ตอนที่ 15 คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด
ตอนที่ 15 คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด
หลินฉางเซิงไม่ต้องการเข้าแก้ไขปัญหาที่สำนักหยกสวรรค์ก่อเอาไว้ แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็สำคัญมาก ถ้าหากเขาไม่เข้าร่วมอาจจะเกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายตามมา
“อย่างนั้นให้ผิงเหยียนไปกับเจ้า!”
หลังจากไตร่ตรองสักครู่ หลินฉางเซิงจึงตัดสินใจ
“ตกลง!” เฉินชิงหยวนพยักหน้ารับเล็กน้อย เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา… เพราะหากไม่มีหลินฉางเซิงอยู่ด้วย เฉินชิงหยวนก็สามารถมีโอกาสทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเปิดเผยสภาพร่างกายของตนเอง
ไม่นาน ชายหนุ่มในชุดขาวปรากฏตัวขึ้น นามของเขาคือ… หลินผิงเหยียน! เป็นบุตรชายคนเดียวของหลินฉางเซิง
หลินผิงเหยียนเป็นอาวุโสชั้นในของสำนักเต๋าล้ำขจี และระดับยุทธ์ของเขาเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดวิญญาณแล้ว อายุของเขามากกว่าเฉินชิงหยวนหลายร้อยปี แต่ด้วยศักดิ์ของเฉินชิงหยวนที่มากกว่า เขาจึงต้องเรียกขานเฉินชิงหยวนว่าลุงน้อย
“ท่านพ่อ ท่านลุงน้อย”
หลังได้รับคำสั่ง หลินผิงเหยียนวางทุกอย่างในมือพร้อมวิ่งเข้ามาหาทั้งสองคนอย่างเร่งรีบ
ในคราวแรก เป็นเรื่องยากที่จะให้หลินผิงเหยียนเรียกขานเฉินชิงหยวนว่าลุงน้อย
เป็นเพราะเฉินชิงหยวนสร้างความประทับใจยิ่งใหญ่ บดขยี้สหายลัทธิเต๋าในแดนธารดวงดาวทั้งหมด และได้รับชื่อเสียงมากมายในแดนรกร้างตอนเหนือ หลินผิงเหยียนจึงเชื่อมั่นในตัวเขา และยอมรับเขาอย่างเต็มใจ
“เจ้าจะต้องเดินทางไปกับลุงน้อยของเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงปกป้องความปลอดภัยของลุงน้อย เข้าใจหรือไม่?”
หลินฉางเซิงแตะคิ้วของหลินผิงเหยียนเบา ๆ เพื่อส่งตำแหน่งของหมอเถื่อน ปากก็กล่าวย้ำหนักแน่น
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลินผิงเหยียนพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม พร้อมลอบคิดในใจว่าตราบใดที่เขายังมีชีวิต ลุงน้อยจะไม่ได้รับบาดเจ็บแม้ปลายเล็บแน่นอน
“ไปได้!” หลินฉางเซิงไม่ต้องการให้มีคนทราบเรื่องนี้มากเกินไป เพราะเกรงว่าจะดึงดูดอันตรายภายหลัง
ให้หลินผิงเหยียนคุ้มกันเฉินชิงหยวนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากไม่ใช่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ยาวนานหลายพันปี ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาสามารถแก้ไขได้
เฉินชิงหยวนกับหลินผิงเหยียนออกเดินทาง
หลินฉางเซิงหันกลับไปหาอาวุโสชั้นใน และเตรียมพร้อมสำหรับการไปถกเถียงปัญหาของถ้ำปีศาจใต้ดิน
เกวียนหินสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยการวางหินวิญญาณในตำแหน่งพิเศษ ความเร็วของมันคือหนึ่งแสนลี้ต่อวัน ถือว่ารวดเร็วพอสมควรแล้ว
เฉินชิงหยวนนั่งอยู่ในเกวียนหิน ทั้งผ่อนคลายและพึงพอใจมาก เขาไม่รู้สึกอึดอัดอะไรเลย
“ลุงน้อย คงต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าเราจะไปถึงแดนธาราสมุทร”
แม้พรสวรรค์ของหลินผิงเหยียนจะไม่ดีเท่ากับเฉินชิงหยวนในอดีต แต่มันก็ถือว่าสูงมาก และเขาคือความหวังของผู้อาวุโสภายในสำนักเต๋าล้ำขจี หากเฉินชิงหยวนไม่ปรากฏตัว ผู้นำรุ่นเยาว์ของสำนักเต๋าล้ำขจีจะกลายเป็นเขาแน่นอน
เมื่อร้อยปีที่แล้ว เดิมทีสำนักเต๋าล้ำขจีตัดสินใจให้เฉินชิงหยวนเป็นผู้นำสำนักรุ่นเยาว์ สุดท้ายเป็นเขาที่สามารถแบกสำนักเต๋าล้ำขจีไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้
น่าเสียดายที่ทุกสิ่งอย่างไม่เป็นดั่งใจหวัง
ร้อยปีผ่านไป หลังจากคัดเลือกอย่างหนักและพิจารณาอยู่หลายคราว อาวุโสชั้นในของสำนักเต๋าล้ำขจีจึงเลือกให้หลินผิงเหยียนขึ้นเป็นผู้นำสำนักรุ่นเยาว์อย่างเป็นทางการ
ทว่าเฉินชิงหยวนกลับปรากฏตัวขึ้น และทำให้คำสั่งนั้นต้องสั่นคลอนอย่างช่วยไม่ได้
ในสายตาของเหล่าอาวุโสชั้นในทั้งหมด พวกเขายังคาดหวังให้เฉินชิงหยวนกลับมาเป็นเหมือนเดิม และเข้ารับตำแหน่งผู้นำสำนักรุ่นเยาว์อีกครั้ง
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อนหรอก”
เฉินชิงหยวนและหลินผิงเหยียนนั่งอยู่ในเกวียนหิน บนโต๊ะมีชารสเลิศพร้อมด้วยผลไม้วิญญาณมากมาย
หลินฉางเซิงต้องการให้หลินผิงเหนียนปกป้องเฉินชิงหยวนเป็นสิ่งเฉพาะหน้า ความจริงแล้วเขาต้องการให้ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน และสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ ความสัมพันธ์ที่ขาดหายของพวกเขาจะได้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น
หลินฉางเซิงเลี้ยงดูลูกชายคนนี้มากับมือของตนเอง และเชื่อมั่นว่าหลินผิงเหยียนจะไม่ทำตัวนอกรีต
“ผิงเหยียน ข้าได้ยินว่าอาวุโสชั้นในต้องการให้เจ้าเป็นผู้นำสำนักรุ่นเยาว์ แต่เพราะชื่อของข้าทำให้เรื่องนี้ต้องสั่นคลอน”
เฉินชิงหยวนได้ยินเรื่องนี้เขาก็หยิบยกขึ้นมากล่าวโดยตรง เพราะเป็นสิ่งที่ค้างคาในใจอยู่นานแล้ว
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอาวุโส แม้เฉินชิงหยวนจะอายุน้อยกว่าหลินผิงเหยียนมาก แต่น้ำเสียงของเขาก็น่าเกรงขามยากจะละเลย
“ไม่เป็นไรเลย” หลินผิงเหยียนเม้มปากพร้อมยกยิ้ม อารมณ์ของเขาเรียบเฉยไม่แปรเปลี่ยน
“หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับข้า ข้าคงยากจะหายใจได้ทั่วท้อง ไม่ว่าอย่างไรเสียข้าต้องทุบตีผู้ที่ขวางทาง หรือสาปแช่งมันผู้นั้นให้ตายตกไปเสีย”
เฉินชิงหยวนกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับว่าเขาคือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เสียเอง
เห็นเฉินชิงหยวนเป็นอย่างนั้นแล้ว ความกังวลและความหดหู่ในใจของหลินผิงเหยียนพลันหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เขาหัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้นว่า “ลุงน้อย ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องร้ายแรง!”
“ไม่ มันร้ายแรงมาก!” เฉินชิงหยวนกล่าวออกมาอย่างชอบธรรม “เจ้าฝึกฝนอย่างหนักเพื่อรับตำแหน่งผู้นำสำนักรุ่นเยาว์ แต่กลับสูญเสียโอกาสไป และสุดท้ายได้รับโอกาสอีกครั้งเมื่อร้อยปีที่แล้ว เป็นข้าที่ทำลายมัน กล่าวตามตรงว่าข้ารู้สึกว่าตนต่ำต้อยไม่คู่ควร และรู้สึกโกรธมาก! เหตุใดเจ้าจึงไม่ทุบตีข้าเพื่อระบายความขุ่นเคืองสักหน่อยเล่า!”
“......”
ลุงน้อย… ท่านควรได้รับรางวัลสาขาการแสดง!
หลินผิงเหยียนสวมใส่เสื้อคลุมสีขาว เขาถือเป็นสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยน ถ่อมตน งดงามราวกับหยก เป็นผู้ที่จริงจัง สุขุม และเงียบขรึม
“ลุงน้อย ข้าก็รู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใดเลย นอกจากนี้หากข้าสามารถรักษาร่างกายของท่านให้กลับคืนดังเดิมได้ พรสวรรค์ของท่านมากล้นยิ่งกว่าข้า และข้ายินดีจะสนับสนุนให้ท่านขึ้นเป็นจ้าวสำนักรุ่นเยาว์ของสำนักเต๋าล้ำขจี”
ไม่ว่าจะเมื่อร้อยปีก่อน หรือตอนนี้ เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับเฉินชิงหยวน ความสง่างามของเขาไม่อาจเทียบเท่ากับเฉินชิงหยวนได้เลย
“สิ่งที่ข้าไม่อาจทนไหวก็คือผู้ฝึกตนมีเหตุผลมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?” เฉินชิงหยวนถอนหายใจเบา “ข้าไม่เข้าใจเจ้า ไม่เข้าใจพี่ใหญ่ และไม่เข้าใจทุกคน”
“ลุงน้อยหมายความว่าอย่างไร?”
หลินผิงเหยียนขมวดคิ้วพร้อมถามด้วยความสับสน
“ข้าไม่เคยต้องการเป็นจ้าวสำนักรุ่นเยาว์ ข้าไม่ต้องการแบกรับความรับผิดชอบใดภายในสำนัก และข้าเคยพูดไปแล้วว่าตำแหน่งยิ่งใหญ่ภายในสำนักไม่ใช่ปลายทางของข้า เป้าหมายของข้าคือชีวิตอิสระและเรียบง่ายเท่านั้น”
เป็นเพราะต้องเดินทางไกล เฉินชิงหยวนจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยกับหลินผิงเหยียนโดยตรง
“ผิงเหยียน เจ้าทราบหรือไม่ว่าทำไมพ่อของเจ้ากับอาวุโสทั้งหมดต้องการให้ข้ารับตำแหน่ง?”
เฉินชิงหยวนถาม
“เพราะลุงน้อยมีความสามารถล้นเหลือ ท่านสามารถปราบปรามผู้ฝึกตนอื่น ๆ ได้ เช่นนี้จึงสมควรรับตำแหน่งจ้าวสำนักรุ่นเยาว์”
หลินผิงเหยียนเคารพต่อผู้แข็งแกร่งเสมอ ดังนั้นจึงเรียกอีกฝ่ายว่าลุงน้อย
“นั่นเป็นเหตุผล แต่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่แท้จริง” เฉินชิงหยวนส่ายศีรษะ
“มีเหตุผลอื่นหรอกหรือ?” หลินผิงเหยียนเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “หรือเพราะท่านบรรพบุรุษสูงสุด?”
“ไม่ใช่” เฉินชิงหยวนส่ายศีรษะอีกครั้ง
“แล้วมันคือสิ่งใด?”
หลินผิงเหยียนถูกกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นโดยสมบูรณ์แล้ว
“เมื่อข้ายังเยาว์ ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายในสำนัก ข้าก็ไม่เคยต้องพบเจอเรื่องเลวร้าย” เฉินชิงหยวนเริ่มเล่าเท้าความ “แต่เจ้าแตกต่าง อารมณ์ของเจ้าไม่เด็ดขาด และไม่มั่นคงเพียงพอ หากเจ้าได้รับอนุญาตให้เป็นจ้าวสำนักรุ่นเยาว์ สำนักของเราจะถูกข่มเหง และศิษย์ในสำนักจะต้องสูญเสียเลือดเนื้อเพราะความไม่หนักแน่นของเจ้า นี่ถือเป็นเรื่องร้ายแรง”
“ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่า และข้าไม่ต้องการจะทำตัวเป็นโรงฆ่าสัตว์”
หลินผิงเหยียนมีชีวิตอยู่มานานกว่าห้าร้อยปี และเขาสังหารผู้คนไปน้อยกว่าสิบด้วยซ้ำ ทั้งหมดคือคนทรยศและชั่วช้า เพราะเหตุผลนี้เขาจึงกลายเป็นชายหนุ่มผู้มีเมตตาไม่เหมาะสมที่จะถือครองอำนาจ
“คราวนี้พี่ใหญ่บอกกล่าวให้เจ้าปกป้องข้า ประการแรกเพราะเขาเชื่อใจเจ้า และประการที่สองเขาต้องการให้อารมณ์ของเจ้ามั่นคงยิ่งขึ้น การติดตามข้าออกจากสำนักอาจจะช่วยขัดเกลานิสัยใจอ่อนของเจ้าได้”
สิ่งต้องห้ามในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์คือความเมตตา แต่หลินผิงเหยียนมีนิสัยเสมือนบัณฑิตผู้สง่างาม หากหลินผิงเหยียนไม่ได้เกิดในสำนักเต๋าล้ำขจี หรือสำนักอื่น ๆ เขาคงไม่ต้องกดดันตนเองมากขนาดนี้
คนดีมักถูกหลอกลวง นี่คือเรื่องจริงสำหรับคนธรรมดาสามัญ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“ลืมไปซะ!” หลินผิงเหยียนไม่ต้องการทำตัวโหดเหี้ยม แม้จะคิดก็ยากจะทำ ในสายตาของเขา… ทุกชีวิตมีค่า ต่อให้บุคคลนั้นต้องการตายอยู่แล้ว เขาก็ไม่อาจลงมือสังหารอีกฝ่ายได้
เพราะหลินผิงเหยียนมีเมตตาและใจอ่อนมากเกินไป เหตุผลเหล่านี้ทำให้อาวุโสชั้นในไม่ต้องการให้เขาขึ้นเป็นจ้าวสำนักรุ่นเยาว์
ในฐานะจ้าวสำนัก ไม่มีผู้ไร้เลือดเปื้อนมือ
เพื่อประโยชน์ของสำนัก บางครั้งต่อให้มันจะผิด แต่ก็ต้องทำเพื่อให้สำนักดำเนินไปต่ออย่างรุ่งโรจน์ ต่อให้ต้องขัดขวางวีรชนเพื่อปกป้องศิษย์ก็ต้องทำ
“ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงมัน!” เฉินชิงหยวนนอนลงบนเก้าอี้โยกพร้อมหลับตาลง “หากเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ในอนาคตตำแหน่งจ้าวสำนักจะเป็นของเจ้า และในฐานะลุง ข้าย่อมสนับสนุนเจ้าแน่นอน”
การสอนให้ใครสักคนเป็นคนดีอาจจะยาก แต่การสั่งสอนให้เลวทรามอาจจะยากยิ่งกว่า
“ข้าไม่ต้องการอำนาจ แต่ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านพ่อผิดหวัง”
หลินผิงเหยียนฝึกฝนอย่างหนัก และต้องการได้รับการยอมรับจากหลินฉางเซิง เช่นนั้นเขาจึงต้องการเป็นจ้าวสำนักรุ่นเยาว์
“การเดินทางคราวนี้ พรุ่งนี้พวกเราน่าจะผ่านสำนักร้อยพฤกษา ช่วยแวะที่นั่นสักหน่อยแล้วกัน”
เฉินชิงหยวนกล่าวออกมาแผ่วเบา
“ท่านมีสิ่งใดจะทำหรือ?” หลินผิงเหยียนถาม
“เรียกเก็บหนี้”
เฉินชิงหยวนยกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาเจือจาง