ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 985 โจมตีราชาตั๊กแตนทะยาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 987 ทะลวงขอบเขตด้วยกำลัง

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 986 ทางตัน (อ่านฟรี)


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 986 ทางตัน (อ่านฟรี)

แปลโดย iPAT  

ในโพรงใจกลางภูเขาที่มืดมิด ปราณปีศาจปะทุขึ้นจากด้านล่างพร้อมกับเพลิงสีขาวที่พุ่งทะยานขึ้นสู่เบื้องบน ปราณปีศาจเต็มไปด้วยจิตสังหาร ขณะที่เพลิงสีขาวบิดเบี้ยวด้วยใบหน้าภูตผี มันดูเป็นภาพการบ่มเพาะของปีศาจอย่างชัดเจน

วิหคเพลิงอมตะน้อยกลายร่างเป็นมนุษย์อีกครั้งและเฝ้ามองสิ่งนี้ด้วยความว่างเปล่า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอยากกลับบ้าน โลกภายนอกอันตรายเกินไป ขณะที่เขาอยู่ข้างๆคนอันตรายที่สุดสองคนท่ามกลางอันตรายทั้งหมด

เขาส่ายศีรษะปัดเป่าความคิดฟุ้งซ่าน หากเขาหวาดกลัวเพียงเรื่องเช่นนี้ เขาจะออกจากภูเขาเพลิงลาวามาเพื่อสิ่งใด มันคงดีกว่าที่เขาจะอยู่ในรังวิหคเพลิงอมตะตลอดไป ด้วยความคิดนี้ เขาจึงเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง แต่การฝึกฝนครั้งนี้คือการอดทนต่อแรงกดดันด้วยพลังใจของเขาเอง

ลูกประคำหัวกะโหลกทั้งหมดได้รับการซ่อมแซมในที่สุด หัวกะโหลกเริ่มคายเพลิงสมาธิออกมา เพลิงสีขาวซีดที่โหมกระหน่ำควบรวมและกลั่นตัวเป็นลูกประคำหัวกะโหลกชิ้นใหม่

หลี่ฉิงซานยืนอยู่บนพื้น ร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกห่อหุ้มด้วยปราณปีศาจลักษณะเหมือนหอคอยปราบปีศาจ ทันใดนั้นเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาแสดงท่าทางต่างๆอย่างต่อเนื่อง

เขาสร้างภาพติดตามทิ้งไว้เบื้องหลังก่อนจะค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ พวกมันคือท่าทางของรูปปั้นปราบปีศาจ แต่หากมองอย่างใกล้ชิด พวกมันยังมีความแตกต่างจากรูปปั้นปราบปีศาจดั่งเดิมเล็กน้อย พวกมันขาดความเจ็บปวดและดิ้นรนต่อสู้ซึ่งถูกแทนที่ด้วยความดุร้ายและไม่อาจหยุดยั้ง

เขาทำท่าทางตามลำดับตั้งแต่รูปปั้นปราบปีศาจลำดับที่หนึ่งไปจนถึงรูปปั้นปราบปีศาจลำดับที่แปด หลังจากทำซ้ำหลายพันครั้ง ปราณปีศาจของเขาก็ยิ่งปะทุขึ้น เขาหลุดพ้นจากวงจรเดิมและสามารถกระโดดข้ามจากท่าแรกไปยังท่าที่เจ็ดก่อนจะกลับไปท่าที่สี่ การเคลื่อนไหวของเขาดูค่อนข้างช้า แต่วิหคเพลิงอมตะน้อยสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากขึ้นจากเขา เด็กน้อยต้องพยายามสะกดข่มความรู้สึกที่อยากจะถอยออกไป เขากัดฟันและอดทนต่อไปอย่างเงียบๆ

การเคลื่อนไหวของหลี่ฉิงซานค่อยๆไหลลื่นมากขึ้นเรื่อยๆกระทั่งเขาสามารถเปลี่ยนท่าทางได้อย่างอิสระ เขาตระหนักว่าเคล็ดวิชารูปปั้นปราบปีศาจของเขาเบี่ยงเบนไปจากทิศทางเดิมของมัน ตัวอย่างเช่นท่าแรกที่ควรจะเป็นการสำนึกผิดต่อหัวใจปีศาจเปลี่ยนเป็นไม่สำนึกผิดต่อหัวใจปีศาจ

ย้อนกลับไปเขาสามารถเปลี่ยนไข่มุกมหาสมุทรเป็นหัวใจปีศาจและก้าวข้ามภัยพิบัติสวรรค์ครั้งที่สองได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เมื่อเขาพยายามทะลวงขอบเขตอีกครั้งด้วยรูปปั้นปราบปีศาจที่บิดเบือนไป เขาก็พบความยากลำบากทันที

ท้ายที่สุดการสร้างเส้นทางของตัวเองก็ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย อาจมีเพียงการทำตามมรดกที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังของผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถก้าวหน้าได้อย่างราบรื่น

อีกด้านหนึ่ง เส้นทางการบ่มเพาะใหม่ของเสี่ยวอันที่หลอมรวมเส้นทางแห่งพุทธะและเส้นทางแห่งกระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์เข้าด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน อย่างไรก็ตามพระโพธิสัตว์กระดูกขาวมีจุดเริ่มต้นมาจากเส้นทางสายพุทธะ ดังนั้นมันจึงมีความใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก

ในทางกลับกัน การสำนึกผิดต่อหัวใจปีศาจตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการไม่สำนึกผิดต่อหัวใจปีศาจ

สิ่งนี้เหมือนกับเรียงความที่ผู้อ่านไม่เพียงไม่เข้าใจความตั้งใจของผู้เขียนแต่ยังยึดถือแนวคิดที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อมโยงความรู้สึกของกันและกัน สุดท้ายมันก็บังคับให้พวกเขาเลิกอ่าน

วิธีการบ่มเพาะที่ทรงพลังเหมือนเรียงความที่อ่านยาก เพื่อทำความเข้าใจแก่นแท้ของมัน คนผู้หนึ่งจำป็นต้องมีความสามารถในการทำความเข้าใจที่ยอดเยี่ยมหรืออาจมีแนวคิดเดียวกับผู้เขียนตั้งแต่แรก เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติที่มักเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ฝึกตน

นี่เป็นสาเหตุที่คนรุ่นหลังต้องดิ้นรนเพื่อบรรลุระดับเดียวกับผู้สร้างมรดกเมื่อพวกเขาใช้วิธีการบ่มเพาะที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยผู้อาวุโส ท้ายที่สุดก็ไม่มีผู้ใดรู้สึกหรือคิดเหมือนกันทุกประการ

อย่างไรก็ตามไม่เพียงหลี่ฉิงซานจะขาดความสามารถในการทำความเข้าใจของเสี่ยวอัน เขายังมีแนวคิดที่แตกต่างจากผู้สร้างเคล็ดวิชารูปปั้นปราบปีศาจอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องเผชิญก็คือสภาวะคอขวดหรือการก้าวเข้าสู่ทางตัน

เขานำทุ่งอสูรกายออกมาและเข้าไปภายใน เมื่อเขามาถึงดินแดนอันกว้างใหญ่ เขาก็ตะโกนว่า “ปราบปีศาจ!”

โซ่ปราบปีศาจพุ่งออกมาและรัดพันตัวเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

“ยังไม่พอ!”

“บึม!” หอคอยปราบปีศาจตกลงมาจากด้านบน เขาล่ามโซ่ตัวเองและขังตังเองไว้ในหอคอยปราบปีศาจจนไม่สามารถขยับเขยื้อน

สิ่งแรกที่รูปปั้นปราบปีศาจปราบปรามคือปีศาจภายในของตัวผู้ใช้งาน การทำลายพันธนาการของโซ่และหอคอยไม่อาจเป็นไปได้ด้วยความแข็งแกร่งแต่เป็นความคิดและสำนึกรู้แจ้งภายใน มีเพียงการตระหนักรู้และสำนึกต่อความผิดบาปของตนเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเขาได้

เวลาโบยบินไป เสี่ยวอันหลอมสร้างลูกประคำหัวกะโหลกขึ้นมาทีละชิ้นซึ่งเกินจำนวนเดิมของนางไปแล้วและทำให้นางก้าวเข้าสู่ระดับใหม่

ทันใดนั้นหอคอยปราบปีศาจที่ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาสีแดงเลือดก็สั่นเบาๆก่อนจะเกิดเสียงดัง

ภายใต้โซ่ปราบปีศาจ หลี่ฉิงซานหลั่งเหงื่อขณะที่เขาออกแรงอย่างเต็มกำลัง เขากัดฟันและแสดงท่าทางเหมือนรูปปั้นปราบปีศาจทุกประการ แต่การสำนึกเข้าใจก็ไม่เคยเกิดขึ้น

‘สำนึกผิดต่อหัวใจปีศาจ สำนึกผิดต่อหัวใจปีศาจ สำนึกผิดต่อหัวใจปีศาจ สำนึกผิดต่อหัวใจปีศาจ...’ เขาพูดสิ่งนี้ในใจซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนจะหมดความอดทนและตะโกนออกมาว่า “สำนึกผิดกับยายเจ้าน่ะสิ!”

เขาไม่รู้สึกว่าเขาควรสำนึกผิดต่อสิ่งใดเลย ไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่ง แต่เพราะเขาไม่ได้เกิดมาเป็นเผ่าปีศาจตั้งแต่ต้น เขามีสำนึกของความเป็นมนุษย์มาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับสัญชาตญาณที่เกิดมาพร้อมกับเผ่าปีศาจ

เขาคิดเรื่องนี้อย่างเงียบๆ ความคิดเช่นนั้นคือการทรยศตัวเอง มันเหมือนมนุษย์เพลิงที่ต้องการเปลี่ยนไปบ่มเพาะเคล็ดวิชาธาตุน้ำ หากเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง กระทั่งตัวเขาเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพวกเขา

“อาจารย์ก็เป็นมนุษย์ สายเลือดของเขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่าข้าและอาจมีความเป็นมนุษย์มากกว่าข้า เขาทำได้อย่างไร?” หลี่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง เขารู้ว่าพระอาจารย์ไร้กังวลก้าวข้ามภัยพิบัติสวรรค์ด้วยเคล็ดวิชารูปปั้นปราบปีศาจซึ่งทำให้เขางงงวย

“ฉิงซาน เดิมทีพระอาจารย์ไร้กังวลอุทิศตนเพื่อพุทธศาสนาและมองว่าความชั่วเป็นยาพิษ ต่อมาเขาสูญเสียตัวตนและกระทำการสังหารหมู่ เมื่อเขารู้สึกตัว สิ่งที่เขาเกลียดก็ไม่ใช่เพียงศัตรูภายนอกอีกต่อไปแต่เป็นตัวเขาเองที่เต็มไปด้วยเจตนาสังหารและความชั่วร้าย เห็นได้ชัดว่าเขาต้องรู้สึกสำนึกผิด” เสียงของเสี่ยวอันดังขึ้น

“ข้าเข้าใจแล้ว หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จบสิ้นแล้ว!”

หลี่ฉิงซานเผยรอยยิ้มแห้งๆ เขาเป็นเหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มีทั้งความดีและความชั่วผสมปนเป เขาจะทำสิ่งที่เขาต้องการแต่เขาก็มีหลักการของตัวเอง แม้เขาจะไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนว่าเขาซื่อสัตย์ต่อตัวเองกับทุกสิ่งที่เขาทำในชีวิตนี้แต่เขาสามารถพูดได้ว่าเขาพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว เขารู้สึกดีกับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดในเรื่องใดๆ

แต่หากไม่มีความรู้สึกสำนึกผิด แล้วเหตุใดเขาต้องปราบปีศาจในตัวเอง

นี่จะเป็นทางตันสำหรับเขาหรือไม่?