ตอนที่แล้วบทที่ 17: สร้างรูปปั้นให้พ่อ!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19: ความใกล้ชิดกับเสวียนจู่เพิ่มขึ้น!

บทที่ 18: ตี้ฟู่มีพรสวรรค์ระดับปราชญ์!


ขณะเหล่าเด็กหญิงทั้งสี่คนกำลังคุยกันเกี่ยวกับรูปปั้นของหลินซวน เหล่านักวิชาการทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืน.

ตามกฎของโลกวรรณกรรม ทุกคนที่เข้าร่วมในการชุมนุมวรรณกรรมในครั้งนี้ จะต้องคำนับรูปปั้นเหวินฉู่ซิง

รูปปั้นของเหวินฉู่ซิงก็เหมือนกับป้ายหลุมศพของบรรพชน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนนับถือ.

ในบรรดาคนทั้ง 10,000 คน มีเพียงหลินซวนเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่นั่งพร้อมกับเด็ก ๆ และไม่ได้ลุกขึ้นยืน

ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งของเขาจึงดูเป็นจุดเด่นเป็นพิเศษ.

อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้สึกผิดปรกติ.

หลินซวน ไม่ใช่คนในสายวรรณกรรม และไม่ใช่นักวิชาการ และสถานะของเขาเองก็โดดเด่นมีเกียรติอยู่แล้ว.

ถ้าเขาไม่อยากบูชาก็ไม่มีใครบังคับได้

หลังจากที่ทุกคนทำความเคารพเสร็จสิ้น การชุมนุมเต๋าวรรณกรรมก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ.

การชุมนุมเต๋าวรรณกรรม เทียบในชีวิตที่แล้วของหลินซวน ไม่ต่างการสัมมนาทางวิชาการ.

ไม่มีอะไรมากไปกว่านักวิชาการ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ชื่นชมผลงาน กันและกัน

ในระหว่างนี้ ผู้คนมากมายที่มีสถานะต่างก็เข้ามาทักทายหลินชวน.

ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากทวีปคังหลง  อาณาจักรล่าง หรืออาณาจักรอมตะเก้าสวรรค์ พวกเขาล้วนแต่สุภาพต่อ หลินซวนมาก

บางคนถึงกับมอบอาวุธจิตวิญญาณและอาวุธเวทให้กับ หลินซวน เขาก็มอบมันเป็นของขวัญให้ธิดาของเขา.

หลินซวน ยินดีต้อนรับและยอมรับสมบัติเหล่านี้มาทั้งหมด

เสวียนจู่ และคนอื่น ๆ ชอบมัน หลินซวน ก็จะมอบพวกให้กับพวกนางเป็นของเล่นทันที

และแล้วงานหลักของการชุมนุมเสวนาครั้งนี้ก็ได้เริ่มขึ้น.

ทุกคนที่จับจ้องมองไปยัง เจียงจิ่วไป่และเหล่านักวิชาการทั้งสิบคนที่ก้าวไปอยู่ที่ด้านหน้าของรูปปั้นเหวินฉู่ซิง และในขณะเดียวกัน พวกเขาเริ่มสวดภาวนา!

ฟู่ ๆ~

ทันใดนั้นแสงหลากสีก็ส่องสว่างไม่มีที่สิ้นสุดออกมา

รูปปั้นของเหวินฉูซิงระเบิดด้วยแสงปราชญ์ที่น่าสะพรึงกลัว และพุ่งขึ้นไปในอากาศโดยอัตโนมัติ

หลังจากนั้นไม่นาน รูปปั้นก็ลอยขึ้นกลางอากาศ

ด้านล่างของรูปปั้นสูงจากพื้นดินประมาณร้อยฟุต และมีม่านน้ำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

“เสด็จพ่อ นั่นอะไรน่ะ?” เสวียนจู่เอ่ยถามอย่างสงสัย

หลินซวนเอ่ย: "นั่นคือม่านน้ำศักดิ์สิทธิ์ทางวรรณกรรม เพียงแค่เขียนอักษรลงไป ก็จะสามารถวัดความสามารถทางวรรณกรรมของคนผู้นั้นได้."

เสวียนจู พยักหน้า: "มันคล้ายกับศิลาจิตวิญญาณที่ใช้วัดพรสวรรค์ของพวกเรามาก!"

ศิลาจิตวิญญาณ ก็คือสิ่งของที่ใช้วัดพรสวรรค์ทางด้านการบ่มเพาะการต่อสู้นั่นเอง.

หลินซวนเอ่ยถาม: "แล้วพวกเจ้ามีพรสวรรค์ระดับไหน?"

เขาเดาว่าบุตรสาวของเขามีพรสวรรค์ไม่น้อยเลยเช่นกัน.

เสวียนจู: "พวกเราทุกคนมีระดับสวรรค์!"

เสวียนซี, เสวียนหาน และ เสวียนหยู ล้วนพยักหน้าพร้อม ๆ กัน

หลินซวนถอนหายใจ เด็กสาวทั้งสี่คนนี้ไม่ธรรมดากันเลยจริง ๆ

ระดับพรสวรรค์นั้นแบ่งออกเป็นสี่ขั้น สวรรค์ ปฐพี ลึกลับและเหลือง โดยที่ระดับสวรรค์ คือสูงที่สุด.

นอกจากนี้พรสวรรค์ยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกตามอายุและประสบการณ์.

เสวียนจู่และน้อง ๆ อายุเพียงแค่สามขวบกว่า พวกนางก็มีระดับสวรรค์แล้ว.

ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเลยว่า อนาคตของพวกนางนั้นไร้ขีดจำกัด.

“เสด็จพ่อ ท่านจะไปทดสอบทีหลังใช่ไหม?” เสวียนซีถามด้วยความคาดหวัง

“ใช่ ๆ ข้าอยากรู้ว่าความสามารถทางวรรณกรรมของเสด็จพ่อ สูงแค่ไหน!” เสวียนหานพยักหน้าสนับสนุน.

หลินซวนส่ายหน้าและเผยยิ้ม: "ลืมไปเถอะ นี่เป็นเรื่องของคนทางโลกวรรณกรรม พ่อไม่สนใจ"

เท่าที่เขารู้ การชุมนุมด้านวรรณกรรมนั้นจะเกิดขึ้นทุก ๆ  ห้าปี

เหตุผลที่ต้องการทดสอบพรสวรรค์ด้านเต๋าวรรณกรรม จริงๆ แล้วคือการเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์

ใครก็ตามที่มีความสามารถที่แข็งแกร่ง จะได้รับการยอมรับจากผู้อื่น

แม้แต่ตัวตนเช่นเจียงจิวไป๋ หากพรสวรรค์ของเขาถดถอย เขาก็ต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมด้วย.

เอ่ยตรง ๆ นี่คือการคัดกรองเพื่อค้นหา ผู้มีพรสวรรค์ทางด้านเต๋าวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกนี้.

ตามความเข้าใจของ หลินซวน ระดับพรสวรรค์ของ เต๋าวรรณกรรม จะถูกแบ่งออกตามสีของแสงที่ปรากฏขึ้น

ขาว เขียว น้ำเงิน แดง ม่วง ม่วงทอง จะเพิ่มขึ้นตามระดับความสามารถของพวกเขา.

หากใครสามารถทำให้สีทั้งหมดปรากฏได้ ก็จะได้รับฉายา“เหวินฉู่ซิงจุติบนโลก”

หากพวกเขาได้รับเกียรตินี้ แม้แต่เจียงจิ่วไป่และนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่สิบลำดับก็ต้องเรียกคนผู้นั้นว่า “เซียนเซิง”

น่าเสียดาย.

โดยไม่คำนึงถึงทวีปคังหลง หรือ อาจารย์ในอมตะเก้าสวรรค์เลย.

เป็นเวลากว่า 100,000 ปีแล้วที่ไม่เคยมี "เหวินฉู่ซิงจุติบนโลก"

เสวียนจู่ เห็นว่า หลินซวน ไม่ต้องการทดสอบ พวกนางก็หมดความสนใจไปในทันที

ถ้าเสด็จพ่อไปทดสอบ พวกนางเชื่อว่าจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดอย่างแน่นอน.

เหล่าสาวน้อยที่ลอบคิดอยู่เงียบ ๆ.

ระหว่างนั้น.

เจียงจิ่วไป่เป็นคนแรกที่มาก้าวมาอยู่ที่ม่านน้ำเหวินเฉิง

เขาหยิบพู่กันสีขาวเดินไปรอบ ๆ ตวัดเขียนตัวอักษรตัวใหญ่สองสามบรรทัดอย่างเชี่ยวชาญ

ฮู~

แสงสีม่วงพุ่งออกมาจากม่านน้ำ

หลังจากนั้นแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นเป็นสีม่วง

ทุกคนประหลาดใจเมื่อเห็นมัน

“ทองม่วง! พรสวรรค์ของบัณฑิตเจียงกำลังจะก้าวไปถึงขอบเขตกึ่งปราชญ์แล้ว!”

“มันน่าทึ่งมาก! ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาห้าปีแล้ว บัณฑิตเจียง ได้ก้าวไปอีกขั้นแล้ว!”

ใบหน้าของเจียงจิวไป๋อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มออกมา เขาที่อยู่ในระดับทองม่วง ก็เทียบได้กับกึ่งปราชญ์ที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกวรรณกรรม.

ในอาณาจักรกึ่งปราชญ์ เจียงจิวไป๋สามารถที่จะกลายเป็นต้นแบบของบัณฑิตที่ผ่านยุคสมัยอันยาวนานนี้ได้.

น่าเสียดาย…

แสงสีทองม่วงที่ปรากฏขึ้นไม่นานก็มืดลง.

ไม่อาจปรากฏได้อย่างสมบูรณ์ต่อหน้าทุกคน.

“โอ้! ข้ายังมีความสามารถไม่เพียงพอ!”

เจียงจิ่วไป่ส่ายหน้าและถอนหายใจ

การเขียนอักษรบนม่านน้ำเขาใช้เวลานานและฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการทดสอบในครั้งนี้.

โดยไม่คาดคิด เขายังคงไม่ได้รับการยอมรับจากเหวินฉูซิง

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นการกำเนิดของกึ่งปราชญ์ แต่ก็ไม่ได้เกินความคาดหวังแต่อย่างใด.

จากนั้นเสิ่นหยากังและคนอื่น ๆ ต่างก็ก้าวออกไปทดสอบทีละคน ๆ.

เป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ไม่มีนักวิชาการคนใดในสิบอันดับแรกที่สามารถก้าวไปถึงขอบเขตสีม่วงได้เลย.

กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักวิชาการขงจื๊อเท่านั้น แต่ไม่ใช่ "กึ่งปราชญ์"

ต่อไป รวมถึงซ่างกวนเจี๋ยและคนอื่น ๆ ผู้คนนับร้อยที่ก้าวเข้าไปทดสอบตามลำดับ ไม่มีใครสามารถเอาชนะเจียงจิ่วไป่ และนักวิชาการใหญ่คนอื่น ๆ ได้เลย

เดิมทีคนที่เหลืออีกหลายพันคนมีล้วนมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่อาจสร้างปาฏิหาริย์ใด ๆ ออกมาได้

เจียงจิ่วไป่กวาดตามองผู้ชม และถอนหายใจเบา ๆ : "เต๋าวรรณกรรม เส้นทางนี้ค่อนข้างยากลำบากจริง ๆ !"

เสิ่นหยากังที่พยักหน้าเห็นด้วย“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องรออีกห้าปีแล้ว.”

เจียงจิ่วไป่เหลือบมองทุกคน: "เช่นนั้น ข้าจะต้องทำงานหนักอีกต่อไป"

เสิ่นหยากังแสดงความมุ่งมั่น: "คงต้องเป็นเช่นนั้น!"

เมื่อเห็นว่าแสงบนท้องฟ้าเริ่มจางลงแล้ว การชุมนุมครั้งนี้ใกล้จะจบลงแล้ว.

เจียงจิวไป๋และคนอื่น ๆ ต่างก็ลุกขึ้นก้าวเข้ามาทักทายหลินซวนเพื่อกล่าวคำอำลา.

มู่โหย่วชิงก็ก้าวเข้ามาหาหลินซวนเช่นกัน และเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก "ลูกพี่ลูกน้อง ท่านมีความสามารถด้านวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยม ไม่ลองทดสอบดูล่ะ!"

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว พวกเจียงจิวไป๋ก็ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาเช่นกัน.

เจียงจิวไป๋เอ่ยออกมาว่า“ตี้ฟู่ มีความสามารถด้านวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยม เช่นนั้นลองทดสอบดูหน่อยดีหรือไม่!”

หลินซวนส่ายหน้าไปมา แล้วเอ่ยออกมาว่า "ข้าเป็นคนนอก ไม่มีความจำเป็นเลย"

เสิ่นหยากังส่ายหน้าไปมา เผยยิ้ม“ตี้ฟู่อาจไม่นับว่าเป็นคนนอก เต๋าวรรณกรรม นั้นไม่ได้แยกภายในและภายนอก ใครก็ตามที่มีความสามารถทางวรรณกรรม ล้วนแต่เป็นคนภายในทั้งนั้น ทำไมไม่ลองทดสอบดูล่ะ?”

เมื่อพวกเขาเอ่ยอย่างนั้น เสวียนจู่และคนอื่นๆ ก็เริ่มสนใจ

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ทั้งสี่เริ่มรบเร้าหลินซวนอีกครั้ง ด้วยหวังว่าจะให้อีกฝ่ายพาไปยังม่านน้ำเหวินเฉิง

เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถหาเรื่องปฏิเสธได้แล้ว หลินซวนก็อดไม่ได้ที่จะตอบรับ"เอาล่ะ ข้าจะลองดู"

เขาคิดถึงประโยคที่สร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับรากฐานของการรู้หนังสือ และเขียนมันลงไปด้วยพู่กัน

บ่มเพาะศีลธรรมของตนเอง, ดูแลบ้านช่องเรือนชาน, ปกครองประเทศ, และปราบปรามแผ่นดินให้สงบ

เก้าอักขระที่ตวัดเขียนลงไป

บูม!

แสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีสันก็พุ่งออกมาทันที

แสงอันเจิดจ้าปกคลุมอักขระที่หลินซวนตวัดเขียนลงไป ในเวลานั้นร่างของหลินซวนเองก็ปรากฏรัศมีที่สูงสง่าออกมาด้วยเช่นกัน.

เมื่อเห็นภาพฉากดังกล่าว เจียงจิ่วไป่และคนอื่น ๆ ล้วนตกใจและตื่นเต้น

“แสงหลากสี! นี่คือแสงของปราชญ์!”

“เป็นไปได้ไหมที่ตี้ฟู่จะมีระดับปราชญ์วรรณกรรม?”

“ยังต้องสงสัยอีกรึ? การปรากฏของแสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีสัน นี่ก็หมายความว่าตี้ฟู่มีพรสวรรค์ในขอบเขต ปราชญ์!”

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด