ตอนที่ 16 แม่นมมาถึงแล้ว
ตอนที่ 16 แม่นมมาถึงแล้ว
“เขตไหวเป่ยอยู่ในเมืองหูโจว” เว่ยจิ่นอี้กล่าว
“จริงด้วยขอรับ คุณหนูใหญ่มาจากเขตไหวเป่ย จึงไม่น่าแปลกใจที่นางมีกระดาษนี้!”
“แต่กระดาษนี้ราคาไม่ถูกเลย” เว่ยจิ่นอี้ยังพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
กระดาษธรรมดาสิบแผ่นราคา 1 อีแปะ แต่กระดาษหนึ่งแผ่นจากซื่อเป่าไจมีราคา 5 อีแปะ สิบแผ่นจึงมีราคาเป็นห้าสิบเท่าของกระดาษธรรมดา
สิ่งสำคัญที่สุดคือกระดาษจากซื่อเป่าไจหาซื้อไม่ง่ายนัก เนื่องจากคุณภาพดีมาก จึงมีชนชั้นสูงจำนวนมากแย่งกันซื้อ ส่งผลให้ซื่อเป่าไจมีปริมาณสินค้าไม่เพียงพอเลยสักวัน
และเท่ากับว่าเว่ยรั่วมอบเงินให้เขายี่สิบอีแปะง่ายๆ เลย
นางได้เงินมาจากที่ใด? แล้วเหตุใดนางถึงดีกับเขาขนาดนี้? จุดประสงค์ของนางคืออันใด?
หลังกลับมาที่เรือนทิงซงแล้ว เว่ยรั่วก็นอนบนเตียงด้วยความเกียจคร้าน
เมื่อกินดื่มจนอิ่ม เลือดทั้งหมดก็เหมือนจะถูกส่งไปยังลำไส้และกระเพาะอาหาร สมองจึงว่างเปล่าและเหมาะแก่การนอนเหม่อลอย
“คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดบ่าวถึงรู้สึกว่าท่านปฏิบัติต่อคุณชายรองดีกว่าพวกนายท่าน ฮูหยินและคุณชายใหญ่ล่ะเจ้าคะ? แต่บ่าวคิดว่าคุณชายใหญ่ปฏิบัติต่อคุณหนูดีกว่าคุณชายรองมากนัก เพราะคุณชายรองทั้งเย็นชาและไม่เต็มใจที่จะคุยกับคุณหนู ในทางกลับกัน คุณชายใหญ่นั้นอ่อนโยนและมีน้ำใจมากกว่า เขายังสละเรือนส่วนตัวให้คุณหนูด้วย” ซิ่วเหมยอยากรู้อยากเห็นมากๆ
“เพราะตอนที่ข้าเข้าหาคุณชายรองนั้นไม่มีแรงกดดันใดๆ น่ะสิ”
“คุณชายใหญ่ทำให้ท่านกดดันหรือเจ้าคะ?”
“อืม หากข้าทำดีต่อคุณชายใหญ่ ผู้คนจะคิดว่าข้ากำลังแข่งขันเพื่อชิงความโปรดปราน แต่คุณชายรองนั้นไร้ตัวตนในจวนแห่งนี้ ข้าจึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกกดดันที่จะทำดีต่อเขา ข้าแค่ทำตัวเป็นธรรมชาติได้เลย”
“อ่า...ถึงแม้ว่าบ่าวจะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีนัก แต่บ่าวรู้ว่าคุณหนูต้องพูดถูกเจ้าค่ะ”
เว่ยรั่วยิ้มน้อยๆ เพราะความจริงแล้วไม่ใช่แค่การหลีกเลี่ยงเรื่องแข่งขันชิงความโปรดปรานเท่านั้น
เพราะนางสืบทอดความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม และน่าจะมีอิทธิพลของสายเลือด จึงทำให้เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสมาชิกในครอบครัวที่เคยพลัดพราก นางมักจะมีบางอารมณ์เกิดขึ้นแม้ว่านางจะต้องการหรือไม่ก็ตาม
ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถควบคุมได้ตามใจ และไม่สามารถหักห้ามมันด้วยการคิดแบบมีเหตุผลได้
นางยังรู้ด้วยว่าการเสียชีวิตของเจ้าของร่างเดิมนั้นเกิดจากการกระทำของตนล้วนๆ แต่ความโหยหาความรักจากครอบครัวและความเจ็บปวดที่ถูกทอดทิ้งของเจ้าของร่างเดิมนั้นได้ฝังลึกอยู่ในใจของเว่ยรั่วด้วย
ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้อวิ๋นซื่อและเว่ยอี้เชินจะใจดีต่อนางมาก แต่นางยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับพวกเขาด้วยใจที่เปิดกว้างได้
ในทางกลับกันนั้น เว่ยจิ่นอี้ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม และในบทประพันธ์เดิมเขาแทบจะไม่มีตัวตน ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเขา นางจึงไม่มีความแค้นและไม่จำเป็นต้องกังวลอีกด้วย
เมื่อนางเผชิญหน้ากับเว่ยจิ่นอี้ นางมีความรู้สึกเช่นเดียวกับที่ได้เผชิญหน้ากับเพื่อนบ้านในโม่เจียจ้า และตราบใดที่อีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้ายต่อนาง ตัวนางก็สามารถเข้ากับอีกฝ่ายด้วยความตรงไปตรงมาและเป็นมิตรได้ และนางยังจะให้ความช่วยเหลือเขาเท่าที่สามารถทำได้ด้วย
แต่อวิ๋นซื่อกับเว่ยอี้เชินไม่สามารถให้ความผ่อนคลายและอิสรภาพเช่นนั้นได้
เช้าวันถัดไป เว่ยรั่วออกมานั่งตัดเถามันเทศ
ทันใดนั้นซิ่วเหมยซึ่งกลับจากข้างนอกก็พูดด้วยสีหน้ากังวลว่า “คุณหนูเจ้าคะ เป็นพี่เจิ้งหย่ง! คนที่กำลังทะเลาะกับองครักษ์หน้าประตูจวนเซี่ยวเว่ยคือพี่เจิ้งหย่งเจ้าค่ะ!”
พี่เจิ้งหย่งที่ซิ่วเหมยเอ่ยถึงคือสวี่เจิ้งหย่งบุตรชายของสวี่หมัวมัวนั่นเอง
“เหตุใดจึงฟังดูวุ่นวายนัก?”
“บ่าวได้ยินเสียงดังจากนอกประตูเจ้าค่ะ บอกว่าเมื่อสองวันที่แล้วสวี่หมัวมัวแจ้งจุดประสงค์ให้องครักษ์หน้าประตู โดยบอกว่าต้องการพบคุณหนู แต่ถูกองครักษ์หน้าประตูขับไล่ออกไป พี่เจิ้งหย่งโกรธมาก วันนี้เขาจึงมาแทนสวี่หมัวมัว แต่กลายเป็นว่าเขาทะเลาะกับองครักษ์หน้าประตูเจ้าค่ะ เขาอยากรู้ว่าเหตุใดองครักษ์หน้าประตูไม่แจ้งข่าวถึงคุณหนู ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ทำตามกฎของจวนเซี่ยวเว่ยแล้วเจ้าค่ะ”
ซิ่วเหมยกังวลมากจนเหงื่อออก “บ่าวก็นึกสงสัยว่าเลยกำหนดที่สวี่หมัวมัวต้องมาถึงแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่สามารถส่งข่าวได้นั่นเองเจ้าค่ะ!”
“อย่ากังวล ตามข้าไปดูที่หน้าประตูเถอะ”
เว่ยรั่ววางเถามันเทศในมือลงและจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะเดินนำซิ่วเหมยไปที่ประตู
เมื่อมาถึงประตู นางจึงเห็นสวี่เจิ้งหย่งกำลังโต้เถียงกับองครักษ์หน้าประตูจวนเซี่ยวเว่ย
ผิวของเด็กหนุ่มวัย 14 ปีมีสีแทนจากการถูกแสงแดดนานหลายปี และแต่งตัวเหมือนชาวนาไม่ผิดเพี้ยน
เพราะเหตุทะเลาะวิวาทจึงทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงตั้งแต่ใบหน้าจนถึงลำคอ
เมื่อเห็นเว่ยรั่วออกมา ดวงตาของเด็กหนุ่มที่ตกต่ำเมื่อครู่พลันสว่างขึ้นทันที แต่ในขณะที่เขากำลังจะเรียกเว่ยรั่ว คำแนะนำของมารดาก็ผุดขึ้นในความคิด
ท่านแม่บอกว่าตอนนี้คุณหนูรั่วเอ๋อร์เป็นคุณหนูจวนเซี่ยวเว่ย ฐานะของนางจึงแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ขอให้เขาระมัดระวังคำพูดมากขึ้นและไม่สร้างปัญหาให้แก่คุณหนูด้วย
สวี่เจิ้งหย่งจึงกลืนคำพูดลงคอทันที
เมื่อเว่ยรั่วมาถึง จึงเห็นว่าเว่ยอี้เชินอยู่ที่ประตูแล้ว
เมื่อเห็นเว่ยรั่วกำลังเดินมา เว่ยอี้เชินจึงพูดกับนางว่า “เจ้าอย่าออกไปที่นั่น เมื่อมีคนมาก่อเรื่องหน้าประตู โดยปกติแล้วอย่าออกไปดูความวุ่นวาย”
“เขาเป็นบุตรชายของแม่นมของข้าเอง” เว่ยรั่วกล่าว
เว่ยอี้เชินผู้สง่างามขมวดคิ้ว เมื่อมองเด็กหนุ่มที่หน้าประตูอีกครั้งก็เข้าใจกระจ่าง
“เจ้าเจอเขาไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าอยากพบแม่นม ข้าจะช่วยจัดการให้”
“เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นอย่าให้องครักษ์ทำให้เขาลำบากใจเลย” เว่ยรั่วเอ่ยขอ
“อืม ได้สิ” เว่ยอี้เชินตอบตกลง จากนั้นจึงหันหลังเดินออกจากประตูไป
เขาอธิบายให้องครักษ์หน้าประตูฟังสั้นๆ แล้วองครักษ์จึงปล่อยสวี่เจิ้งหย่งไป
เว่ยอี้เชินเดินย้อนกลับมาและบอกเว่ยรั่วว่า “ข้าบอกผู้ชายคนนั้นแล้ว ให้แม่ของเขามาวันพรุ่งนี้ ส่วนเขาไม่ใช่เด็กๆ แล้ว จะให้เดินเข้าออกเรือนหลังไม่ได้ คราวหน้าถ้าเจอเขา เจ้าควรระวังให้มากขึ้น”
“เจ้าค่ะ”
“ไปเรียนท่านแม่เรื่องวันนี้ด้วย ท่านแม่จะไม่ห้ามในการติดต่อกับแม่นมของเจ้าหรอก แต่เจ้าต้องแจ้งเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวให้นางทราบล่วงหน้าทุกครั้ง” เว่ยอี้เชินพูดด้วยความจริงใจ
“เจ้าค่ะ”
เว่ยอี้เชินมองไปที่ใบหน้าอันงดงามของเว่ยรั่วและลังเลที่จะพูด
“มีเรื่องใดอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
เว่ยอี้เชินคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “เมื่อเจ้ามีเวลาว่าง จงใช้เวลากับท่านแม่ให้มากขึ้น อย่าอยู่แต่ในเรือนของตนทั้งวัน แม้ว่าท่านแม่ยกเว้นเจ้าจากการแสดงความคารวะทุกวัน แต่เจ้าสามารถเริ่มเข้าหาท่านแม่ให้มากขึ้นเองได้ ท่านแม่จะต้องชอบแน่ๆ”
“เรื่องนี้คงต้องแล้วแต่สถานการณ์เจ้าค่ะ”
“แค่จดจำไว้ก็พอ”
“อ้อ เจ้าค่ะ”
เว่ยรั่วไม่ได้ปฏิเสธหรือตกลงโดยตรง จากนั้นพาซิ่วเหมยกลับไปที่เรือนทิงซง
วันรุ่งขึ้น สวี่หมัวมัวมาถึงจวนเซี่ยวเว่ยอีกครั้ง และองครักษ์หน้าประตูไม่ได้ขวางนางไว้ แต่พานางมาที่เรือนทิงซง
“คุณหนู!”
เมื่อสวี่หมัวมัวได้เห็นเว่ยรั่วแล้ว นางก็ตื่นเต้นดีใจมากๆ
หลังจากได้มองเว่ยรั่วด้วยความละเอียดสักพักแล้ว ดวงตาของนางก็แดงก่ำ
“เหตุใดแม่นมจึงร้องไห้เล่า? ท่านไม่ดีใจที่ได้พบข้าหรือ?” เว่ยรั่วเดินออกมาข้างหน้าและใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดน้ำตาให้แม่นม
“ข้าดีใจเจ้าค่ะ ดีใจมาก! ข้าสงสัยว่าเหตุใดตระกูลเฮ่อถึงใจร้ายและไม่ยุติธรรมต่อท่านขนาดนี้ ปรากฎว่าพวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของท่าน! ตอนนี้คุณหนูได้พบพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดแล้วช่างดีเหลือเกิน และไม่เพียงแต่เป็นตระกูลขุนนางเท่านั้น แต่ยังรักคุณหนูมากด้วย! คุณหนูเจ้าคะ การทำงานหนักทั้งหมดได้ผลแล้ว ข้าดีใจเหลือเกิน!”
“มีความสุขต้องหัวเราะสิ อย่าร้องไห้เลย” เว่ยรั่วเอ่ย
“ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ร้องแล้ว ไม่ร้องไห้แล้ว”
เว่ยรั่วช่วยเช็ดน้ำตาให้แม่นมและทำให้อารมณ์ของอีกฝ่ายผ่อนคลายลง
“ดูข้าสิ มัวแต่ร้องไห้จนลืมของสำคัญไปเลยเจ้าค่ะ!”
สวี่หมัวมัวรีบเปิดห่อผ้าออกแล้วหยิบกล่องไม้ขนาดเล็กออกมา เมื่อเปิดฝากล่องจึงเห็นว่ามีเงินแท่งขนาดเล็กเรียงเป็นระเบียบอยู่ด้านใน