ตอนที่แล้วตอนที่ 218 อัตลักษณ์ของเทพมาร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 220 ความโกรธที่ไร้พลัง

ตอนที่ 219 โลกมารที่พังทลาย (ฟรี)


ตอนที่ 219 โลกมารที่พังทลาย

ซูหยางเงยหน้าขึ้น และได้เห็นว่ามันเป็นลูกไฟยักษ์ที่ลุกโชน และพลังของมันก็เทียบได้กับปรมาจารย์แล้ว

การโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้เพียงพอที่จะทำให้ครึ่งหนึ่งของนิกายอัคคีพังทลาย

ต้องบอกว่ามันแข็งแกร่งจริงๆ

แต่ซูหยางยังคงสงบ และระดมพลังของดาบเพลิงดาราเพื่อโต้ตอบ

การโจมตีของศัตรูนั้นทรงพลังจริงๆ แต่มันก็ต้องเป็นอันตรายต่อเขา ไม่งั้นก็ไม่มีค่าอะไร?

พลังค่อนข้างดี แต่ต้องถูกตัวเขาให้ได้ก่อน!

สายธารแห่งดาบเพลิงดาราทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ก้าวข้ามความว่างเปล่า และพุ่งใส่ลูกไฟยักษ์

ในช่วงต้นของการปะทะ ดาบเพลิงดาราถูกผลักกลับ ทรุดตัวลงทีละนิดด้วยพลังที่เหนือว่าของศัตรู

นี่เป็นเรื่องปกติ ท้ายที่สุดแล้ว ซูหยางเป็นเพียงผู้ฝึกฝนระดับ 1 เท่านั้น และยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างผู้ฝึกฝนระดับ 1 และกึ่งปรมาจารย์ขั้นสูง และทักษะนี้ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาเตรียมการจึงทรงพลังเป็นอย่างมาก

แต่ดาบเพลิงดาราของซูหยางนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด และพยายามต่อต้านอย่างไม่ย้อท้อ

หลังจากเวลาไปผ่านระยะหนึ่ง ความเร็วที่ดาบเพลิงดาราพังทลายก็ช้าลง

แม้แต่ลูกไฟยักษ์ก็ถูกหยุดยั้งเอาไว้ และดูเหมือนจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ พร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ และในท้ายที่สุดมันก็ถูกทำลายลง

การโจมตีของเจ้านิกายอัคคีสลายหายไป ในขณะที่ดาบเพลิงดาราของซูหยางยังคงแหวกว่ายอยู่กลางอากาศ

พวกมันร่ายรำอย่างอิสระราวกับงูวิญญาณ

ทางด้านเจ้านิกายอัคคี เขารู้สึกหัวใจของตนจมลงสู่ก้นบึ้งหลังจากได้เห็นภาพนี้

เขารู้สึกหนาวจนทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน

นี่เป็นความจริงงั้นเหรอ หรือข้ากำลังฝันอยู่?

นี่คือโลกมารที่ข้าถัดทอขึ้น แต่ข้าก็ยังไม่สามารถมีพลังปราณไร้ขีดกำจัดเช่นนั้นได้!

ทำไมเจ้าถึงทำอย่างนั้นได้!

ก่อนที่เขาจะทันคิดถึงเรื่องนี้ ซูหยางก็เดินเข้ามาในห้องโถงหลักแล้ว ตัวห้องโถงถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยเจตจำนงดาบขณะที่เขาค่อยๆ เดินเข้ามา

เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง เขามองไปที่เจ้านิกายอัคคี

นี่คงเป็นอัตลักษณ์ของเทพมารในโลกนี้

โดยไม่มีบทสนทนาใดๆ หลังจากก้าวเข้าไปในนั้น ดาบเพลิงดาราของซูหยางก็ทะยานเข้าใส่

เจ้านิกายอัคคีก็หายตัวไปจากจุดเดิมโดยไม่พูดอะไรสักคำ

นั้นแสดงให้เห็นถึงความเร็วในการหลบหนีที่รวดเร็วเป็นอย่างมาก

ความเร็วของกึ่งปรมาจารย์ขั้นสูงนั้นเร็วกว่าของซูหยางอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้ซูหยางตกตะลึงคือ อีกฝ่ายเลือกที่จะหนี

“เจ้าจะหนีไปไหน? ทำเช่นนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ถ้าเจ้าไม่สามารถฆ่าข้าได้ภายในสามวัน โลกมารของเจ้าก็จะพังทลาย!”

“หยุดดิ้นรนอย่างไร้ค่า มารับความตายซะ”

ซูหยางไล่ตามไปในเวลาเดียวกัน แต่ความเร็วของเขาช้ากว่ามาก

หลังจากได้ยินคำพูดของซูหยาง เจ้านิกายอัคคีก็ไม่ได้หยุด แต่กลับเพิ่มความเร็วขึ้นแทน

เขาหายตัวไปต่อหน้าซูหยางในพริบตา และพยายามทิ้งระยะห่าง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูหยางก็โกรธเล็กน้อยเช่นกัน

“บัดซบ เจ้าจะหนีทำไม? มันควรเป็นข้าที่ต้องหนีไม่ใช่เหรอ”

ซูหยางมองไปที่ข้อกำหนดการทำลายของโลกมารใบนี้

[ ห้ามถูกฆ่าภายใน 3 วัน ]

นี่เป็นเป้าหมายของผู้ฝึกฝนอย่างพวกเขาที่เป็นคนนอก ไม่ใช่เทพมารที่ถักทอโลกใบนี้

หนีไปในตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร หากไม่สามารถฆ่าเขาได้ภายในสามวัน โลกทั้งใบจะพังทลายอยู่ดี

ทำไมสู้จนตายกันไปข้าง? นี่มันทำให้เขาต้องเสียเวลามากยิ่งขึ้น

“ฮึ่ม ข้าอยากจะดูสิว่าเจ้าจะหนีไปได้นานแค่ไหนกัน!”

ซูหยางไม่สนใจมากนัก และไล่ตามต่อไป ไม่ว่าอย่างไร เจตจำนงดาบของเขาก็ไร้ขีดจำกัด แต่ในทางกลับกันพลังปราณของอีกฝ่ายมีวันหมดสิ้น

ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝ่ายจึงไล่ล่ากันไปทั่วโลกมาร

หลังจากบินไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง เจ้านิกายอัคคีก็ต้องหยุด ท้ายที่สุด เขาเป็นเพียงกึ่งปรมาจารย์ขั้นสูง แม้จะมีพลังปราณมากมาย แต่ก็มีขีดกำจัด และความเร็วในการฟื้นฟูก็ไม่สามารถไล่ตามทันการบริโภคได้

เขามองไปที่พื้นที่ว่างด้านหลัง และถอนหายใจด้วยความโล่งอกชั่วคราว

“บัดซบ ชายคนนั้นคือใครกัน? ทำไมจึงมีคนเช่นนี้ในโลกมิติต่ำ และข้าก็ไม่สามารถมองผ่านอะไรในตัวเขาได้เลย”

“แย่แล้ว นี่มันแย่มากจริงๆ...ข้าควรทำอย่างไรต่อไปดี?”

เจ้านิกายอัคคีสับสน และรู้สึกหมดหนทาง เช่นเดียวกับที่ซูหยางพูด ถ้าเขาไม่สามารถฆ่าซูหยางได้ภายในสามวัน โลกมารของเขาก็จะพังทลาย และเขาจะตายในท้ายที่สุด

แต่แม้ว่าเขาจะตายภายในอีกสามวัน เขาก็ไม่ยอมตายในตอนนี้อย่างแน่นอน ท้ายที่สุดเขาอาจคิดหาหนทางได้ในภายหลัง?

สวรรค์อาจให้โอกาสเขาก็เป็นได้?

อย่างน้อยก็มีความหวังริบหรี่อยู่ หากโลกมารยังอยู่

แต่จะมีวิธีใดที่จะทำให้เขาสามารถสังหารอีกฝ่าย และแก้วิกฤตครั้งนี้หรือไม่?

เจ้านิกายอัคคียังคงครุ่นคิด เดิมทีเขาต้องการอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง แต่ในการรับรู้ของเขา ซูหยางกำลังไล่ตามมาจนทันแล้ว

นั้นทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหนีต่อไป

สำหรับซูหยาง เนื่องจากพลังแห่งกรรม เขาจึงไม่กลัวที่ว่าจะปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไปได้

แม้ว่าจะมองไม่เห็นร่างของเจ้านิกายอัคคี เขายังคงสามารถใช้พลังแห่งกรรมในการอนุมานได้

การไล่ล่าเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ทะเลสาบจิ่วโหย่ว

เจี้ยนเถามองไปที่แมลงเก้าอเวจีในมือของเขาด้วยความตื่นเต้น

“เยี่ยม เมื่อได้รับสิ่งนี้ ข้าก็เกือบจะแน่ใจว่าเราจะรอดจากโลกมารใบนี้ได้!”

เจี้ยนเถารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับแมลงเก้าอเวจีมาไว้ในมืออย่างราบรื่นเช่นนี้!

ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณมนุษย์คนนั้น งูนรกถูกจัดการไปแล้ว แต่อีกฝ่ายโง่มากที่ไม่เอาแมลงเก้าอเวจีไป

ต้องรู้ว่าแมลงเก้าอเวจีเป็นกุญแจสำคัญในการทำลายโลกมารใบนี้ หากไม่มีมันก็ไม่สามารถควบคุมแมลงจำนวนมากได้ และพวกเขาก็จะไม่ต่อกรกับเจ้านิกายอัคคีที่เป็นกึ่งปรมาจารย์ขั้นสูงได้

เจี้ยนเถาจมอยู่ในความตื่นเต้น แต่ไฉหยุนมองไปที่ท้องฟ้าโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะนี้ และเห็นสองร่างบินผ่านไปด้วยความเร็วสูง และอดไม่ได้ที่จะอุทาน "พี่เจี้ยน มนุษย์คนนั้นเพิ่งบินผ่านเราไป!"

เจี้ยนเถาเหลือบมองท้องฟ้า และไม่เห็นอะไรเลย แต่ตอนนี้เขาอารมณ์ดี และไม่อยากทะเลาะกับไฉหยุน

“ไม่ต้องกังวลไป เป้าหมายหลักของเราคือ การหลบหนี ตอนนี้เราได้รับแมลงเก้าอเวจีแล้ว ที่เหลือเราแค่ต้องรีบไปที่หุบเขาหมื่นแมลง คราวนี้เราจะสามารถทำลายโลกมารใบนี้ได้อย่างแน่นอน!”

"ตกลง……"

แต่ในวินาทีต่อมา สภาพแวดล้อมที่อยู่ตรงหน้าพวกเขากลายเป็นพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อยๆ

“อะไร...เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นกัน!”

“โลกมารถูกทำลายแล้วเหรอ?”

พวกเขาเคยประสบเหตุการณ์นี้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงพอคาดเดาได้

“เป็นไปไม่ได้ วัฏจักรยังไม่สิ้นสุด ยังไม่ถึงเวทีสุดท้าย เราเพิ่งได้รับแมลงเก้าอเวจีมาเอง โลกมารจะถูกทำลายลงแล้วได้อย่างไร”

"ไม่ ผลงานของข้ายังคงเป็น 0!"

"นี่คือโลกมารที่ข้าพยายามอย่างหนักเพื่อพิชิตมาเป็นเวลาสามปี"

"บ้าเอ๊ย เป็นไปไม่ได้!"

ดวงตาของเจี้ยนเถาเต็มไปด้วยความสับสน และเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเริ่มพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็ถูกขับไล่ออกไป

...

ในป่าทึบ

"หนี?"

“ทำไมเจ้าไม่หนีต่อล่ะ!”

ในเวลานี้ ซูหยางทำตัวเหมือนอันธพาลที่แสนชั่วร้าย มองดูเจ้านิกายอัคคีที่ยืนอยู่บนพื้นเพราะพลังปราณหมดลง

“เจ้าทำให้ข้าเสียเวลาไปอย่างสูญเปล่า มันควรจะจบลงได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว!”

ซูหยางก็รู้สึกไม่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง และดาบเพลิงดาราจำนวนมากก็พุ่งทะยานลงไป

เมื่อเจ้านิกายอัคคีตายลง โลกมารก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์

[ เจตจำนงแห่งสรรพชีวิตสี่มิติ +2 ]

[ ผลบุญ +200 ]

นอกจากการแจ้งเตือนทั้งสองนี้แล้ว ยังมีการ์ดใบหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า

มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของมิติที่สี่ ลึกลับ และทรงพลัง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด