บทที่ 48 เซียวหยงหลิง
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้ดูแลถึงกับสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ เขามองไปยังสองชายหนุ่มที่นั่งดื่มสุราในโรงเตี๊ยม ทั้งสองแต่งกายเรียบง่ายสวมเสื้อขนสัตว์ธรรมดา แต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ของตระกูลตนกลับยืนอยู่ด้านข้างพวกเขาด้วยท่าทีอ่อนน้อม
"สหายผู้บำเพ็ญสายตาช่างแหลมคม!"
ว่านหยวนข่ายเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะชมเชยด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า
"เหตุใดไม่มานั่งดื่มด้วยกันเสียเลยเล่า?"
"ข้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่พอดี!"
ชายหนุ่มในชุดหรูหราไม่ลังเลเลยที่จะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้เก่า ครั้นเมื่อเขานั่งลงเก้าอี้ก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดอย่างแรงราวกับจะพังลงไปในทันที ทำให้ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้ดูแลถึงกับมึนงง
"ข้าคือ เซียวหยงหลิงจากตระกูลเซียวแห่งแคว้นหลี่เซี่ยภายใต้การปกครองของสำนักชิงฉือ ขอคารวะสหายผู้บำเพ็ญทั้งสอง"
เซียวหยงหลิงยิ้มอย่างเป็นมิตรขณะรับถ้วยสุราจากมือของหลี่ทงหยาก่อนจะกล่าวขอบคุณแล้วจึงเอ่ยถามต่อ
"มิทราบว่าทั้งสองท่านมาจากที่ใด?"
"แคว้นหลี่เซี่ย ตระกูลว่านแห่งฮว่าเชียน ข้ามีนาม ว่านหยวนข่าย"
"แคว้นหลี่เซี่ย ตระกูลหลี่แห่งหลี่จิ้ง ข้ามีนาม หลี่ทงหยา"
เมื่อเห็นท่าทีที่สุภาพของเขาทั้งสองก็ตอบกลับอย่างมีมารยาท
เซียวหยงหลิงฟังถึงตระกูลว่านสีหน้ายังคงสงบนิ่ง แต่เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากตระกูลหลี่แห่งหลี่จิ้ง เขากลับตกตะลึงทันทีก่อนจะรีบถามออกมาอย่างรวดเร็ว
"มิใช่ว่าตระกูลหลี่แห่งหลี่จิ้งก็คือ…ตระกูลที่อยู่ริมทะเลสาบวั่งเยว่ใช่หรือไม่?!"
"ใช่แล้ว ตระกูลข้าเพิ่งเข้าสู่เส้นทางเซียนได้ไม่นาน ครอบครัวเล็กฐานะเบาบาง มิคาดว่าจะเป็นที่รู้จักของตระกูลใหญ่อย่างพวกท่าน"
หลี่ทงหยาก็อดตกใจไม่ได้ที่เซียวหยงหลิงรู้จักตระกูลของเขา เขานึกถึงเซียวหยวนซือขึ้นมาขณะที่ว่านหยวนข่ายรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งกว่า
เป็นไปได้อย่างไร? ตระกูลเซียวเป็นตระกูลใหญ่ การที่ไม่เห็นค่าตระกูลว่านย่อมไม่แปลก แต่ตระกูลหลี่เพิ่งเข้าสู่เส้นทางเซียนเพียงไม่กี่ปีกลับมีชื่อเลื่องลือถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
"ฮ่าๆๆ"
เซียวหยงหลิงหัวเราะเบาๆก่อนจะอธิบายอย่างสุภาพว่า
"ท่านลุงของข้าคือ เซียวหยวนซือผู้บำเพ็ญพลังอยู่ที่ยอดเขาชิงสุ่ยเฟิง ในเมื่อพวกเราต่างอยู่ภายใต้การปกครองของสำนักชิงฉือเช่นกันย่อมต้องเคยได้ยินชื่อกันบ้าง"
"ที่แท้เป็นเช่นนี้!"
ว่านหยวนข่ายถึงกับใจเต้นแรง ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตระกูลหลี่มีคนที่เข้าสำนักชิงฉือ เขารู้สึกสับสนและคิดอะไรไม่ตกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองเซียวหยงหลิงแล้วกล่าวว่า
"สหายอายุน้อยเพียงนี้แต่สามารถบรรลุวงล้อแห่งหยกอันสูงส่งได้แล้วนับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ"
คำชมนี้ทำให้เซียวหยงหลิงนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน
"ข้ามิได้ฝึกถึงวงล้อแห่งหยกอันสูงส่งหรอก ที่ข้าบำเพ็ญได้เพียงแค่วงล้อแห่งแสงเชื่อมโยงเท่านั้น เนื่องจากข้าเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลเซียว บรรพบุรุษได้มอบสมบัติวิเศษที่ช่วยให้สามารถมองเห็นระดับพลังของผู้อื่นได้ นั่นจึงเป็นเหตุให้ข้าสามารถรับรู้พลังของพวกท่านมิใช่ว่าข้ามีสัมผัสพลังขั้นสูงแต่อย่างใด"
"ข้าพูดผิดไปแล้ว!"
ว่านหยวนข่ายถึงกับสะดุ้งรีบประสานมือขอโทษทันที
เซียวหยงหลิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจพลางยิ้มบางๆก่อนจะเปลี่ยนเรื่องและกล่าวขึ้นว่า
"พวกท่านเดินทางมาที่นี่เพื่อถวายบรรณาการใช่หรือไม่?"
"ถูกต้อง"
หลี่ทงหยากับว่านหยวนข่ายสบตากันก่อนจะพยักหน้ารับ เห็นเซียวหยงหลิงมีท่าทางกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นทั้งสองก็อดขำไม่ได้และแสร้งทำท่าทีตั้งใจฟัง
"ดินแดนตั้งแต่ทะเลสาบวั่งเยว่จนถึงแคว้นหลี่เซี่ยล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของยอดเขาเย่หูเฟิงพวก ท่านรู้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้มาเก็บภาษีบรรณาการในปีนี้?"
"ข้าไม่ทราบ..."
"ก็คือ หนิงหว่าน เซียนแห่งทะเลสาบฤดูใบไม้ร่วง!"
เซียวหยงหลิงพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจก่อนจะเห็นว่าหลี่ทงหยาและว่านหยวนข่ายมีสีหน้าสงสัย เขาจึงหยุดไปครู่หนึ่งแล้วอธิบายต่อว่า
"ท่านหนิงหว่านสามารถกลั่น สายลมพฤกษ์แห่งป่าสน มาใช้เป็นพลังฝึกตนในขั้นฝึกพลัง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในเรื่องค่ายกลอย่างยิ่ง ยามอายุเพียงยี่สิบสี่ก็สามารถทะลวงถึงขั้นฝึกพลังระดับแปดได้แล้ว ว่ากันว่าเป็นสตรีโฉมงามอันดับหนึ่ง แต่โดยปกตินางไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปเลย หากไม่ใช่เพราะศิษย์ของยอดเขาเย่วหูเฟิงติดภารกิจกันหมดนางก็คงไม่มารับหน้าที่เก็บภาษีบรรณาการนี้"
เซียวหยงหลิงพูดพลางหยุดพักหายใจ แล้วจึงจ้องมองว่านหยวนข่ายด้วยสายตาสงสัยก่อนจะเอ่ยถามว่า
"พูดถึงเรื่องค่ายกล ข้าได้ยินว่าตระกูลว่านของท่านมีสายสืบทอดในด้านนี้ใช่หรือไม่? ข้ารู้สึกว่าตระกูลของท่านฟังดูคุ้นหูมาก"
"แน่นอน!"
ว่านหยวนข่ายซึ่งอดทนฟังมานานถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันทีพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
"เมื่อหลายร้อยปีก่อนตระกูลข้ามียอดปรมาจารย์ค่ายกลผู้หนึ่งนามว่า ว่านฮว่าเชียน จึงเป็นที่มาของชื่อ ภูเขาฮว่าเชียนซาน!"
"อย่างนี้นี่เอง..."
เซียวหยงหลิงพยักหน้ารับพร้อมกล่าวเสริมว่า
"ข้าเคยอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ของตระกูล มีการกล่าวถึงว่านฮว่าเชียน ว่ากันว่าเขาอาจได้รับมรดกตกทอดจากผู้บำเพ็ญที่ล่วงลับไปในศึกเมื่อครั้งอดีต"
เมื่อได้ยินเรื่องที่น่าสนใจหลี่ทงหยาก็รีบถามขึ้นทันที ก่อนที่หัวข้อสนทนาจะวกกลับไปที่ความงามของหนิงหว่าน
"ไม่ทราบว่าเป็นศึกอะไรหรือ?"
เซียวหยงหลิงส่ายศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"แม้แต่บันทึกของตระกูลยังกล่าวไว้ไม่ชัดเจน เพียงแต่ได้ยินว่ามีผู้หนึ่งอ้างตนเป็นศิษย์ของตำหนักจันทร์ฉาย แล้วสั่งให้สามสำนักสิบตระกูลยอมรับอำนาจของตน ผลสุดท้ายสามสำนักจึงร่วมมือกันต่อต้านเขา ศึกนั้นจบลงที่ทะเลสาบวั่งเยว่และเขาก็จบชีวิตลงที่นั่น"
"ช่างโอหังนัก!"
ว่านหยวนข่ายถึงกับสูดหายใจลึกไม่อาจห้ามความรู้สึกหวั่นเกรงต่อบุรุษผู้นั้นได้
"ศึกครั้งนั้นหนักหน่วงนัก แม่น้ำแห้งเหือด เส้นพลังแห่งผืนดินถูกตัดขาด สามสำนักเสียผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานไปสิบห้าคน ผู้ฝึกพลังเสียชีวิตนับสิบ ส่วนระดับตำหนักม่วงยังมีสองคนต้องจบชีวิตลง ส่วนสิบตระกูลในเวลานั้นบัดนี้เหลือเพียงเจ็ดเท่านั้น"
หลี่ทงหยาก็อดไม่ได้ที่จะสะท้อนใจกับเรื่องราวนี้ ภาพของภูเขาแตกสลายและแม่น้ำไหลย้อนกลับเมื่อสามร้อยปีก่อนพลันปรากฏขึ้นในความคิด
"ว่ากันว่าผู้บำเพ็ญระดับตำหนักม่วงมีอายุขัยห้าร้อยปี ต้องผ่านความยากลำบากมากเพียงใดกว่าจะบรรลุถึงระดับนั้น แทนที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสงบไฉนจึงต้องทุ่มสุดชีวิตเข้าห้ำหั่นกัน?"
ว่านหยวนข่ายถอนหายใจอย่างเสียดาย
"ฮ่าๆๆๆ"
เซียวหยงหลิงหัวเราะออกมาก่อนจะกล่าวอย่างขบขัน
"พวกเราผู้บำเพ็ญระดับต่ำ เป้าหมายสูงสุดก็คือเข้าสู่ขั้นฝึกพลังให้ได้สักวันหนึ่ง ไม่อาจเข้าใจจิตใจของผู้บำเพ็ญระดับสูงเหล่านั้นได้หรอก"
เขาหยิบถ้วยสุราขึ้นจิบแล้วกวาดสายตามองกับแกล้มบนโต๊ะ สุดท้ายก็วางตะเกียบลงเงียบๆพลางคิดในใจว่า
"ที่นี่มีดีแค่สุราเท่านั้นจริงๆ"
"พี่เซียว ท่านรู้หรือไม่ว่าสายลมพฤกษ์แห่งป่าสนคือสิ่งใด?"
หลี่ทงหยาผู้ไม่ปล่อยโอกาสให้เสียเปล่ารีบถามขึ้น
"ในการบรรลุจาก วัฏจักรแห่งการบำเพ็ญลมหายใจไปสู่ขั้นฝึกพลังจำต้องดูดซับพลังแห่งฟ้าดินให้ได้อย่างน้อยหนึ่งสาย สายลมพฤกษ์แห่งป่าสนก็นับเป็นหนึ่งในนั้น ผู้ฝึกบำเพ็ญต้องเดินทางไปยังป่าสนบนภูเขาหิมะ คอยให้ลมหนาวพัดผ่านแล้วใช้วิธีพิเศษในการรวบรวมมันได้เดือนละหนึ่งเส้น หากปักหลักอยู่บนยอดเขาหิมะเพียงห้าปีก็จะรวบรวมได้ครบ แต่ถ้าเลือกจะรอให้หิมะตกตามธรรมชาติก็อาจต้องใช้เวลากว่าสิบปี"
เซียวหยงหลิงอธิบายพร้อมรอยยิ้ม
"ที่แท้เป็นเช่นนี้!"
ทั้งสามสนทนากันต่ออีกเล็กน้อยก่อนที่เซียวหยงหลิงจะลุกขึ้นประสานมือแล้วกล่าว
"ดึกมากแล้วข้าไม่อาจรั้งพวกท่านไว้ได้อีก พวกท่านยังต้องเดินทางไปยอดเขากวานหยุนเฟิง เราคงต้องจากกันเพียงเท่านี้ หากพวกท่านผ่านไปที่แคว้นหลี่เซี่ยในอนาคตอย่าลืมมาเยี่ยมเยียนข้า เราจะได้ดื่มสุรากันอีก!"
"แน่นอน!"
เซียวหยงหลิงกล่าวอำลาสองคนก่อนจะเดินออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับผู้ติดตาม มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
เพิ่งเดินออกมาไม่กี่ก้าวสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิด ผู้ดูแลวัยกลางคนที่เดินตามหลังไม่กล้ารบกวนได้แต่ก้มตัวเดินตามไปเงียบๆ
ในขณะนั้นมีเสียงกระซิบดังขึ้นด้านหลัง
"ท่านผู้นี้มิใช่หรือที่ขึ้นชื่อว่าหยิ่งยโสโอหังมาตลอด เหตุใดวันนี้ถึงมีท่าทีสุภาพอ่อนน้อมถึงเพียงนี้? มิใช่แค่สองคนนั้นหรอก พวกเราก็ยังตกตะลึง"
"โง่เง่า!"
ผู้ดูแลวัยกลางคนก้าวถอยหลังไปก่อนจะตบศีรษะคนพูดอย่างแรง แล้วจึงกระซิบข้างหูว่า
"เจ้าคิดว่าพวกมนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเราในสายตาของท่านผู้นี้มีค่าเท่าคนเสียเมื่อไร? ใครบ้างที่พูดจาดีๆกับสุนัขกันเล่า!"
(จบบท)