ตอนที่แล้วตอนที่ 29 ความง่วงเข้าครอบงำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 31 ถูกตัดเงินเดือนหรือ?

ตอนที่ 30 หลับฝันหวาน


ตอนที่ 30 หลับฝันหวาน

ลั่วหลานมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะนอนลงข้างเขา โดยพยายามขยับขาไปทางข้างเตียงให้มากที่สุด เพราะกลัวว่าเมื่อนางหลับไป จะเผลอนอนดิ้นจนไปสัมผัสบาดแผลของเขา

เมื่อหลับตาลง นางบอกกับเขาว่า

“หากท่านรู้สึกเจ็บปวด คืนนี้ให้เรียกข้าได้เลย ท่านต้องปลุกข้าขึ้นมาฉีดยาแก้ปวดให้ท่าน ไม่เช่นนั้นท่านจะทนไม่ไหวนะเพคะ”

เหลิ่งอวี้ยื่นมือไปดึงผ้าห่มมาห่มให้นาง แล้วตอบอย่างอ่อนโยน: “ข้ารู้แล้ว” เขากำลังจะบอกให้นางนอนเลย ไม่ต้องเป็นห่วง! แต่กลับได้ยินเสียงหายใจอันแผ่วเบาของนางแล้ว

เมื่อเห็นว่านางหลับเร็วมาก เขาก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ ดวงตาของชายหนุ่มเริ่มแดง เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงปฏิบัติต่อเขาดีถึงเพียงนี้? เหตุใดนางถึงมาชอบคนเป็นอัมพาตเช่นเขา?

เขาเหม่อมองหน้านาง ยกมือขึ้นด้วยความอยากสัมผัสแก้มนวลของนาง แต่ก็กลัวจะรบกวนการนอนของนาง เขาจึงลังเล แล้วลดมือลง

ขณะมองใบหน้าเนียนสวยราวกับหยก พร้อมฟังเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาของนาง เหลิ่งอวี้ไม่อาจอธิบายความรู้สึกที่อยู่ในใจได้ หากการเป็นอัมพาตจะทำให้สตรีผู้นี้อยู่กับเขาตลอดไป เขาก็นึกอยากจะเป็นอัมพาตเช่นนี้ไปตลอด แม้ว่าความคิดนี้จะเห็นแก่ตัวมากก็ตาม

ตลอดสามปีที่ผ่านมา ที่เขาต้องนอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง เขาได้เข้าใจสัจธรรม เขาเคยเป็นคนเย็นชาและหยิ่งผยอง เพราะได้รับความโปรดปรานจากพ่อตั้งแต่ยังเด็ก เขาไม่ชอบอยู่ใกล้คนอื่น ชอบทำทุกอย่างตามวิถีทางของตนเอง ส่งผลให้เขาไม่อาจเข้ากับคนรอบข้างได้ ดังนั้น หลังจากเกิดเหตุรุนแรงนี้ขึ้น จึงไม่มีใครมาคอยประจบประแจงอีก ไม่มีคนคอยช่วยเหลือในยามลำบาก มีเพียงคนดูถูกและเยาะเย้ยคนป่วยเช่นเขา

สามปีนี้เปรียบเสมือนฝันร้ายสำหรับเขา แต่สามปีนี้ก็ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดมากมายเช่นกัน

ในปีแรกที่เขานอนป่วยติดเตียง เขาเกลียดชังคนที่ทำร้ายเขามาก จนอยากจะใช้ดาบฟันคนเหล่านั้นให้เป็นชิ้น ๆ ในใจเขามีแต่งความเคียดแค้นชิงชังทุกวัน

ในปีที่สองหลังจากที่เขานอนป่วยติดเตียง ตัวเขาเองกลับตกเป็นเป้าของความเกลียดชังของตัวเอง เขาเกลียดตัวเองที่โง่เขลาจนถูกวางแผนใส่ร้ายได้ง่าย

ในปีที่สาม เขาเกลียดตัวเองที่ไม่รีบตายไปเสียที คิดเพียงว่าหากตายก็จะได้เป็นอิสระ

จนกระทั่งสตรีผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ความหวังถูกจุดประกายขึ้นในใจเขา

หากไม่มีนาง เขาคงได้แต่นอนรอความตายเงียบ ๆ โดยจะไม่คิดถึงความเกลียดชังหรือสิ่งอื่นใดอีก ไม่เต็มใจที่จะลืมตาดูโลกใบนี้ที่เขาเกลียด

ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้านาง ที่เนียนนุ่มดุจไข่ปอก ขยับหน้าเข้าไปใกล้นางด้วยความเสน่หา ค่อย ๆ ขยับริมฝีปากเข้าไปใกล้ แล้วจุมพิตหน้าผากของนางอย่างอ่อนโยน

เขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะมีอิทธิพลกับเขาได้ถึงเพียงนี้ เขารู้สึกขอบคุณที่นางมาปรากฏตัว และช่วยชีวิตเขาเมื่อเขาใกล้ตายเต็มที

หากเขาสามารถยืนหยัดได้อีกครั้ง เขาปกป้องสตรีผู้นี้ด้วยชีวิตของเขาเอง ต่อไปจะไม่ปล่อยให้นางต้องลำบากอีกแม้แต่น้อย

ตกกลางคืน เสียงหายใจของหญิงสาวที่นอนอยู่ข้างเขาช่างไพเราะนัก เหลิ่งอวี้ค่อย ๆ ดำดิ่งสู้ห้วงนิทราด้วยความมึนงง

กลางดึกคืนนั้น เหลิ่งอวี้รู้สึกเริ่มเจ็บแผลที่ขาอีกแล้ว ความเจ็บปวดทำให้เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ก็ยังพยายามควบคุมตัวเอง เมื่อเขาเจ็บปวดจนทนไม่ไหวจึงกัดผ้าห่มอย่างแรง ด้วยเกรงว่าเสียงร้องของเขาจะปลุกนางให้ตื่น เขาอยากให้นางนอนต่ออีกหน่อย

เขาฝืนทนเช่นนี้จนถึงรุ่งเช้า จนกระทั่งหมดแรง

เมื่อลั่วหลานลืมตา เขารีบหันหน้าหนี หลับตาแน่น แล้วกัดฟันบิดเอว การทำเช่นนี้เท่านั้นที่จะสามารถหันเหความสนใจจากความเจ็บปวดที่ขาได้

ลั่วหลานเห็นเช่นนี้จึงรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นเอ่ยคำขอโทษ แล้วเริ่มเตรียมยาแก้ปวด

“ขออภัยเพคะ ข้าเผลอหลับไป ข้าควรจะตื่นขึ้นมาฉีดยาแก้ปวดให้ท่านตอนกลางดึก ข้าผิดเอง ท่านเจ็บมากหรือเปล่าเพคะ?”

เมื่อเหลิ่งอวี้มองนาง สีหน้าก็สงบลงทันที เขาไม่อยากให้นางเห็นว่าเขาเจ็บปวด

เขาส่ายหน้าเบา ๆ จากนั้นคำพูดไม่กี่คำก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “ข้า... ไม่เจ็บ…”

ขณะฉีดยาแก้ปวดให้ ลั่วหลานดุเขา:

“ไม่เจ็บก็แปลกแล้วเพคะ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าถ้าเจ็บให้ปลุกข้า? เหตุใดท่านไม่เชื่อฟังกันเลย?”

“ข้า... เพิ่งเริ่มเจ็บ แล้วเจ้าก็ตื่นขึ้นมาพอดี”

ลั่วหลานไม่เชื่อเลย นางฉีดยาเข้าบั้นท้ายของเขา จากนั้นเริ่มพึมพำ

“ข้าเป็นหมอ ย่อมเข้าใจอาการของท่านดี ยาแก้ปวดนั้นออกฤทธิ์อยู่ได้เพียงสามชั่วยามเท่านั้น ตามที่ข้าคาดไว้ ท่านจะต้องเจ็บปวดในช่วงเที่ยงคืน แต่ท่านกลับฝืนทนแทนที่จะเรียกข้า ท่านเจ็บปวดจนสติเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร?”

ขณะฟังนางดุ รอยยิ้มอ่อนโยนพลันปรากฏที่มุมปากของเขา เขาชอบฟังนางพูด เสียงนั้นไพเราะเพราะพริ้งราวกับเสียงดนตรีอันสนุกสนาน

นางเปลี่ยนผ้าอ้อมที่สะอาดให้เขาอีกครั้ง แล้วห่มผ้าให้ จากนั้นนางก็นั่งบนขอบเตียง จับมือเขาเตรียมจะนวดให้ แต่เขามองนางด้วยความสงสัย

“ขยับได้แล้ว เหตุใดยังต้องนวดอีก?”

นางอธิบายขณะนวดเบา ๆ :

“อย่างไรเสีย ข้าก็ว่างอยู่แล้ว การนวดเช่นนี้ดีเสมอ เมื่อขาของท่านดีขึ้นแล้ว ข้าจะนวดขาให้ท่านด้วยเพคะ”

“แต่ว่า...” เขาเม้มปากมองนาง “แต่ว่าข้าหิวแล้ว”

หิวแล้วหรือ?

ลั่วหลานหัวเราะ นางลืมไปเลยว่าเมื่อคืนนางไม่ได้ให้สารอาหารเข้าเส้นเลือดเขา เขาไม่ได้กินอันใดเลย ตั้งแต่ก่อนการผ่าตัด ถ้าเขาไม่หิวคงแปลกแล้ว แต่นางยังคงพูดหยอกเย้า:

“ท่านไม่ได้ไม่รู้จักความหิวหรอกหรือเพคะ? จะหิวได้อย่างไร?”

พูดจบ นางก็ลุกขึ้นยืนแล้ว “โปรดรอก่อน ข้าจะไปหาข้าวมาให้ท่านเสวยเพคะ”

พูดแล้วนางก็ออกไปนอกห้อง เพื่อบอกให้อาไฉ่เข้าครัวไปนำโจ๊กมา นางถือโอกาสออกไปยืดขายืดเอว ออกกำลังกายบ้าง

ชาติก่อนนางไม่เพียงแต่ชอบเรียนแพทย์เท่านั้น แต่ยังชอบเต้นรำ ร้องเพลงและเล่นแบดมินตันด้วย

แต่ในชาตินี้ไม่มีงานอดิเรกเหล่านั้นอีกต่อไป ทำได้แค่เฝ้าเหลิ่งอวี้ตลอดทั้งวัน

นางคิดกับตัวเองว่าเมื่อเขาหายดีแล้ว นางจะลงโทษเขาให้เล่นแบดมินตันกับนาง

ขณะที่กำลังคิดอยู่ อาไฉ่เดินถือถาดใส่อาหารมาให้อย่างมีความสุข

“พระชายา โจ๊กมาแล้วเพคะ ช่วงนี้แม่ครัวสองคนในครัวเอาใจใส่มาก พวกนางคอยอุ่นโจ๊กให้พระชายากับท่านอ๋อง และยังมีไข่ลวกด้วยเพคะ”

ลั่วหลานรับถาดจากมือนางมา หัวเราะแล้วพูดว่า:

“เจ้าดูร่าเริงสดใสดี ข้าได้ยินมาว่าอาหงกำลังฝึกดาบอยู่ที่สวนหลังตำหนัก เจ้าเองก็ควรไปฝึกซ้อมด้วย ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันหรอก หากเจ้าร่ำเรียนวรยุทธได้ดี ก็จะเป็นประโยชน์มากในอนาคต ปล่อยให้อาโฮ่วเฝ้าประตูคนเดียวพอแล้ว”

นางเดินถือโจ๊กไปหาเหลิ่งอวี้ เหลิ่งอวี้อยากจะลุกขึ้นนั่ง แต่นางหยุดเขาไว้

“ท่านเพิ่งผ่าตัดขา เกรงว่าแผลจะตึง ลุกขึ้นนั่งไม่ได้ เดี๋ยวข้าป้อนให้เองเพคะ”

หลังจากพูดเช่นนั้น นางก็ใช้ช้อนคันเล็กตักโจ๊กป้อนเข้าปากเขา เขาพยายามจะหยิบช้อนมาตักเอง แต่ลั่วหลานกลับพูดเสียงดังกับเขา

“อ้าปากดี ๆ เพคะ ไม่เช่นนั้นข้าจะโกรธแล้ว”

ประโยคนี้ใช้ได้ผลกับเขาที่สุด เขายอมอ้าปากอย่างเชื่อฟัง

ขณะกำลังป้อนโจ๊กให้เขา นางกล่าวว่า “นั่นสิเพคะ เมื่อวานไท่จื่อสุนัขนั่นกลับมาอีกแล้ว แต่โดนข้าทำให้โมโหจนหนีไปอีกแล้ว”

เมื่อกล่าวถึงไท่จื่อ ความมืดมนพลันฉายแววขึ้นมาในดวงตาของเขา

ลั่วหลานรู้ว่าเขาจะไม่มีความสุขแน่นอน หากพูดถึงคนผู้นี้ นางจึงกล่าวเสริม:

“แต่ท่านไม่ต้องกังวลเพคะ ในอนาคตท่านจะมีโอกาสมากมายในการจัดการกับเขา”

“ไม่ใช่แค่เขา”

รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหลิ่งอวี้ “มีคนมากมายที่ข้าอยากจะจัดการ…”

“ข้าเข้าใจเพคะ แต่ท่านไม่อาจใจร้อนได้ ใช่แล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้พบกับท่านอ๋องซีด้วยเพคะ”

เมื่อกล่าวถึงท่านอ๋องซี สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นมาก แต่ยังพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง:

“เขาเป็นคนที่สนิทกับข้ามากที่สุด เป็นคนที่ข้าไว้ใจมากที่สุดด้วย”

............................................................................................