ตอนที่แล้วบทที่ 300: วิธีป้องกันพิเศษ! มันคือการแสดงการคารวะอย่างจริงใจขั้นสุดยอดเลยตะหาก!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 302: ตะพาบนี่โคตรเจ๋ง! เชฟขั้นเทพต้องยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงแข่งเหรอ?

บทที่ 301: เถ้าแก่ฉิน มันเป็นเอฟเฟกต์ที่คุณไม่คาดฝันแน่นอน!


เมื่อฉินหลินได้ยินสิ่งที่รัฐมนตรีหลู่พูดเขาก็บอกความจริงไปว่า “ท่านรัฐมนตรี  สูตรลับที่คุณให้ผมมาก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย  ส่วนใหญ่ก็แค่บำรุงร่างกายนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติม”

“เฮ่อ~  ก็ตามคาดล่ะนะ” รัฐมนตรีหลู่ถอนหายใจ

แต่ฉินหลินกลับเสริมว่า “แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้มีแต่ของไร้ประโยชน์อย่างเดียว  มันยังมีของดี ๆ ซุกซ่อนอยู่ด้วย”

พูดจบเขาก็ยื่นสูตรลับ 2 สูตรให้กับอีกฝ่าย

หนึ่งคือสูตรเดิมของผงฉางเต้ากุ้ยหยวน  ส่วนอีกหนึ่งเป็นฉบับของหมอต็อด

“จริงเหรอ?”

เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วรัฐมนตรีหลู่ก็รีบรับสูตรลับสองสูตรที่ฉินหลินยื่นให้มาอ่าน  แต่ก็ต้องแปลกใจมากกว่าเดิมจนต้องถามออกมา “สูตรลับนี่มันมีประโยชน์จริง ๆ เหรอ?  นี่มันสูตรเดิม ๆ ของสมาคมแพทย์แผนโบราณทั่วไปเลยหนิ”

ฉินหลินอธิบายว่า “ใช่แล้วครับ  อันนี้เป็นสูตรเดิม ๆ ซึ่งผมอ่านครั้งแรกแล้วก็รู้สึกว่ามันแปลกมาก  เพราะว่าสรรพคุณทางยาของตัวยาหลาย ๆ ตัวมันขัดต้านฤทธิ์กันทำให้ยาเป็นกลางซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ควรเป็น”

“เพราะงั้นผมเลยลองใช้วิธีพิเศษจัดการคัดแยกเอาตัวยาที่พออยู่ด้วยกันแล้วทำให้เกิดฤทธิ์ที่เป็นกลางออก  แล้วก็เอาที่เหลือมาเรียบเรียงใหม่ก็ได้ยาสูตรนี้ออกมานี่แหละครับ”

“จากที่ผมวิเคราะห์ดูแล้วผงยาชนิดนี้ควรออกฤทธิ์ในลำไส้นะ  ท่านลองเอาสูตรนี้ไปให้คนที่สมาคมการแพทย์แผนโบราณทั่วไปลองปรุงยาแล้วทดสอบเพื่อหาผลลัพธ์ที่ละเอียดดูอีกทีแล้วกันนะครับ”

เมื่อศาสตราจารย์เหรินได้ยินดังนั้นก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที “ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นก็ได้นะเถ้าแก่ฉิน  เดี๋ยวคุณช่วยปรุงยาให้ผมเลยแล้วผมจะจัดการทดลองด้วยตัวเองเลยดีกว่า”

เขาอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผงยานี้มาก

เถ้าแก่ฉินได้นำยาออกมา 2 ชนิดแล้ว  อันแรกใช้สำหรับเสริมสร้างร่างกาย  ส่วนอีกอันเป็นยาระบาย  แล้วยังมีอันนี้อีกที่กระตุ้นความสนใจของเขาได้...

รัฐมนตรีหลู่เห็นดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วล่ะเถ้าแก่ฉิน  ต้องให้คุณมาช่วยตั้งแต่ต้นจนจบนี่เอาตรง ๆ ผมล่ะผิดหวักกับไอ้พวกนั้นที่สมาคมการแพทย์แผนโบราณทั่วไปจริง ๆ”

คำขอของรัฐมนตรีหลู่นั้นถือเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับฉินหลินดังนั้นเขาจึงตอบตกลง “ในปรุงผงยาชนิดนี้จะต้องซื้อเครื่องมือปรุงยาเฉพาะของมันกับวัตถุดิบก่อน”

“เดี๋ยวผมให้คนไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย” รัฐมนตรีหลู่พูดพร้อมหยิบมือถือออกมาโทรสั่งงาน  ซึ่งการทำงานของลูกน้องรัฐมนตรีนั้นเรียกได้ว่าทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

ใช้เวลาไม่นานเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นในการปรุงผงยารวมไปถึงวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับผงยาฉางเต้ากุ้ยหยวนก็มาพร้อมตรงหน้า

ฉินหลินให้เฉิ่นลี่ช่วยจัดหาสถานที่และติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ

เนื่องจากเป็นทักษะที่มาจากระบบทำให้การปรุงยาผงฉางเต้ากุ้ยหยวนนี้ฝังลึกลงในสมองและร่างกายของเขา  ดังนั้นการตั้งค่าต่าง ๆ รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของเขาจึงดูชำนาญเหมือนกับทำมาแล้วเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง

ขนาดการชั่งตวงวัดอัตราส่วนของส่วนผสมต่าง ๆ เขายังใช้มือกะน้ำหนักเอาแทนการใช้ตาชั่งโดยอาศัยความรู้สึกที่กล้ามเนื้อจดจำได้

ฉากนี้ทำให้รัฐมนตรีหลู่และศาสตราจารย์เหรินคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนที่ศึกษาการแพทย์แผนโบราณอย่างลึกซึ้งมาอย่างแน่นอนนั่นเอง

ศาสตราจารย์เหรินเห็นแล้วก็ต้องประหลาดใจไม่หาย “เถ้าแก่ฉินนี่ไม่จำเป็นต้องใช้ตาชั่งเลยแฮะ  ดูท่าจะเข้าใจในวัตถุดิบตัวยาพวกนี้อย่างลึกซึ้งแล้วจริง ๆ”

รัฐมนตรีหลู่พยักหน้าเห็นด้วย “จริง ๆ แล้วเถ้าแก่ฉินถึงขั้นสามารถบอกได้ว่าวัตถุดิบนั้น ๆ มีฤทธิ์แรงพอหรือไม่โดยเพียงแค่แตะลิ้นเท่านั้น  ซึ่งนี่เองก็ทำให้เขาสามารถจับร้านขายยาปลอมได้ด้วย”

“สุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ?” ศาสตราจารย์เหรินอดประหลาดใจไม่ได้

เมื่อฉินหลินเตรียมผงฉางเต้ากุ้ยหยวนเสร็แล้วคนทั้งคู่ก็เดินเข้ามาดูทันที

มันเป็นผงยาสีเทาในชามเล็ก ๆ ซึ่งมีกลิ่นยาที่แรงมาก

จริง ๆ ผงยากับยาน้ำนั้นมันมีความแตกต่างกันอยู่  โดยยาน้ำนั้นจะเกิดจากการต้มยาเพื่อสกัดเอาตัวยาออกมาโดยทิ้งกากยาที่ไม่มีประโยชน์แล้วไปซะ

แต่ผงยานั้นคือสิ่งที่ทำจากวัตถุดิบทางยาโดยใช้เครื่องมือในการปรุงซึ่งวิธีใช่คือการรับประทานโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านการต้มหรืออะไรก่อนเลย

“นี่คือผงยาที่ปรุงขึ้นตามสูตรลับและใช้โดยกินเข้าไปได้เลยใช่มั้ย” รัฐมนตรีหลู่ถาม

ฉินหลินไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนแต่บอกไปว่า “ถ้าเอาตามทฤษฎีล่ะก็ใช่  แต่ผมก็ไม่รับประกันนะว่ามันจะมีสารพิษอะไรอยู่รึเปล่า  เพราะถึงยังไงมันก็ยังไม่ได้รับการทดสอบทางคลินิกเลย  ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดจริง ๆ ก่อนถึงจะรู้”

แน่นอนว่าเรื่องพิษอะไรนั่นเป็นไปไม่ได้

เพราะถ้าหากมีพิษจริง ๆ ล่ะก็ระบบจะต้องให้โบนัสคุณสมบัติเช่นเป็นพิษ +1 แน่นอน

แค่ว่าเรื่องบางเรื่องมันพูดมากเกินไปไม่ได้  มันต้องพูดแบบคลุมเครือเข้าไว้  เวลามีอะไรเกิดขึ้นจะได้มีทางให้หลบหลีก

รัฐมนตรีหลู่กับศาสตราจารย์เหรินกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก  ศาสตราจารย์เหรินหยิบผงยาขึ้นมาแล้วบอกว่า “ผมจะเอาไปตรวจก่อน”

แล้วก็เดินออกไปเพื่อไปตรวจสอบในห้องแล็บเลย

ผงฉางเต้ากุ้ยหยวนเป็นยาผงที่ใช้รักษามะเร็งได้ทำให้การทดสอบย่อมไม่ง่ายเหมือนยาระบาย  ดังนั้น หลังจากรออยู่ประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมงแล้วก็ไม่มีข่าวคราวใด ๆ ฉินหลินจึงออกจากห้องแล็บไป

เพราะยังไง ๆ เขาก็รู้ผลลัพธ์ของมันอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องรอลุ้นผลการตรวจสอบของศาสตราจารย์เหรินหรอก

ในห้องทดลอง

ศาสตราจารย์เหรินกับผู้ช่วยต่างช่วยกันทำงานกันอย่างหนักหน่วง  แต่ละคนต่างเดินไปเดินมาระหว่างเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อตรวจเช็กผลการทดสอบส่วนผสมที่มีอยู่ในผงยา

ศาสตราจารย์เหรินต้องยอมรับเลยว่าผงยาในครั้งนี้มีความสลับซับซ้อนยิ่งกว่ายาระบายก่อนหน้านี้อย่างมาก  แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของเขากลับแสดงถึงความรู้สึกตื่นเต้นเพราะว่าได้ค้นพบสารที่มีฤทธิ์ทางยาหลาย ๆ ตัวในผงยานี้

“ศาสตราจารย์ครับมาดูส่วนประกอบตัวนี้สิครับ!” จู่ ๆ ผู้ช่วยก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นโคตร ๆ

ศาสตราจารย์เหรินจึงรีบไปดูส่วนประกอบที่ผู้จัดแสดงให้เห็น  เมื่อเห็นแล้วก็รีบสั่งการทันที “รีบไปหารัฐมนตรีหลู่แล้วขอให้ท่านยื่นคำร้องขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ทั้งหมดจากสถาบันฯมาเร็ว!”

ข้อมูลการวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติถูกเก็บเป็นความลับจากคนนอกและเป็นความลับสุดยอด  เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชื่อมต่อเพื่อค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายภายนอก  ขนาดคนในก็ยังเข้าไปตรวจสอบได้ยากเลยดังนั้นเรื่องการจะส่งข้อมูลออกมาข้างนอกนั้นไม่ต้องพูดถึง

สิ่งเหล่านี้คือข้อมูลหลักฐานทั้งหมดที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าด้วยเงินที่ไม่ทราบจำนวนจากงบประมาณของประเทศ  แม้ว่าศาสตราจารย์เหรินจะต้องการสิ่งเหล่านั้นแต่ก็ไม่มีคุณสมบัติ

เฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างรัฐมนตรีหลู่ขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถยื่นคำร้องขอเบิกเอกสารได้

เมื่อรัฐมนตรีหลู่ได้รับคำขอจากศาสตราจารย์เหรินแล้วก็รีบเข้ามาหาทันทีพร้อมกับถามด้วยความตื่นเต้น “ศาสตราจารย์เหริน  ผงยาที่เถ้าแก่ฉินทำให้มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ  มีผลกับมะเร็งลำไส้ด้วยเลยเหรอเนี่ย!”

ศาสตราจารย์เหรินตอบตามตรงว่า “นี่เป็นแค่หนึ่งในตัวยาที่เราตรวจเจอแต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด  ทว่ามันมีความคล้ายคลึงกับข้อมูลบางอย่างที่คล้ายคลึงกับข้อมูลที่ทางทีมวิจัยด้านชีวิตและสุขภาพของเราได้ศึกษาจากกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งลำไส้มาก่อนอย่างมาก  เพราะงั้นเลยต้องลองเอาข้อมูลนั้นมาเปรียบเทียบกันดูก่อน”

“โอเค  เดี๋ยวผมจะไปยื่นคำร้องเดี๋ยวนี้เลย!” รัฐมนตรีหลู่รีบเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กล็อกอินเข้าเว็บแล้วยื่นคำร้องผ่านกล่องจดหมายของเว็บ  จากนั้นก็เอามือถือออกมาโทรหาท่านผู้นำของตน

หากเป็นท่านผู้นำออกปากเองล่ะก็การส่งข้อมูลนั้นจะดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด

เถ้าแก่ฉินได้บอกแล้วว่าผงยานี้อาจออกฤทธิ์กับลำไส้  แต่ใครมันจะไปนึกถึงได้ล่ะว่ามันอาจจะมีผลกับมะเร็งลำไส้ด้วยน่ะ

ค่ารักษาไอ้โรคบ้านี่ก็แพงแสนแพง  แม้ว่ายารักษาบางตัวจะรวมอยู่ในสวัสดิการแล้วก็ตาม  แต่เนื่องด้วยยารักษาในกลุ่มนี้มันมีราคาสูงจึงทำให้แม้จะตัดบางตัวออกไปแล้วก็ตามแต่ค่ารักษาที่เหลือก็ยังสูงพอให้ครอบครัวล่มสลายได้อยู่ดี

สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้ใช้เงินเป็นจำนวนมากในการวิจัยเกี่ยวกับโรคเวรนี่

ถ้าหากว่าสามารถยืนยันผลลัพธ์นี้ได้ล่ะก็จะดีมาก ๆ เพราะไม่เพียงแต่จะพิสูจน์ได้ว่าน้ำยาเสริมสร้างร่างกายนั้นไม่ใช่ข้อยกเว้น  แต่ยังมีกระทั่งยาที่ช่วยรักษาโรคที่โคตรเชี่ยอย่างเช่นมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเต็ม ๆ

หลังจากได้รับการติดต่อจากรัฐมนตรีหลู่  ทางสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติก็ใช้เวลาเกือบ ๆ หนึ่งชั่วโมงในการส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปยังกล่องจดหมายของเขา

“ศาสตราจารย์เหริน” รัฐมนตรีหลู่เปิดกล่องจดหมายทันทีและยื่นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กให้ศาสตราจารย์เหริน

ศาสตราจารย์เหรินรีบรับมาอ่านจากนั้นก็เอาข้อมูลทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน

อ่านวนซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นาน

จนรัฐมนตรีหลู่อดถามไม่ได้ “ศาสตราจารย์เหริน...  เป็นไงมั่ง”

ใบหน้าของศาสตราจารย์เหรินแสดงสีหน้ายินดี “ข้อมูลย่อย ๆ นั้นเหมือนกันเป๊ะ  เพียงแต่ว่าความก้าวหน้าของการวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติมีจำกัดและยังห่างไกลจากผลลัพธ์ในการรักษามะเร็งลำไส้  แต่ไอ้เจ้าผงยานี่มัน...  เราต้องรีบตรวจสอบเชิงลึกให้แน่ใจก่อน  แล้วต้องด่วนที่สุดเลยด้วยครับ!”

หลังจากที่ศาสตราจารย์เหรินพูดจบก็เมินรัฐมนตรีหลู่แล้วรีบพาผู้ช่วยทำการทดสอบและวิเคราะห์อย่างจริงจังจนมืด  ซึ่งการทดสอบก็เป็นไปยาว ๆ ตลอดทั้งคืน

ศาสตราจารย์เหรินนั้นแม้จะอายุเท่าเขาแต่ก็ยังต้องอดทนรอผลการทดสอบทั้งคืน  ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าเขาทุ่มเทเพียงใด

จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นศาสตราจารย์เหรินก็ต้องประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ “ฮ่า ๆ ๆ ได้ผลจริง ๆ ด้วยโว้ยยยยย  ยานี่มันสุดยอดไปเลยยยยยยยยยย!”

รัฐมนตรีหลู่ที่รอมาทั้งคืนจนไม่ไหวต้องนั่งงีบบนเก้าอี้พอได้ยินเสียงตะโกนของศาสตราจารย์เหรินก็สะดุ้งตื่นนและถามด้วยความตื่นเต้น “ศาสตราจารย์เหริน!  ผงยานี่มันใช้รักษามะเร็งลำไส้ได้จริง ๆ ใช่มั้ย!”

ศาสตราจารย์เหรินตอบด้วยความมั่นใจ “ชัดเลยครับว่ามันใช้รักษามะเร็งลำไส้ได้  ผลที่ได้ก็เป็นไปตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ด้วย  เฮ่อ~  ไม่คิดเลยว่าไอ้โรคระยำนี่มันจะถูกจัดการอยู่หมัดได้ด้วยสูตรยาแผนโบราณแบบนี้”

น้ำเสียงของศาสตราจารย์เหรินนั้นสะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง  เพราะเขาคือคนที่รู้ดีที่สุดแล้วว่าต้องเสียงพลังงานและเวลารวมถึงเงินไปมากมายแค่ไหนเพื่อที่จะพัฒนายารักษามะเร็งนี่

จนถึงตอนนี้สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้เสียเงินลงทุนไปเป็นจำนวนมากกับการวิจัยมะเร็งลำไส้  แต่ความคืบหน้ากลับไม่เป็นที่น่าพอใจเลย  ทว่าจู่ ๆ กลับมีผงยานี้ที่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ปรากฏตัวขึ้น

ไม่ว่าตัวยาอื่น ๆ ของยานี่จะออกฤทธิ์แบบไหนบ้างก็ตามแต่  ทว่าเอาแค่อย่างเดียวนี้ก่อนก็ถือว่าน่ากลัวโคตร ๆ แล้ว

“เยส!”

รัฐมนตรีหลู่ที่ได้ยินข่าวดีก็กำหมัดแน่นพร้อมกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ขอบคุณเถ้าแก่ฉินที่หาความลับของสูตรยานี่เจอ!  ขอบคุณพวกที่สมาคมการแพทย์แผนโบราณที่มอบสูตรลับนี่ให้  แถมยังเป็นสูตรแรกที่ถูกโยนให้ซะด้วย  ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

แต่ศาสตราจารย์เหรินกลับเตือนด้วยรอยยิ้ม “ท่านรัฐมนตรี  ไอ้เรื่องที่จะลิงโลดมีความสุขนั่นเอาไว้ทีหลังก่อนก็ได้มั้งครับ  ตอนนี้เราควรไปแจ้งข่าวดีให้เถ้าแก่ฉินทราบก่อนไม่ดีกว่าหรือ  ผมว่าเขาเองก็คงกำลังรอข่าวดีจากเราอยู่เหมือนกัน”

“ใช่ ๆ ๆ!  โอย~  เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย  รีบแจ้งข่าวดีให้เถ้าแก่ฉินเลยดีกว่า!” รัฐมนตรีหลู่พยักหน้ารัว ๆ เหมือนตำน้ำพริกก่อนจะหยิบรีบหยิบมือถือออกมาโทร

เถ้าแก่ฉินคือผู้ที่มีส่วนร่วมมากที่สุด

สายแรกไม่ติด  มันบอกอีกฝ่ายไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการ  จากนั้นก็โทรใหม่อีกประมาณ 3 สายในที่สุดก็โทรติด

ในโกดังเช่า

ฉินหลินพึ่งจะออกจากเกมมาและเห็นว่ารัฐมนตรีหลู่โทรหาจึงกดรับสาย  ซึ่งปลายสายก็ได้ยินเสียงที่ตื่นเต้นมาก ๆ ของอีกฝ่ายดังเข้ามา “เถ้าแก่ฉิน  ผมมีข่าวดีจะบอก  เราตรวจเจอสรรพคุณของผงยานั่นแล้ว  ลองทายดูซิว่ามันทำอะไรได้  แต่ผมว่าทายยังไงคุณก็ทายไม่ออกแน่ ๆ!”

ได้ยินแบบนี้แล้วฉินหลินก็อดที่จะยิ้มไม่ได้

ยังจะให้เขาทายอีก  มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าผงยานั่นมันมีฤทธิ์อะไรยังไงบ้าง

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเสแสร้งแกล้งโง่ต่อไป “ได้ยินเสียงท่านตื่นเต้นขนาดนี้แปลว่ายานั่นน่าจะมีสรรพคุณที่ดีแน่ ๆ ล่ะ  เลิกล้อเล่นเถอะครับตอนนี้ผมสงสัยจะตายอยู่แล้ว”

รัฐมนตรีหลู่ได้ยินน้ำเสียงอยากรู้ของฉินหลินแล้วก็ยิ้มหน้าบาน “คุณต้องไม่คิดมาก่อนแน่ ๆ ล่ะว่าผลของผงยานั่นใช้รักษามะเร็งลำไส้ได้!  นี่มันน่าตกใจมากเลยนะ!  แล้วที่สำคัญคือมันยังพิสูจน์ได้แล้วว่าน้ำยาเสริมสร้างกล้ามเนื้อนั้นไม่ใช่เป็นข้อยกเว้น  แถมยังช่วยแก้ปัญหาใหญ่ที่ทางสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติติดอยู่มานานมากให้เราได้อีก  ครั้งนี้ขอบคุณคุณมากจริง ๆ ผมติดหนี้บุญคุณคุณครั้งใหญ่แล้วล่ะ”

“อย่าพูดงั้นเลยครับ  ผมก็แค่ทำสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้เท่านั้นเอง” ฉินหลินยกยิ้มมุมปากเพราะทุกสิ่งอย่างเป็นไปดังหวัง

“ยังไงผมก็ต้องขอบคุณมากจริง ๆ” รัฐมนตรีหลู่ขอบคุณเขาอีกครั้ง

หลังจากวางสายแล้วฉินหลินก็ขึ้นกระบะรถบรรทุกอีกรอบและเริ่มงานลูกหาบต่อ  เสร็จแล้วก็ขับรถเอาของไปส่งที่บ้านไร่ชิงหลิน

............................................................................................

อีกด้านหนึ่ง

ในประเทศอันห่างไกล

ในห้องครัวของร้านอาหารตะวันตกได้มีชาวต่างชาติผิวขาวคนหนึ่งกำลังตักปลาไหลในหม้ออย่างชำนาญ

ราสต้า (บทที่ 211) นั้นทำงานอย่างจริงจังมาก ๆ ทุก ๆ ขั้นตอนล้วนทำอย่างระมัดระวัง

ในช่วงเวลานี้เขาได้ท้าแข่งกับเชฟชาวจีนเพื่อจะเรียนรู้อาหารจีน  โดยเขาได้ทำข้อตกลงกับอีกฝ่ายว่าหากตนชนะล่ะก็อีกฝ่ายต้องสอนสูตรอาหารจีนดี ๆ ให้ตน

หลังจากที่ได้ร่วมงานกับเชฟชาวจีนชื่อดังมาแล้วหลายคนเขาก็ได้เรียนรู้เรื่องอาหารจีนไปด้วย

โดยเมนูปลาไหลต้มเหล้านี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงนี้ก็พึ่งจะได้ฝึกทำอาหารจีนด้วย  เพราะบางครั้งใจมันก็พลันคิดถึงเมนูปลาไหลจีนที่เคยโดนไปก่อนหน้านี้

แน่นอนว่าต้องเป็นเมนูที่กินที่บ้านไร่ชิงหลินซึ่งเป็นอาหารที่อร่อยเหาะที่สุดที่เคยกินมาในชีวิตแล้ว

แม้ว่าเขาจะเป็นเชฟมิชลิน 3 ดาวนัมเบอร์วันแล้วก็ตาม  แม้ว่าจะเอาชนะเชฟอาหารจีนชั้นนำมาแล้วมากมายก็เถอะ  แม้ว่าคนในประเทศของตนจะเชียร์ตนว่าเป็นเชฟที่เก่งที่สุดในโลก  แต่ในใจก็ยังคงรู้ดีว่าไอ้ที่หนึ่งในโลกที่ว่านี้มันช่างน่าตลกแค่ไหน

หลังจากที่เขาได้เรียนเมนูปลาไหลต้มเหล้าแล้วก็ได้ทำการฝึกฝนอย่างหนักโดยไม่ใช่แค่คิดจะทำเมนูจานอร่อยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ซักพักปลาไหลในหม้อก็สุกพร้อมลงจาน  หลังจากที่ตักลงจานแล้วเขาก็หยิบตะเกียบมาคีบชิ้นปลาใส่ปากทันที

ให้พูดตามตรงเขาก็ไม่ได้เก่งเรื่องการใช้ตะเกียบมากนักหรอก  แต่หลังจากที่เรียนทำอาหารจีนแล้วก็เลยต้องเรียนใช้ตะเกียบควบคู่ไปด้วยเลย

ในทางตรงกันข้าม เขาเรียนอาหารจีนและผสมผสานกับอาหารตะวันตกที่เขาได้เรียนรู้ ซึ่งทำให้ทักษะการทำอาหารของเขาพัฒนาขึ้นมาก

นอกจากนี้ยังทำให้เขารู้ว่าตัวเองนั้นไม่ควรทำตัวเป็นเหมือนพวกโง่ในประเทศที่เอาแต่คิดว่าอาหารตะวันตกของพวกตนนั้นยอดเยี่ยมที่สุดและเป็นกระแสหลักของโลกจนถึงขนาดไปดูถูกอาหารของประเทศอื่น ๆ เขา

เพราะทุกประเทศเองก็มีวัฒนธรรมด้านอาหารซึ่งมีข้อดีของตัวเองอยู่

เขาพึ่งได้เรียนรู้เรื่องอาหารจีนซึ่งช่วยให้ทักษะในการทำอาหารเพิ่มพูนขึ้นได้อย่างมาก  เหมือนคำของประเทศที่บอกว่า ‘เรียนรู้จุดแข็งของผู้อื่น  ชดเชยจุดอ่อนของตนเอง’

เขาคิดว่าคำนี้มันดีมาก ๆ แม้ว่าจะออกเสียงและเรียนรู้ได้ยากก็ตาม

กลับมาที่ปลาไหล  ตอนนี้สีหน้าของราสต้านั้นเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “อีกไกล  ไกลเกินไปแล้ว!”

เอาตรง ๆ เลยว่าโคตรหงุดหงิด

ในระหว่างที่เขากลับมากักตัวฝึกฝนการทำอาหาร  ทักษะฝีมือเขาเองก็ดีขึ้นมาก  เชฟมิชลิน 3 ดาวทั้งหลายเองก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับตนอีกต่อไป  ไม่สามารถทำอาหารอร่อยแบบที่ตนทำได้

ก็ปลาไหลเหมือนกันนี่หว่า  แต่ปลาไหลที่ตนทำอย่างเอาใจใส่นี้พอเทียบกับเมนูปลาไหลที่กินที่บ้านไร่ชิงหลินแล้วกลับเหมือนขยะเลย

ไม่ว่าจะทำยังไงก็ทำตามไม่ได้เลย  ไม่ว่าจะเรียนหนักแค่ไหนหรือจะฝึกฝนยังไงก็ไม่สามารถรังสรรค์รสชาตินั้นออกมาได้เลย  หรือบางทีอาจต้องไปขอเรียนที่บ้านไร่ชิงหลินวะ?

แม้ว่าเขาจะหยิ่งทนงทว่าในเรื่องการทำอาหารแล้วกลับมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง

ในเวลานี้ชายผิวขาวในชุดสูทได้เดินเข้ามา “เฮ่~  ราสต้า  เมนูใหม่อีกละเหรอ”

พูดไปก็หยิบชิ้นปลาเข้าปากไปเลย  ไอ้หมอนี่ไม่บอกก็รู้ว่าใช้ตะเกียบไม่เป็น

เมื่อเห็นแบบนั้นราสต้าก็ส่ายหัว  ไอ้หมอนี่ชื่อดั๊กซึ่งเป็นตัวแทนด้านอาหารของเขาเองซึ่งเป็นผู้ติดต่อในเรื่องการแข่งขันกับเชฟคนอื่น ๆ ให้

ถ้าไม่มีหมอนี่ล่ะก็เขาคงไม่มีเวลาฝึกทำอาหารแน่นอน

ซึ่งทันทีที่ปลาไหลเข้าปากดั๊กก็เอ่ยปากชมด้วยรอยยิ้มหน้าบาน “ราสต้าเอ๊ย  ฝีมือดีขึ้นอีกแล้วนา  อาหารจีนฝีมือนายนี่โคตรหร่อยเลย  ตอนนี้ฝีมือนายยิ่งทิ้งห่างเชฟสามดาวคนอื่น ๆ ไปอีกก้าวแล้วนะเนี่ย”

แต่ราสต้ากลับไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้เลย  เขาไม่เคยสนใจพวกเชฟมิชลิน 3 ดาวคนอื่น ๆ เลย  สิ่งเดียวที่เขาชื่นชมคือฝีมือการทำอาหารที่บ้านไร่ชิงหลินนั่น

แล้วดั๊กก็พูดว่า “ยังไงก็เหอะฉันได้ส่งจดหมายท้าแข่งกับเชฟบ้านไร่คนหนึ่งให้นายแล้วนะ  อีกฝ่ายเห็นว่าจะมีชื่อเสียงมาก  อาหารราคามื้อละหกหมื่นหยวนก็ประมาณเก้าพันเหรียญ  แถมมื้อที่โด่งดังที่สุดนั่นยังตั้งชื่อเซตอาหารสูงสุดระดับฮ่องเต้หรือถ้าเทียบกะของเราก็คือประธานาธิบดีซะด้วย”

“???” เมื่อราสต้าได้ยินอีกฝ่ายอธิบายก็รู้สึกว่ามันแหม่ง ๆ

แต่ดั๊กที่ไม่ทันสังเกตก็ยังพูดต่อไปอีกว่า “ที่นั่นชื่อว่าบ้านไร่ชิงหลิน  ฉันจองตัวให้นายละ  เด๋วเราไปขึ้นเครื่องกันเลยนะ”

“อะไรนะ!!!” ราสต้าแทบจะตาถลน

‘ไอ้ห่าดั๊กเมื่อกี๊มึงบอกว่าไปท้าใครมานะ!

มึงไม่ได้กะจะวางยากูใช่มั้ยถามจริง!’

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด