รู้จักจากมิติเงา เมื่อเธอหันไปมอง เธอสามารถบอกได้ในทันทีว่าผู้ชนะคือแฟมิเลียของเธอจริงๆ

บางทีอาจเป็นเพราะว่าแมวดำได้ใช้พลังงานมากเกินไปก่อนจะออกมาได้ และแฟมิเลียของเธอก็ยังมีพลังเต็มเปี่ยม หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะการปราบปรามจากเสี่ยวไต้ที่มีส่วนไม่น้อย แต่กล่าวโดยสรุป ผลลัพธ์ก็ออกมาดี

เดิมที สวี่จื้อตั้งใจจะหยิบเครื่องเล่นเกมออกมาเพื่อดูว่าเอ้อเมิ่งเปลี่ยนไปหรือไม่หลังจากกลืนกินจิตวิญญาณของแมวดำ แต่เครื่องเกมกลับค้าง หลังจากคลิกดู หน้าจอก็ค้างไปนานทีเดียว แม้จะรอสักพักใหญ่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้น เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวางมันลง

แต่ตอนนี้ สวี่จื้อไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องเกมอีกต่อไปเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในทุกสิ่ง ด้วยสายตาของเธอ เธอสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าเอ้อเมิ่งที่นอนอยู่ในกรงดูเหมือนจะเหนื่อยล้า แต่จริงๆ แล้วกำลังดูดซับพลังงานที่เดิมทีไม่ใช่ของมันอยู่ตลอดเวลา หลอมรวมพลังงานมหาศาลนั้นเข้ามาในร่าง

ดูเหมือนว่าการกลืนกินจะต้องใช้เวลา และยากลำบากไม่น้อย

เมื่อสวี่จื้อคิดถึงเรื่องนี้ เธอโยนกระดูกที่ไร้ประโยชน์เข้าไปในกรง ทันทีที่กระดูกถูกโยนเข้าไป เอ้อเมิ่งก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียว และเกาะติดกับกระดูก

กระดูกซึ่งเป็นวัตถุที่จับต้องได้ก็เปลี่ยนเป็นโปร่งใสในทันทีที่ถูกปกคลุมด้วยควันของเอ้อเมิ่ง

“ดูเหมือนว่ากระดูกอันนี้จะช่วยให้การหลอมรวมราบรื่นมากยิ่งขึ้น”

เป็นผลลัพธ์ที่ดี ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว

หลังกลับมามองตัวเอง สวี่จื้อก็กลืนน้ำลายลงคอด้วยความอึดอัด เมื่อร่างกายของเธอแตกสลายและทุกส่วนของร่างกายส่งเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดออกมา หรือเมื่อเธออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด เธอก็จะลืมความรู้สึกอึดอัดในลำคอเป็นบางครั้ง แต่เมื่อเธอรู้สึกดีขึ้น เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย และความอึดอัดนี้ก็จะชัดเจน

สวี่จื้อถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่าที่เธอจะคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ และสามารถละเลยมันไปได้อย่างสมบูรณ์

แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ แม้ว่ากล่องเสียงของเธอจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่โจ้วเหยียนก็ยังไม่ได้ตาย แต่ยังคงมีชีวิตอยู่บนลำคอที่ได้รับบาดเจ็บของเธอ ดูเหมือนว่าตราบใดที่ไม่ใช่การโจมตีทะลุทะลวง หรือฉีกกระชากมันออกจากร่างกายของสวี่จื้อ มันก็จะไม่ตาย

สวี่จื้อคิดจะหยุดพักสักแป๊บหนึ่ง เธอรู้สึกว่าช่วงนี้เธอยุ่งเกินไป เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่เกิดภัยพิบัติช่วงแรกๆ ดูเหมือนว่าเธอแทบจะไม่มีอะไรให้ทำ เพียงแค่จ้องหน้าจอเกม รอคอย ฟาร์ม และดูว่าแฟมิเลียจะค้นพบอะไรใหม่ๆ บ้าง

ต่างจากตอนนี้ที่เธอยุ่งมากจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน

ดูเหมือนว่าเมื่อความแข็งแกร่งของเธอมาถึงระดับหนึ่ง และรู้เรื่องต่างๆ มากขึ้น เธอก็จะยุ่งมากขึ้นตามไปด้วย

แม้ว่าเธอไม่อยากจะรับผิดชอบต่อสิ่งใด และไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดที่ว่า ‘ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไหร่ ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น’ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับทุกคน และเธอจึงต้องเข้าไปพัวพัน และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

หวังว่าหลังจากแก้ไขปัญหาเหล่านั้นแล้ว เธอจะมีเวลาว่างมากขึ้น

สวี่จื้อพักผ่อนสักพักแล้วจึงเริ่มการสำรวจ และฝึกฝนสกิลพลังอำนาจต่อ

ค่ำคืนที่เมืองหยุนค่อนข้างเงียบสงบ ไม่มีลม และไม่มีดวงจันทร์ แต่มีต้นไม้สูงตระหง่านอยู่ ณ ใจกลางเมือง

ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า พร้อมด้วยลายเส้นสีทองอันลึกลับแผ่กระจายไปทั่วลำต้นที่หนาทึบ ราวกับเปล่งแสงสีทองจางๆ ในความมืด และท่ามกลางหมอกหนา

กิ่งไม้ไหวเอนอย่างแผ่วเบา พัดพาเอาสายลมพัดผ่านผมสีดำของเด็กสาวที่กำลังพิงกิ่งไม้ และหลับตาอยู่ ในบรรยากาศที่เงียบสงบ ผีเสื้อกลางคืนสีเทาสองสามตัวบินวนอยู่รอบตัวเธอ บางครั้งก็บินผ่านผมของเธอ เคลื่อนตัวและไปพักปีกบนกิ่งไม้ แม้จะดูเหมือนจะซุกซนเล็กน้อย แต่เด็กสาวก็ไม่รู้ตัวเลย

ดูเหมือนว่าเธอจะจมอยู่กับโลกของตัวเอง ไม่รู้ตัวเลยว่ามีผีเสื้อกลางคืนพวกนี้บินออกจากร่างกายของเธออย่างเงียบๆ และคอยสังเกตสิ่งรอบตัวเธออย่างอยากรู้อยากเห็นในขณะที่เธอจดจ่ออยู่ในนั้น

ดูเหมือนว่าพลังงานที่มองไม่เห็นเหล่านี้ก็มี ‘ชีวิต’ และ ‘จิตสำนึก’ ของตัวเองในบางช่วงเวลาเช่นกัน

ครึ่งเดือนผ่านไปแล้ว เวลาผันผ่านอย่างรวดเร็ว

สวี่จื้อรู้สึกได้ถึงความคลุมเครือว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับทางตัน แม้ว่าเธอจะอุทิศตนเพื่อศึกษาเกี่ยวกับสกิลพลังอำนาจมาหลายวัน แต่ก็มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการค้นพบ และไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย

เศษเสี้ยวแห่งแสงที่เธอหลอมรวมเอาไว้ไม่ได้ถูกเธอดูดกลืนไปจนหมด เมื่อเธอเริ่มพยายามควบคุมสกิลพลังอำนาจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเศษเสี้ยวพลังงานที่หลงเหลืออยู่ของเศษเสี้ยวแห่งแสง เธอจึงลองให้ทั้งสองเชื่อมต่อถึงกันเพื่อดูว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอกำลังพยายาม เธอก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างในใจ และลืมตาขึ้น

ทันทีที่เธอลืมตา เธอก็เห็นหน้าจอของเครื่องเกมข้างๆ ตัวกะพริบหลายครั้ง เหมือนกับว่ามันกำลังรีสตาร์ทตัวเองโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นหน้าจอที่ดำก็สว่างขึ้น

ความเสียหายที่เกิดจากฟันเฟืองจากการเปิดเผยความลับครั้งก่อนดูเหมือนจะดีขึ้นมาก อย่างน้อย ภาพก็ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง

แต่ระดับแบตเตอรี่ก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไร อยู่ที่ประมาณ 30 หรือ 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

สวี่จื้อแทบไม่ได้ขยับตัวเลยในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา และพิงหลังอยู่บนกิ่งไม้ของเสี่ยวไต้ เธอขยับร่างกายที่แข็งทื่อของตัวเองก่อน จากนั้นจึงยกมือขึ้นเพื่อถือเครื่องเกมไว้ตรงหน้า และถามเบาๆ ว่า “คุณ... รู้สึกดีขึ้นมั้ย?”

[ ดีกว่าเดิมสักครึ่งหนึ่งได้ ]

สวี่จื้อต้องการจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องบอกความลับแก่เธอตรงๆ แค่บอกเป็นนัยๆ ก็พอ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้ แต่เธอก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับเข้าไปในขณะที่กำลังจะพูดมันออกมา เพราะเธอตระหนักดีว่าคำพูดนั้นดูเหมือนจะความหน้าไหว้หลังหลอกอย่างยิ่ง และในใจของเธอจึงพอใจกับคำบอกเล่าที่ชัดเจน และตรงไปตรงมาไม่น้อย

ในที่สุด เธอก็ทำได้เพียงยิ้มและพูดว่า “แค่คุณรู้สึกดีขึ้นก็ดีมากแล้ว”

ผู้บรรยายรู้จักสวี่จื้อเป็นอย่างดี และไม่สนใจคำพูดเป็นทางการของเธอ หลังจากตั้งสติได้เล็กน้อย เขาก็พูดกับเธอในทันที

[ ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปไม่นาน มีความคืบหน้าอะไรบ้างมั้ย? ]

“ก็แค่นิดหน่อย” สวี่จื้อถอนหายใจ

“ฉันได้แจ้งเรื่องนี้ให้จงหลิงฟานทราบ และเธอก็ได้ส่งข้อความมาบอกฉันแล้วว่าได้บอกใบ้เรื่องราวทั้งหมดให้สหพันธ์ทราบแล้ว ตัวเธอก็กำลังใช้ทรัพยากรของสหพันธ์เพื่อทำการวิจัย หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เธอก็น่าจะช่วยอะไรเราได้บ้าง”

[ ถ้าเป็นจริงได้ก็ถือว่าดี ]

ผู้บรรยายไม่ได้ตั้งคำถามว่าผู้ปลุกพลังระดับล่างจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังแทน

จากจุดนี้ สวี่จื้อตระหนักได้ว่า ‘บุคลิก’ ของผู้บรรยายนั้นแตกต่างไปจากตัวเธอโดยสิ้นเชิง หากให้อธิบาย เขาน่าจะเป็น ‘คนดีที่ยุติธรรม เข้มงวด มั่นคง และอ่อนโยนเล็กน้อย’ ล่ะมั้งนะ

ยกเว้นการเปิดเผยเป็นครั้งคราวว่าที่เหมือนเขาจะได้รับอิทธิพลจากตัวเธอ ซึ่งทำให้เขาและเธอคล้ายกันในบางด้าน

[ แล้วคุณล่ะ เป็นยังไงบ้าง ]

ผู้บรรยายถามอีกครั้ง

สวี่จื้อส่ายหัว “ก็เหมือนเดิม ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมาติดคอขวดยังไงก็ไม่รู้”

“ระดับพลังไม่สามารถไปไกลกว่านี้ได้อีกแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องหาทางอื่นเท่านั้น แม้จะกำลังพยายามอยู่ แต่ก็ค่อนข้างยาก”

กุญแจสำคัญอยู่ที่เธอไม่รู้ว่ามันสายเกินไปหรือเปล่า ยังเหลือเวลาอีกมากน้อยแค่ไหน

“แต่ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนทำ?”

การตัดเส้นทางนั้นเป็นการกระทำที่น่าเหลือเชื่อมาก

[ ไม่สามารถพูดได้ ]

[ นี่คือความลับที่หากบอกไปโลกก็จะถูกทำลาย เมื่อฉันบอก ฟันเฟืองที่เกิดจากการเปิดเผยความลับนั้นจะรุนแรงอย่างที่ไม่มีใครแบกรับไหว ]

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด