ตอนที่แล้วตอนที่ 27 เริ่มการผ่าตัด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 29 ความง่วงเข้าครอบงำ

ตอนที่ 28 ไท่จื่อสุนัขโมโห


ตอนที่ 28 ไท่จื่อสุนัขโมโห

นางเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเขา ปรากฏว่าร้อนผ่าวราวกับเหล็กเผาไหม้ ดูเหมือนว่าเขาจะไข้ขึ้นเสียแล้ว

เป็นไข้แบบไม่มีเหงื่อออก แน่นอนว่าเกิดจากการติดเชื้อหลังการผ่าตัด หมอกลัวคนไข้เป็นไข้หลังการผ่าตัดมากที่สุด เพราะอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ง่าย และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

นางรีบหยิบขวดยาลดไข้กับเข็มฉีดยาขนาดเล็กในตู้ออกมา จากนั้นใช้เข็มฉีดยาดูดน้ำยา เปิดผ้าห่มออก ก่อนจะยกบั้นท้ายของเขาขึ้น แล้วฉีดยาลดไข้เข้ากล้ามเนื้อ

เหลิ่งอวี้คนนี้เป็นอ๋องที่ทำให้คนเป็นห่วงได้ตลอดจริง ๆ

หลังจากการจัดการปัญหาทั้งหมดนี้ นางก็เหงื่อออกท่วมตัวแล้ว แต่นางไม่กล้าทิ้งเขาไว้ตามลำพังอีก เพราะกลัวว่าหากเกิดอันใดขึ้นอีก แล้วนางเผลอหลับไปอีกครั้ง หากจะเสียใจตอนนั้นคงสายไปแล้ว

ตลอดทั้งคืนนี้ นางกล้างีบหลับเป็นครั้งคราวเท่านั้น แม้ว่าจะงีบหลับก็ยังตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในห้องผ่าตัดด้วย เพราะนางกลัวว่าหากยาในขวดสารน้ำหมด แล้วเลือดไหลย้อนกลับเข้าไปในสายก็ยังถือว่าโชคดี แต่หากอากาศเข้าไปแทนจะต้องแย่แน่นอน

คืนแรกหลังการผ่าตัดเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ถ้าคนไข้ผ่านไปได้ก็จะไม่มีเรื่องใหญ่อันใดอีกแล้ว

เนื่องจากเหลิ่งอวี้ดมยาสลบ เขาจึงหลับสนิท ลั่วหลานออกจากห้องผ่าตัด หลังจากเปลี่ยนยาในขวดสารน้ำครั้งสุดท้ายเสร็จ นางพร้อมที่จะกลับไปนอนพัก

ขณะที่นางนอนอยู่บนเตียง ก็มีเสียงดังมาจากข้างนอก

มันเป็นเสียงของอาอวี่กับอาโฮ่ว

“เข้าไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ พระชายากับท่านอ๋องกำลังพักผ่อนอยู่”

“ข้ามาถึงที่นี่เพื่อเยี่ยมน้องชายสี่ของข้า จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากทาสอย่างพวกเจ้าด้วยหรือ? หลีกไปให้พ้น”

“ไม่ได้”

อาอวี่กับอาโฮ่วยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่หน้าประตู ไท่จื่อมาพร้อมกลุ่มคนรับใช้ ที่มองพวกเขาด้วยสายตาดุดัน

ไท่จื่อขมวดคิ้ว แล้วพูดเหยียดหยาม:

“ท่านอ๋องของเจ้าเป็นอัมพาต พระชายาของพวกเจ้าคงไม่ได้นอนกับเขาใช่หรือไม่? เช้าแล้วยังไม่ตื่นอีกหรือ? เขาเห็นอาหารอร่อยอยู่ตรงหน้าทุกวัน แต่กลับไม่อาจกินได้เช่นนี้ ไม่ทรมานแย่หรือ? ข้าต้องเข้าไปดูน้องชายสี่ผู้น่าสงสารของข้า”

ทันใดนั้น ประตูถูกลั่วหลานเปิดจากด้านใน นางหรี่ตามองไท่จื่อที่ยืนอยู่ข้างนอก จากนั้นจึงใช้มือบังแสงอาทิตย์ แล้วพูดด้วยความประหลาดใจ:

“ข้าก็สงสัยว่าเหตุใดวันนี้พระอาทิตย์ถึงขึ้นทางทิศตะวันตก? ปรากฏว่าไท่จื่อเสด็จมานี่เอง ไม่ทราบว่าไท่จื่อเสด็จมาที่ตำหนักอ๋องอวี้อันทรุดโทรมแห่งนี้ ด้วยจุดประสงค์ใดหรือเพคะ?”

ไท่จื่อยกมือขึ้นปิดปากกระแอมเบา ๆ แล้วพูดว่า:

“คราวที่แล้วข้ามามือเปล่า จึงทำให้พระชายาอวี้ขุ่นเคือง คราวนี้ข้านำของฝากติดตัวมาด้วย ฉะนั้นข้าย่อมสามารถเข้าไปเยี่ยมน้องชายสี่ของข้าได้ตลอดเวลา”

ลั่วหลานมองตามที่เขาชี้ไป แน่นอนว่านางเห็นคนรับใช้สองสามคน ถือกล่องอาหารสองสามกล่องอยู่ในมือ ไท่จื่อสุนัขผู้นี้จะมีน้ำใจได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องมองก็รู้ว่ามันเป็นเพียงของเหลือ

แม้จะรู้ว่าเขาไม่มีทางมีเจตนาดี แต่ลั่วหลานยังคงเดินนวยนาดเข้าไปรับกล่องอาหาร เมื่อเปิดฝาออกดู ก็เห็นว่าข้างในมีเพียงเครื่องเคียงอยู่สองสามอย่างจริง ๆ ทั้งยังใกล้จะเหม็นบูดเต็มที ดูเหมือนว่าไท่จื่อสุนัขตั้งใจมาเยาะเย้ยนางที่ตำหนักอ๋องอวี้

นางหัวเราะเบา ๆ ก่อนหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาเฉียบคม

“ไท่จื่อ นี่หมายความว่าอย่างไร? พวกท่านเสวยอาหารเช่นนี้ในตำหนักบูรพาหรือเพคะ?”

ไท่จื่อกางพัดออก แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจ:

“ใช่แล้ว! ข้าคิดว่าเงินเดือนของน้องชายสี่ในตำหนักแห่งนี้ ถูกสำนักกิจการภายในลดลง คงใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสนมาก ส่วนตำหนักบูรพาของข้า มักจะได้รับประทานรางวัลจากเสด็จพ่อเสด็จแม่เสมอ ทำให้มีของกินเยอะเกินไป ข้าจึงคิดถึงน้องชายสี่ของข้า! ข้าคิดว่าคงจะน่าเสียดาย ถ้าต้องทิ้งอาหารเหลือในตำหนักบูรพา จึงเอามาให้พวกเจ้าแทน”

หลังจากได้ฟังดังนั้น ในที่สุดลั่วหลานก็เข้าใจว่า ไท่จื่อสุนัขมาที่นี่เพื่อล้างแค้นนางเพราะเรื่องครั้งก่อน

นางเหลือบมองกล่องอาหาร จากนั้นแสร้งทำหน้าเศร้าหมอง แล้วส่ายหน้า

“ข้าคิดว่าสถานที่อันสูงส่งเช่นตำหนักบูรพา จะต้องมีอาหารดี ๆ มากมาย แต่กลับกลายเป็นของเหล่านี้หรือเพคะ? แม้แต่คนรับใช้ในตำหนักอ๋องอวี้ยังไม่กินของพวกนี้เลย ดูเหมือนไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่มีน้ำมัน ทั้งยังรสชาติจืดจาง อาไฉ่,อาหง เราไม่อาจเพิกเฉยต่อความเมตตาของไท่จื่อได้ จงนำอาหารเหล่านี้ไปให้อาหวงที่สวนหลังบ้านเถิด”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อาไฉ่กับอาหงก็เข้ามาหยิบกล่องอาหาร ใบหน้าของไท่จื่อเปลี่ยนเป็นสีเขียว กัดฟันด้วยความไม่พอใจ แล้วพูดว่า:

“ข้ารู้ว่าพระชายาอวี้กำลังพยายามจะแสดงความกล้าหาญ แต่เห็นได้ชัดว่าที่นี่มีอาหารไม่เพียงพอ แต่ยังแสร้งทำเป็นโอ้อวดอีก เหตุใดเจ้าถึงพยายามอวดล่ะ? น้องชายสี่กับข้าเป็นพี่น้องกัน ข้าจะทนเห็นเขาใช้ชีวิตอดอยากเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“ไท่จื่อเข้าใจผิดแล้วเพคะ”

ลั่วหลานรีบโบกมือ ก่อนจะชี้ไปที่กล่องอาหาร แล้วพูดว่า “ไฉ่เฟิ่ง พาคนของไท่จื่อไปดูในห้องครัวของเราสิ ไม่เช่นนั้นไท่จื่อจะคิดว่าพระชายาคนนี้กำลังคุยโม้”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ไท่จื่อจึงหรี่ตาแล้วโบกมือให้คนของเขา เขาเคยได้ยินมาว่าอาหารในตำหนักอ๋องอวี้นั้นแย่มาก แม้แต่คนใกล้ตายอย่างเหลิ่งอวี้ ก็ยังได้กินเพียงน้ำข้าวประทังชีวิตเท่านั้น

เขาไม่เชื่อว่าเมื่อสาวบ้านนอกคนนี้มา อาหารจะดีขึ้นกว่าเดิมจริงหรือ?

สักพักคนของไท่จื่อก็กลับมา ไท่จื่อหัวเราะเบา ๆ แล้วถามด้วยความเย้ยหยัน:

“เห็นชัดเจนแล้วหรือยัง?”

“เห็นชัดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ครัวที่ตำหนักน้องชายสี่ของข้าว่างเปล่าเลยหรือเปล่า?”

ชายคนนั้นส่ายหน้า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ มีทั้งปลา เนื้อ ไก่ เป็ด ข้าว บะหมี่และน้ำมันในครัว มีผักหลากหลายชนิดยิ่งกว่าในตำหนักไท่จื่อของเราเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ”

ได้ฟังเช่นนั้น สีหน้าของไท่จื่อเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที ส่วนลั่วหลานเลิกคิ้วขึ้นขณะดวงตาเป็นประกาย:

“สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นอาหารสำหรับคนรับใช้ในตำหนักอ๋องอวี้ สำหรับข้า ข้าจะไม่มีวันปฏิบัติต่อคนรับใช้ของข้าไม่ดี แต่ข้ายังอยากจะขอบพระทัยไท่จื่อ ที่ได้นำอาหารมาให้ต้าหวงของเรากินเพคะ”

ทันใดนั้น อาไฉ่กับอาหงก็ถือกล่องอาหารกลับมาด้วยความโกรธ อาไฉ่ตะโกนว่า:

“พระชายา ต้าหวงดมไปทีเดียวก็ไม่ยอมกินแล้วเพคะ แม้แต่สุนัขในตำหนักอ๋องอวี้ ยังไม่กินสิ่งที่คนในตำหนักไท่จื่อกินกันเลยเพคะ”

อาหงยังกล่าวเสริมด้วย:

“ใช่เพคะ ต้าหวงของเรามักจะกินปลากับเนื้อเป็นประจำ คงไม่เคยเจออาหารมังสวิรัติเช่นนี้มาก่อน ต้าหวงได้กลิ่นแล้วจึงทนกินไม่ไหวเพคะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของไท่จื่อก็เข้มขึ้นอีกครั้ง

เดิมทีเขาคิดจะใช้อาหารเหลือเพื่อตบหน้าสตรีผู้นี้ เพื่อล้างแค้นที่นางดูถูกเขาครั้งที่แล้ว ไม่คาดคิดเลยว่านางจะตบหน้าเขาแทน

เขายกมือปิดปากกระแอม จู่ ๆ ก็หันไปตบคนรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ดัง “ผัวะ” แล้วตวาดด้วยความโกรธ

“พวกทาสไม่ได้เรื่อง ข้าสั่งให้พวกเจ้าเตรียมอาหารชั้นดีมาให้น้องชายสี่ของข้า แต่พวกเจ้ากลับเตรียมอาหารที่แม้แต่สุนัขก็ไม่กินเช่นนี้มางั้นหรือ? คราวหน้าหากพวกเจ้ายังประมาทเลินเล่อเช่นนี้อีก ข้าจะตัดมือพวกเจ้าทิ้ง”

คนรับใช้ที่อยู่ข้างเขารีบถอยหลังไปสองก้าว หวาดกลัวเกินกว่าจะอ้าปากพูดได้

ลั่วหลานเห็นเช่นนี้ นางจึงรู้ว่าเขากำลังเสียหน้า จึงอยากระบายความโกรธใส่ใครสักคน นางแกล้งทำเป็นไม่แยแสและปลอบใจเขา:

“ไท่จื่อกำลังทำอันใดอยู่เพคะ หากต้องการสั่งสอนคนรับใช้ของท่าน ก็กลับไปสั่งสอนที่ตำหนักเถิด! ถ้าท่านทำเช่นนี้ในตำหนักอ๋องอวี้ ข้าอาจจะหัวเราะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะคิดว่าไท่จื่อยังไม่สามารถจัดการคนรับใช้ให้ดีได้ด้วยซ้ำ”

...............................................................................