ตอนที่ 22 ข้าจะไปเอง…
ตอนที่ 22 ข้าจะไปเอง…
ลั่วหลานยกผ้าห่มขึ้นโดยไม่สนใจ แล้วพูดขณะจัดการทำความสะอาดว่า:
“แล้วจะทำได้อย่างไรล่ะเพคะ? คนเหล่านั้นไม่เคยมีใครรับใช้ท่านอย่างจริงใจ แล้วตอนนี้จะให้มาดูแลแทนได้อย่างไร? อีกทั้งพวกผู้ชายเหล่านั้นก็มือเท้าหยาบกร้านด้วย แล้วข้าจะไว้วางใจได้อย่างไร”
“แต่ว่า…”
เขาหน้าแดงขณะมองนาง ลั่วหลานมองกลับมาที่เขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า:
“บอกไปหลายครั้งแล้วเพคะว่าไม่ต้องเขินอาย ข้าเป็นพระชายาของท่าน ตำแหน่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝัน ข้าได้ตำแหน่งมาอย่างง่ายดาย จะไม่ทำอันใดเป็นการตอบแทนเลยได้อย่างไร?”
สักพักนางก็ทำความสะอาดสิ่งสกปรกใต้ตัวเขาออกจนหมด ใช้ผ้าชุบน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดตัวของเขาอีกหลายรอบ เปลี่ยนผ้าปูที่สะอาดให้เขา ก่อนจะสวมตะปิ้งที่นางเย็บให้เขาไว้รอบเอวเขา เพื่อปกปิดของสงวน แล้วห่มผ้าห่มให้เขา
ความรู้สึกแห้งสบายทำให้หัวใจของเขาอบอุ่น เขาจะตอบแทนสตรีผู้นี้อย่างไรดี?
แต่ลั่วหลานถือขยะออกไปนอกประตูราวกับว่าเขาไม่สนใจ ส่งให้หญิงสาวที่อยู่ข้างนอก จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับมา
สิ่งที่นางทำบ่อยที่สุดทุกวันคือการนวดแขนให้เขา เมื่อครู่นี้ แขนของเขาขยับได้แล้ว ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้นางมากขึ้น
นางนั่งอยู่บนขอบเตียง จับแขนของเขาออกจากผ้าห่มมาวางบนตักนาง เริ่มนวดแล้วพูดว่า:
“ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าแขนของท่านขยับไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของท่านไม่อยากขยับ ท่านรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ประโยชน์ สมองของท่านบอกข้อมูลนี้กับแขนของท่าน แขนจึงขี้เกียจเกินกว่าจะขยับ”
คำพูดของนางทำให้เขาอดยิ้มฝืดเฝื่อนไม่ได้ เขามองนาง ก่อนเม้มปากถามว่า:
“แขนก็มีความคิดด้วยหรือ?”
“แน่นอนเพคะ”
ลั่วหลานเลิกคิ้วมองเขา “อวัยวะทุกส่วนในร่างกายล้วนมีความคิด แต่เนื่องจากขาของท่านขยับไม่ได้ สมองท่านจึงขี้เกียจเกินกว่าจะสั่งการให้อวัยวะอื่นเคลื่อนไหว ทุกส่วนจึงเริ่มหลับใหล นี่คือสาเหตุที่อวัยวะภายในของท่านปกติดี แต่ร่างกายกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้”
คำพูดของนางชวนให้เขาสงสัย แต่เขาชอบฟังนาง ไม่ว่านางจะพูดอันใดเขาก็ชอบฟังทั้งนั้น
ในเวลานี้อาไฉ่ตะโกนมาจากข้างนอก:
“คุณหนู ฉางกุ้ยเฟยเสด็จมาแล้ว อยากให้ท่านไปพบนางที่ห้องโถงหน้าเพคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหลิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วมุ่น ลั่วหลานตอบกลับไป วางมือบนผ้าห่ม แล้วพูดเสียงแผ่วเบา :
“รออยู่ที่นี่นะเพคะ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”
“ช้าก่อน...”
จู่ ๆ เขาก็หยุดนางทันทีที่นางลุกขึ้น นางหันกลับไปยืนข้างเตียง ก้มหน้าลงมองเขา แล้วช่วยเขาจัดปกเสื้อที่ยับยู่ยี่ให้เขา ดูเหมือนแม่ที่กำลังจะออกไปข้างนอกแล้วต้องปลอบลูก
ขนตาของเขาสั่นเบา ๆ ก่อนพูดอย่างเย็นชา:
“อย่าบอกเรื่องอาการของข้าให้นางรู้”
ลั่วหลานมองใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ของเขาแล้วยิ้ม จากนั้นยกมือไปจับปลายจมูกของเขา
“ท่านคิดว่าข้าโง่หรือเพคะ? อย่าว่าแต่นางเลย ข้าจะไม่บอกใครเรื่องอาการของท่าน ไม่ต้องกังวลเพคะ!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของนาง เหลิ่งอวี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาอาการดีขึ้น แล้วจะมาทำร้ายเขา เขากลัวว่าจะมีใครรู้ว่าลั่วหลานกำลังช่วยรักษาเขา แล้วมาทำร้ายนาง
หญิงสาวผู้นี้มีหัวใจบริสุทธิ์ดั่งกระดาษขาว เขาไม่อยากให้นางถูกแตะต้องแม้แต่ปลายผม ขณะที่เขายังปกป้องนางไม่ได้
เมื่อลั่วหลานมาที่ห้องโถงด้านหน้า ฉางกุ้ยเฟยก็นั่งหน้าเข้มรออยู่แล้ว โดยมีหรูอี้และพ่อบ้านสวียืนอยู่ฝั่งหนึ่ง
เมื่อเห็นภาพนี้ ลั่วหลานเข้าใจทันทีว่าคนสองคนนี้ไปฟ้องแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะเรียกฉางกุ้ยเฟยมาที่นี่ได้จริง ๆ
นางก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วโค้งคำนับทำความเคารพ
“ถวายบังคมกุ้ยเฟยเพคะ”
ฉางกุ้ยเฟยมองนางด้วยสายตารังเกียจ แล้วถามเสียงเย็นชา
“ได้ยินมาว่าเจ้าไล่คนรับใช้ในตำหนักออกหมดแล้วหรือ? คนพวกนี้รบกวนเจ้าอย่างไร?”
นับตั้งแต่พบกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉางกุ้ยเฟยพูดกับลั่วหลานด้วยน้ำเสียงนี้
นางเหลือบมองพ่อบ้านสวีกับหรูอี้ แล้วเลิกคิ้วพูดเสียงเบา :
“ข้าตระหนักได้ว่าข้าเป็นพระชายาของตำหนักแห่งนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในตำหนักแห่งนี้ ในเมื่อข้าเป็นพระชายา หากข้าจะไล่คนรับใช้สองสามคนออกไป แล้วมีอันใดผิดปกติหรือเพคะ? ท่านคิดว่าผิดอย่างไรหรือเพคะ?”
ฉางกุ้ยเฟยจ้องมองนางด้วยสีหน้าขุ่นเคือง แล้วตอบอย่างเย็นชา:
“เจ้าต้องการไล่คนรับใช้ออกไปนั้นไม่ผิดหรอก แต่เหตุใดเจ้าถึงอยากไล่คนรับใช้สองคนนี้ ที่ทำงานในวังหลวงมานานหลายปีออกด้วย? พวกนางดูแลรับใช้ท่านอ๋องมาหลายปีแล้ว ยอมทุ่มเททำงานหนักโดยไม่รับความดีความชอบ!”
ดูแลรับใช้หรือ?
ทันใดนั้นลั่วหลานก็รู้สึกว่าสองคำนี้ระคายหูมาก
นางเหลือบมองพ่อบ้านสวีกับหรูอี้ แล้วยิ้มเย้ยหยัน
“ดูแลรับใช้หรือเพคะ? ถ้าคนอื่นรู้ว่าพวกเขารับใช้ท่านอ๋องอย่างไร เกรงว่าคงจะหัวเราะออกมาเสียงดังเป็นแน่! ถ้ากุ้ยเฟยไม่รังเกียจที่จะได้ยินว่าสภาพของท่านอ๋องเป็นอย่างไร เมื่อข้ามาตอนแรก ข้าก็ไม่กลัวเสียเวลาพูดอีกสองสามประโยคนะเพคะ”
เมื่อได้ยินว่านางกำลังจะฟ้อง พ่อบ้านสวีก็ชิงพูดก่อนอย่างเย็นชา:
“พระชายาหมายความว่าอย่างไร ท่านอ๋องไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตั้งแต่แรก คนรับใช้ในตำหนักอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาวันละหลายครั้ง ตอนที่ท่านมาที่นี่ เขาบังเอิญขับถ่ายพอดี ท่านจึงต้องเปลี่ยนผ้าปูให้เอง ท่านไม่อาจเอาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มาถือสาหาความได้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หรูอี้ที่ยืนอยู่ข้างกันกล่าวเสริม:
“สิ่งที่พ่อบ้านสวีจะบอกคือบ่าวทุ่มเทดูแลท่านอ๋องอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ไม่เช่นนั้น ท่านอ๋องคงไม่มีชีวิตอยู่ดีมีสุขเช่นนี้ได้ พระชายาจะบอกว่างานของพวกบ่าวสูญเปล่าได้อย่างไรเพคะ? ท่านอ๋องนอนตลอดเวลา ย่อมมีแผลกดทับตามร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่หมอหลวงก็ยังทำอันใดไม่ได้ แล้วคนรับใช้อย่างพวกบ่าวจะทำอันใดได้เพคะ?”
สองคนนี้แก้ตัวกันเร็วมาก ก่อนที่นางจะอ้าปากพูดได้ พวกนางก็ชิงพูดก่อนไปหมดแล้ว
นางก้มหน้ายิ้มเย้ย จากนั้นมองฉางกุ้ยเฟย แล้วพูดอย่างเย็นชา:
“ในเมื่อท่านเห็นว่าการไล่คนรับใช้สองคนนี้ออกไปเป็นเรื่องผิด เช่นนั้นข้าก็ผิดไปแล้ว พระชายาเช่นข้าพอแล้ว ใครอยากจะรับใช้คนเป็นอัมพาตเล่าเพคะ? ให้พวกนางกลับมาเถิด! ส่วนข้าจะไปเอง...”
หลังจากทิ้งคำพูดนี้ไว้เบื้องหลัง นางก็หันหลังแล้วนับเลขในใจ: หนึ่ง... สอง... สาม...
นางคิดว่าฉางกุ้ยเฟยจะหยุดนางแน่นอน เมื่อนางนับถึงสาม
อุตส่าห์ใช้เงินไปมากมายเพื่อซื้อนางมา ผู้คนในวังหลวง รวมถึงฮ่องเต้ก็คงรู้เรื่องนี้ดี ถ้านางจากไปแล้ว คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาผู้หญิงคนอื่นมาแทน
เมื่อนางกำลังจะนับถึงสามในใจ ฉางกุ้ยเฟยหยุดนางด้วยเสียงเย็นชา “หยุดนะ...”
นางหยุดเดินไปข้างหน้า หันกลับมาหาฉางกุ้ยเฟย รอให้นางพูด
“ครอบครัวของเจ้ารับเงินหนึ่งพันตำลึงไปจากข้าแล้ว เจ้าเพิ่งมาอยู่ในตำหนักได้เพียงสิบวันเท่านั้น เจ้าจะจากไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? ช่างเพ้อฝันนัก”
ลั่วหลานหัวเราะเบา ๆ แล้วหันกลับมาอย่างสงบ “กุ้ยเฟย สิ่งที่ท่านพูดนั้นผิดแล้วเพคะ ข้าไม่ได้อยากหนีไป เมื่อเรื่องมาถึงตัว แต่หากพระชายาเช่นข้าไล่คนรับใช้สองคนออก แล้วท่านเข้ามาแทรกแซง พระชายาที่กำลังจะตายเช่นข้าจึงรู้สึกอัดอั้นตันใจมากเกินไป เดิมทีข้าตกลงอภิเษกสมรสกับท่านอ๋องอวี้ เพียงเพราะว่าข้าอยากจะอยู่ใช้อำนาจของตัวเองสักสองสามวัน แต่ในที่สุดความปรารถนานี้ก็ไม่อาจเป็นจริงได้ แล้วเหตุใดข้าไม่กลับไปเอาเงินจากอาสะใภ้คืนมา เพื่อหักค่าแรงที่ข้ารับใช้ท่านอ๋องไปแล้ว แล้วคืนส่วนที่เหลือให้กุ้ยเฟยแทนไปเลยล่ะเพคะ”
เมื่อเห็นว่านางอยากออกไปจริง ๆ ฉางกุ้ยเฟยก็ขมวดคิ้วทันที
ฮ่องเต้ทราบแล้วว่านางหาพระชายาให้อวี้เอ๋อร์ ที่เต็มใจที่จะถูกฝังไปพร้อมกับเขาได้แล้ว ฮ่องเต้ต้องการพบนางในสักวันหนึ่ง หากนางได้รับอนุญาตให้ออกไปตอนนี้ แล้วจะไปหาคนอื่นจากไหนมาแทน??
นางจึงขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา:
“เนื่องจากเจ้ารู้สึกว่าพ่อบ้านสวีกับหรูอี้ไม่มีประโยชน์ เช่นนั้นข้าจะพาพวกเขากลับไป อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะออกจากตำหนักนี้ เมื่อเจ้าเข้ามาในตำหนักอ๋องอวี้แล้ว อย่าคิดว่าจะได้ออกไปอีก”
......................................................................................