ตอนที่แล้วตอนที่ 109
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 111

ตอนที่ 110


ตอนที่ 110



การปิดด่านฝึกตนครั้งนี้กินเวลาไปกว่าหนึ่งเดือน แน่นอน การเปลี่ยนแปลงของไข่มุกโกลาหลนั้นค่อนข้างเกินความคาดหมายของเต๋าซุน

 การพัฒนาครั้งนี้เกือบจะเป็นการเพิ่มความสามารถในเชิงคุณภาพ และเต๋าซุนก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่อัดแน่นอยู่ทั่วร่างของเขา

 สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากเข้าสู่ระดับ 4 เขาจะมีความสามารถในการเดินเหินอากาศได้

หลังจากที่เต๋าซุนออกจากการปิดด่าน เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าโลกภายนอกเปลี่ยนไป ทุกสิ่งกลายเป็นชัดเจนและแม้แต่อากาศก็ยังรู้สึกสะอาดขึ้นเป็นพิเศษ

สมุนไพรจิตวิญญาณทั้งสองด้านบนยอดเขาเดียวดายเองก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ราวกับว่าพวกมันได้รับความก้าวหน้า

พวกมันแฝงไปด้วยคลื่นพลังจิตวิญญาณที่คล้ายกับตอนที่เขาดูดซับพลังขณะกำลังควบแน่นแก่นชีวิต

 “พี่ใหญ่” เสี่ยวกุ้ยจื่อก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็วเพื่อทักทายเขา

“มีอะไรเกิดขึ้นบ้างขณะที่ข้าปิดด่านฝึกตนอยู่บนยอดเขาเดียวดาย  ?” เต๋าซุนพยักหน้าและถาม

“ท่านรองผู้นำนิกายมาที่นี่ก่อนหน้านี้ และฝากให้ข้าตามท่านไปพบหลังจากที่ออกจากการปิดด่าน” เสี่ยวกุ้ยจื่อตอบ: “และข้ายังได้ยินมาจากศิษย์ในนิกายอีกด้วยว่า อาคมป้องกันของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรานั้นถูกเปิดใช้งานมาแล้วระยะหนึ่งก่อนหน้านี้  .”

 “อาคมป้องกันนิกายรึ?” เต๋าซุนขมวดคิ้ว ไม่นานเขาก็ได้คำตอบในใจ

ดูเหมือนความก้าวหน้าของเขาจะดึงดูดความสนใจของท่านพ่อไม่น้อย ในเวลานั้น ด้วยการขาดแคลนพลังจิตวิญญาณของยอดเขาเดียวดาย พ่อของเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดใช้งานอาคมป้องกันนิกายเพื่อรวบรวมพลังจิตวิญญาณมหาศาลมาให้กับเขา

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดเหล่าสมุนไพรในสวนของข้าถึงได้เติบโตเพียงนี้ ปรากฏว่าพวกมันได้รับผลประโยชน์จากคลื่นพลังจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน

 “ข้าเข้าใจแล้ว” เต๋าซุน พยักหน้า

“ยังไงก็เถอะ พี่ใหญ่ พี่ปิงมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่เพราะท่านปิดด่านฝึกตนอยู่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไป” เสี่ยวกุ้ยจื่อกล่าว

 "ปางซูรึ?" เต๋าซุนพยักหน้า เขารู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เจ้าปลาน้อยคงมีคำตอบในใจแล้ว

  …………

 หลังจากออกจากยอดเขาเดียวดาย เต๋าซุนก็ตรงไปยังยอดเขาเมฆาที่พ่อของเขาอาศัยอยู่

เต๋าเสี่ยวโม่ดูเหมือนจะสวมชุดสีเขียวอยู่เสมอ แต่เมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่เต๋าซุนได้พบกับท่านพ่อของเขาแล้ว ตัวเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

 “ท่านพ่อ” เต๋าซุนทักทาย

“เมื่อเห็นว่าเจ้าไม่เกียจคร้านที่จะฝึกฝน พูดตามตรงว่าในฐานะพ่อแล้ว ข้ามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง” เต๋าเสี่ยวโม่ กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เช่นนั้นข้าจะฝึกฝนให้หนักกว่าเดิม ท่านคือคนเปิดอาคมป้องกันนิกายก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่  ?” เต๋าซุน ถาม

เต๋าเสี่ยวโม่พยักหน้าและกล่าวว่า: "ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่อะไรมา แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าสูญเสียโอกาสอันดีนั้นไป

 ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อทุกคนเติบโตขึ้น ก็ล้วนแต่ต้องมีความลับของตัวเอง

 เจ้าเพียงแค่รู้ไว้ว่าพ่อจะคอยอยู่ข้างเจ้าเสมอ และหากเจ้าต้องการสิ่งใด ก็ให้มาหาได้ตลอดเวลา    "

“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ ข้าทราบมาตลอด ” เต๋าซุนพยักหน้าอย่างเคารพ

เขารู้ดีว่าเขาหาใช่คนที่มีอารมณ์อ่อนไหวไม่

แต่บางครั้งมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง  จริงๆแล้วการที่น้ำตาไหลหยดลงมานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเพราะความดีใจหรือเสียใจเสมอไป

  บางครั้งมันก็ไหลลงมาเพราะตระหนักได้ถึงความห่วงใยของใครสักคนที่มอบให้ สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักได้ว่าผู้ใดที่อยู่เคียงข้างเขาอย่างแท้จริง

เต๋าซุนรู้สึกว่าปลายจมูกของเขาเริ่มแสบเล็กน้อย   ช่วงแรกของชาติที่แล้วเขามักคิดอยู่เสมอว่าท่านพ่อนั้นไม่สนใจเขา

 เขาคิดมาเสมอมาว่าสำหรับพ่อของเขาแล้วนิกายมีความสำคัญมากกว่าตัวเขา

แต่หลังจากที่เขาถูกทุบตีที่สายธารมังกร และพ่อของเขาใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อล้างแค้นให้กับเขา  ตอนนั้นเขาจึงได้เข้าใจ

บางครั้งเจ้าจะพบกับคนที่บอกว่าตัวเขาสามารถบุกน้ำลุยไฟเพื่อเจ้าได้ แต่แท้จริงแล้วจะมีเพียงสักกี่คนกันที่สามารถทำได้จริง

 ในขณะเดียวกัน บางคนนั้นแม้ไม่เคยพูดสิ่งใด แต่เขากลับเป็นฝ่ายที่อยู่เคียงข้างและสนับสนุนเจ้าด้วยทุกสิ่งที่มี นี่เป็นความเงียบที่อยู่เหนือกว่าคำพูดอย่างแท้จริง และยังเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ที่สุด

  ………   

“นี่พวกท่านพ่อลูกช่วยคุยกันเรื่องอื่นบ้างได้หรือไม่เวลาอยู่ด้วยกัน  ? นี่ทั้งชีวิตของพวกท่านจะเอาแต่คุยเรื่อง ฝึกฝน ฝึกฝน ทั้งวันเลยรึ” เหวินเทียนหยุนแม่ของเต๋าซุนก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจขณะที่มองดูจากด้านข้าง

“เจ้าพูดอะไรกัน  สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในวัยนี้ก็คือการฝึกฝนไม่ใช่รึ” เต๋าเสี่ยวโม่ตอบ

“ซุนเอ๋อ ปีนี้เจ้าอายุสิบห้าปีแล้ว เจ้าได้พบเจอหญิงสาวที่ชมชอบบ้างแล้วหรือไม่ ? แม่ของเจ้ายังเฝ้ารอที่จะอุ้มหลานอยู่นะ” เหวินเทียนหยุนจ้องมองไปที่เต๋าเสี่ยวโม่ และหันไปมอง เต๋าซุน และถาม

“ท่านแม่ ข้าเพิ่งอายุสิบห้าปีเอง เหตุใดท่านต้องรีบร้อนเช่นนี้เล่า” เต๋าซุนส่ายหัวอย่างรวดเร็ว

“ดูหลานของผู้อาวุโสสี่สิ ตอนนี้เขาคนเดียวมีหญิงสาวไปแล้วกว่าโหล

 แล้วดูตัวเจ้า เจ้าไม่แม้แต่จะแตะต้องสาวใช้ทั้งสองคนที่แม่ส่งให้ไปด้วยซ้ำ ” เหวินเทียนหยุนกล่าวอย่างไม่พอใจ

 ในฐานะผู้หญิง บางครั้งคำพูดก็เป็นสิ่งที่กระทำออกมาได้ง่าย

เหวินเทียนหยุนนั้นไม่ได้พบหน้าเต๋าซุนมานานแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่นางจะพูดมากขึ้นเมื่ออยู่กับเขา

“สำหรับพ่อของเจ้า ในชีวิตนี้คงไม่มีสิ่งใดสำคัญไปมากกว่าการฝึกตนแล้วกระมัง ด้วยการบ่มเพาะระดับ 7 แล้ว

เมื่อองค์จักรพรรดิจากไป   ภาระอันหนักหน่วงของการขึ้นเป็นจักรพรรดิก็ยิ่งตกมาที่ตัวเขาอีก

 ดูสิตอนนี้เจ้านั้นไม่ต่างจากพ่อของเจ้าสมัยยังหนุ่มแม้แต่น้อย สนใจแต่การฝึกฝนเท่านั้น

ส่วนแม่ของเจ้านั้นคงไม่มีเวลาไปสนใจการฝึกฝนอีกแล้วในชีวิตนี้  ทุกวันหวังเพียงให้เจ้ากับพ่อของเจ้าปลอดภัยก็เหนื่อยแล้ว และยิ่งเมื่อใดที่เจ้าแต่งงานและมีลูกในอนาคตอีก ก็ดูเหมือนจะมีแต่แม่นี่แหละที่จะเป็นคนดูแลหลานตัวน้อยๆ

   หากแม่ต้องรอไปอีกสองสามร้อยปี นั่นไม่เท่ากับว่าแม่สิ้นสุดอายุขัยไปแล้วหรอกรึ ถึงตอนนั้นแม่จะมีโอกาสได้เลี้ยงหลานได้อย่างไร  "

“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรต่อหน้าลูกกัน ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ข้าจะไม่มีปล่อยให้เจ้าหายไปจากข้าอย่างแน่นอน ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้ายังอยู่กับข้า แม้ว่าจะต้องสูญเสียสิ่งใดไปก็ตาม” เต๋าเสี่ยวโม่ พูดอย่างรวดเร็ว

“ถ้าเป็นอย่างที่ท่านพูดจริงท่านก็คงแบ่งเวลามาสนใจข้าบ้างแล้ว ทุกวันนี้ก็เห็นเอาแต่ฝึกฝน ฝึกฝน แล้วก็ยุ่งอยู่แต่กับเรื่องนิกาย” เหวินเทียนหยุนเริ่มแสดงอาการน้อยใจหลังจากได้ยินคำพูดของเต๋าเสี่ยวโม่

เมื่อเต๋าซุนเห็นว่าทั้งสองคนกำลังเริ่มพลอดรักกันมากขึ้น เขาที่ไม่อยากเป็นสุนัขขวางทางจึงรีบกล่าวคำอำลาทันที

“หากท่านทั้งสองไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน ”

“ถ้าเจ้าพบเจอหญิงสาวที่ชมชอบเมื่อใด อย่าได้ลืมบอกแม่ของเจ้าเด็ดขาดนะ ข้าจะเป็นคนช่วยสู่ขอนางแต่งงานเอง” เหวินเทียนหยุนพูดอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้ยินคำพูดของท่านแม่ เต๋าซุนก็อดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าจากไปเร็วกว่าเดิม

“อาณาจักรลับอสูรโลหิตของนิกายจะถูกเปิดในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว ข้าได้จองสิทธิ์นั้นไว้ให้กับเจ้าแล้วเช่นกัน ฉะนั้นจงเตรียมตัวให้ดี  ”

เสียงของเต๋าเสี่ยวโม่ก็ดังไล่ตามหลังเขามามาจากด้านหลัง และ เต๋าซุน ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง "อาณาจักรลับอสูรโลหิต"

อาณาจักรลับอสูรโลหิตเป็นอาณาจักรลับพิเศษภายในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ มันเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอาศัยอยู่

 “อสูรโลหิต!”

แม้ว่า เต๋าซุน จะไม่เคยไปที่อาณาจักรลับอสูรโลหิตมาก่อน แต่เขาก็ได้ยินข้อมูลมากมายเกี่ยวกับมันมาบ้าง

แม้ว่าดินแดนลี้ลับแห่งนี้จะอันตราย แต่มันก็เต็มไปด้วยโอกาสมากมาย

ว่ากันว่าตราบใดที่เจ้าสังหารอสูรเลือดที่อยู่ข้างในได้ เจ้าก็จะได้รับผลึกอสูรโลหิตมาครอง

 ผลึกอสูรโลหิตนั้นเป็นสมบัติที่สามารถเสริมพลังปราณและเลือดในร่างกายของมนุษย์ได้ ความแข็งแกร่งของพลังปราณและเลือดนั้นไม่เพียงแต่จะเพิ่มพลังในการต่อสู้เท่านั้น แต่มันยังเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งทนทานมากยิ่งขึ้นด้วย

 ในการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกบ่มเพาะระดับเดียวกัน หากความแข็งแกร่งของพลังปราณและเลือดฝ่ายไหนสูงส่งกว่า ฝ่ายนั่นก็ย่อมอยู่เหนือกว่าระดับหนึ่ง และสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

เมื่อนึกถึงผลึกอสูรโลหิตที่กำลังจะเปิดออก เต๋าซุนก็ยิ้มออกมา ในแม่น้ำแห่งโชคชะตาก่อนหน้านี้ เขาได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไป

เดิมทีเขาวางแผนที่จะไปยังอาณาจักรเทพจันทราบริสุทธิ์หลังจากนี้ เพราะที่นั่นมีบางสิ่งที่เขาต้องการ

แต่ตอนนี้ดูเหมือนคงต้องพักไว้ก่อน เพราะยังไงเสียที่อาณาจักรลับอสูรโลหิตเองก็มีบางสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเขาอยู่เช่นกัน

 หลังจากออกจากยอดเขาเมฆา เต๋าซุนก็ไปหาปางซูทันทีที่เขากลับมาถึงยอดเขาเดียวดาย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด