ตอนที่แล้วบทที่ 19 เปิดไพ่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 21 สอบไม่ดีเท่าดูดวง

บทที่ 20 ท่าทีข่มขู่


เห็นสีหน้าของหลินชิงอิ่นมีท่าทางหนักอึ้งอยู่บ้าง แม่ของหลินชิงอิ่นอดนึกไม่ได้ถึงผลการสอบปลายภาคเมื่อเทอมที่แล้วที่หลินชิงอิ่นทำได้แย่ จึงปลอบใจเธอด้วยความสงสาร "ลูกเป็นเด็กที่พยายามเสมอมา ค่อยๆ ทำไปก็แล้วกัน แม่เชื่อในตัวลูก แม้การสอบหนึ่งสองครั้งจะไม่ดี ก็ไม่เป็นไร อย่าไปกดดันตัวเองมากนัก อย่าไปกระโดดน้ำอีกล่ะ"

หลินชิงอิ่นอึ้งงัน โดนป้อนไก่ตุ๋นจิตใจจนงงไปหมด เดินหัวปั่นๆ กลับเข้าห้อง พลิกดูตำราบนโต๊ะ ช่วงเรียนเสริมครึ่งเดือนนี้ วิชาวิทยาศาสตร์ต้องเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมต้นเลย ตอนนี้หลินชิงอิ่นเรียนเสร็จแค่วิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์เรียนจบแค่ส่วนของมัธยมต้น ส่วนของมัธยมปลายเพิ่งเรียนไปครึ่งเดียว

นอกจากนี้ เคมียังไม่ได้เปิดดูเลย ภาษาอังกฤษไม่เข้าใจเลยสักนิด วิชาอื่นๆ ยังพอว่า หลินชิงอิ่นอ่านหนังสือประวัติศาสตร์จบหมดแล้วด้วยตัวเอง ภูมิศาสตร์ การเมือง ส่วนที่ทำในการบ้านเธอจำได้หมด ส่วนที่ยังไม่เคยอ่านก็ยังค้นหาจากความทรงจำของร่างเดิมได้บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่

มองดูรายวิชาหลากสีสัน หลินชิงอิ่นลองเสี่ยงทายเรียงลำดับข้อสอบของแต่ละวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ สามวิชานี้จะอยู่ข้างหน้าสุด ตามมาด้วยกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ ท้ายสุดจะเป็นสามวิชาสายศิลปศาสตร์ เธอยังพอมีเวลาอ่านวิชาทีต้องอาศัยความจำ

หลินชิงอิ่นหยิบข้อสอบภาษาจีนเมื่อปลายเทอมที่แล้วขึ้นมาอ่านทั้งหมดรอบหนึ่ง แล้วโทรไปถามเจียงเว่ยว่ามีวิธีไหนพัฒนาผลการสอบภาษาจีนได้บ้าง พอเจียงเว่ยได้ยินก็ดีใจ ขี่จักรยานตรงดิ่งไปที่ร้านหนังสือซินหวาเพื่อเลือกซื้อกันใหญ่

วิชาภาษาจีนไม่อาจขาดแบบฝึกหัดกับคู่มือเขียนเรียงความ แต่เจียงเว่ยคิดว่าไม่ควรมุ่งเน้นแค่ภาษาจีน ทำให้วิชาอื่นน้อยใจ ซื้อก็ต้องซื้อให้ครบ แล้วก็ซื้อแค่ของมัธยมปลายปี 1 คงไม่พอ เทอมนี้ก็ขึ้นมัธยมปลายปี 2 แล้ว ต้องเตรียมพร้อมรับเทอมใหม่ให้เต็มที่

เจียงเว่ยคิดว่าตัวเองครอบคลุมประเด็นปัญหาได้ครบถ้วน เด็กมัธยมปลายน่ะ ไม่ทำแบบฝึกหัดได้ยังไง

เจียงเว่ยเป็นเด็กเรียนเก่งอยู่แล้ว แม้จะผ่านพ้นช่วงมัธยมปลายมาสี่ปีแล้ว แต่ก็ยังจำได้แม่นว่าสำนักพิมพ์ไหนมีโจทย์ดี โจทย์ของซีรีส์ไหนคล้ายกับข้อสอบ ด้วยเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง เจียงเว่ยเลือกหนังสือช่วยสอนเต็มรถเข็นใบใหญ่หนึ่งอัน

มีหนังสือมากขนาดนี้ คนคนเดียวขนไม่ไหวแน่ เจียงเว่ยโทรตามอ้วนหวังให้มารับที่หน้าร้านหนังสือซินหวา บ้านอ้วนหวังอยู่ใกล้ร้านหนังสือซินหวาพอดี ก่อนหน้านี้เขาตั้งแผงขายของอยู่ในตรอกไม่ไกลด้านหลัง แต่พอรู้จักกับหลินชิงอิ่น ก็เลิกทำอาชีพหลอกลวงนี่ไปแล้ว

ช่วงสองวันนี้ที่หลินชิงอิ่นเตรียมของสำหรับการเปิดเทอม อ้วนหวังก็ได้แต่อ่านหนังสืออยู่บ้าน แม้ว่าจะเปิดแอร์ ต้มชาไว้ แต่อ้วนหวังก็ยังเหม่อลอย คิดว่าไม่เหมือนตอนมาอ่านหนังสือที่บ้านหลินชิงอิ่นที่มีสมาธิจดจ่อ ประสิทธิภาพก็ต่ำกว่าเยอะ

อ้วนหวังกำลังท่องหนังสืออย่างทรมานใจ พอได้รับโทรศัพท์จากเจียงเว่ย ก็ตื่นเต้นคว้ากุญแจรถวิ่งออกจากบ้านทันที พอไปถึงหน้าร้านหนังสือซินหวา อ้วนหวังเห็นรถเข็นเต็มไปด้วยหนังสือของเจียงเว่ยก็ตกใจ "นายจะเปิดร้านหรือไง"

เจียงเว่ยยิ้มแก้มปริจนหุบปากไม่ลง ตบกองหนังสือฝึกหัดที่ดูหนาเตอะแล้วหัวเราะคิกคัก "นี่คืออุปกรณ์การเรียนที่ผมซื้อมาให้ท่านปรมาจารย์น้อย"

อ้วนหวังมองเจียงเว่ยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ทำอะไรชั่วช้าขนาดนี้กับท่านปรมาจารย์น้อยของพวกเรา

--

อ้วนหวังขับรถมาจอดที่ใต้ตึกของหลินชิงอิ่น แล้วก็ขนหนังสือหอบหิ้วขึ้นมาที่ชั้นสาม ช่วงนี้ทั้งสองมาบ้านหลินชิงอิ่นบ่อยๆ ประกอบกับที่แม่ของหลินชิงอิ่นทะเลาะกับป้าข้างบ้านที่ชอบนินทาคนอื่น เพื่อนบ้านต่างรู้กันหมดว่าสองคนนี้เป็นครูสอนพิเศษของหลินชิงอิ่น

พอดีกับช่วงเวลาเลิกงานตอนเที่ยง เพื่อนบ้านเห็นกองหนังสือเสริมหลักสูตรตาลุกวาว โดยเฉพาะคนที่บ้านก็มีนักเรียนเหมือนกัน พากันมาดูว่าซื้อเล่มอะไรบ้าง บางคนถามเจียงเว่ยว่าสอนนักเรียนอีกไหม เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นครูสอนพิเศษที่รับผิดชอบขนาดนี้มาก่อน

อ้วนหวังคุยกับพวกเขาอย่างร่าเริง จากนั้นเขากับเจียงเว่ยก็ขนหนังสือที่ซื้อมาทั้งหมดขึ้นไปที่ชั้นสามยังห้องของหลินชิงอิ่น ห้องหลินชิงอิ่นที่แต่เดิมก็ไม่ใหญ่อยู่แล้ว ตอนนี้ถูกยึดไปเกือบครึ่ง

พอได้รับของขวัญชิ้นโตจากเจียงเว่ย หลินชิงอิ่นก็ดีใจมาก สำหรับวิชาอย่างประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ แค่ท่องหนังสือก็ได้แล้ว แต่ส่วนการอ่านเชิงวิเคราะห์ของวิชาภาษาจีนทำเอาเธอปวดหัวไม่น้อย เธอไม่เข้าใจจริงๆ นะว่าทำไมการใช้ชีวิตต้องมีอารมณ์ความรู้สึกมากมายขนาดนั้น พบเจอเรื่องที่คิดไม่ตกก็แค่เสี่ยงเซียมซีไม่ใช่หรือไง

เจียงเว่ยเปิดแบบฝึกหัดวิชาภาษาจีนออกมาทั้งหมด ไม่เพียงมีของมัธยมปลายปี 1 ของมัธยมปลายปี 2 เขาก็ซื้อมาไม่น้อยเช่นกัน ในฐานะที่เคยได้รับ 'คู่มือข้อสอบย้อนหลัง 5 ปี 3 ปีจำลองสอบ' เป็นของขวัญตรุษจีน หวังให้คนอื่นได้สัมผัสประสบการณ์อันแสนสุข(?)แบบนี้เหมือนกัน ใครจะไปคิดว่าหลินชิงอิ่นจะดูมีความสุขกับของขวัญนี้จริงๆ ด้วย

หลินชิงอิ่นจัดหนังสือที่วางกองบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ บนโต๊ะเหลือไว้แค่แบบฝึกหัดวิชาภาษาจีน เทศบาลฉีเฉิงที่หลินชิงอิ่นอาศัยอยู่เป็นหนึ่งในสี่เทศบาลที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยยากที่สุดของประเทศ นักเรียนมัธยมปลายมีความกดดันสูงมาก โรงเรียนมัธยมของรัฐบางแห่งปิดเทอมฤดูร้อนแค่หนึ่งถึงสองสัปดาห์ มีเพียงโรงเรียนมัธยมตงฟางกั๋วจี่ที่ค่อนข้างพิเศษ นักเรียนส่วนใหญ่มุ่งไปเรียนต่อต่างประเทศ ช่วงปิดเทอมเลยเลือกไปเที่ยวต่างประเทศหรือไปค่ายฤดูร้อน ถึงแม้โรงเรียนจะเปิดเรียนซ่อมเสริมก็ไม่ค่อยมีใครอยากมา ปิดเทอมให้นักเรียนไปดื่มด่ำกับวันหยุดยาวเลยจะดีกว่า

แต่โรงเรียนก็ไม่อยากให้นักเรียนเล่นมากจนเพลินไป ดังนั้นวันแรกของการกลับมารายงานตัวก็จะมีการสอบเลย แต่การสอบวันเปิดเทอมจะไม่เข้มงวดเท่ากับการสอบกลางภาคหรือสอบปลายภาค นักเรียนนั่งทำข้อสอบอยู่แค่ในห้องเรียนตัวเอง คะแนนก็ไม่ได้นำไปติดประกาศบนบอร์ดหน้าห้องอีกต่างหาก

หลินชิงอิ่นคิดว่าเธอยังพอมีเวลาเร่งได้อีกสองวัน วิชาฟิสิกส์คงเรียนไม่ทันแล้ว แต่วิชาภาษาจีนยังพอเร่งสปีดได้อยู่

--

หลังห่างหายไปทั้งช่วงปิดเทอม นักเรียนกลับมาที่โรงเรียนต่างรู้สึกตื่นเต้น มีนักเรียนหญิงสองสามคนคุยกันด้วยเสียงเจี้ยวจ้าวว่าด้วยเรื่องเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ บางคนเล่าเรื่องความประทับใจที่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงปิดเทอม บรรยากาศในห้องเรียนดูกลมกลืนและอบอุ่น

พอชูจุ้นอี้ (舒俊逸) ที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างเลิกคิ้วสูงขึ้นหนึ่งที ก็เห็นเงาร่างคุ้นตาข้างล่าง เขารีบเอาหน้าแนบกระจก พอดีเห็นเงานักเรียนคนนั้นกำลังเดินเข้ามา เขาส่งเสียงตื่นเต้นบอกเพื่อนๆ "เพื่อนๆ ที่หนึ่งการสอบเข้ามัธยมปลายของห้องเรามาแล้ว"

"ที่หนึ่งการสอบเข้า?" หลี่หมิงอวี่ (李明宇) ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับชูจุ้นอี้หัวเราะเสียงดัง "ที่หนึ่งการสอบเข้าของห้องเราได้ที่ 35 นะ งั้น ฉันที่ได้อันดับ 34 นี่เรียกว่าอะไร อันดับหนึ่งรึไง"

ทั่วห้องเรียนเกิดเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นในทันที เด็กผู้หญิงที่นั่งข้างๆ สบตากันแล้วพากันยิ้มเจ้าเล่ห์ "พ่ออันดับหนึ่ง จะให้ของขวัญต้อนรับลูกของนายหน่อยมั้ย"

หลี่หมิงอวี่หัวเราะคิกคัก ถูมือด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง "พวกเธอดูไว้นะ"

อุปกรณ์ทำความสะอาดที่ใช้เช็ดกระดานและประตูหน้าต่างในตอนเช้าถูกวางกองอยู่หลังห้องเรียน นักเรียนโรงเรียนมัธยมตงฟางกั๋วจี่ส่วนใหญ่เป็นลูกคนรวย ในช่วงวัยรุ่นที่ค่อนข้างดื้อรั้น ถ้าให้พวกเขาเช็ดกระดานและประตูหน้าต่างจนสะอาดเอี่ยมก็คงเป็นไปไม่ได้

บนถังขยะด้านหลังห้องมีถังใส่น้ำเช็ดกระดานสีดำที่นักเรียนเวรทิ้งไว้ เห็นเหมือนขี้เกียจจะเทออกไป หลี่หมิงอวี่ไม่รังเกียจความสกปรก อุ้มถังวิ่งจ้ำอ้าวมาถึงประตูหน้าห้อง เพื่อนๆ เห็นเขาจะทำอะไรก็พากันมาช่วย บ้างช่วยประคองประตู บ้างช่วยยกเก้าอี้ บ้างถ่ายรูปขำๆ เตรียมแต่งรูปเป็นภาพต่อเนื่องเพื่อโพสต์ในวีแชท

หลินชิงอิ่นที่กำลังเดินอยู่ในโถงทางเดินรู้สึกผิดปกติ หันไปมองทางห้องเรียน เธอชะงักฝีเท้าในทันใด ล้วงหยิบเหรียญก้อนหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อแล้วดีดออกไป

"รีบเข้า เธอมาแล้ว!" ชูจุ้นอี้ประคองเก้าอี้ไว้พลางฟังเสียงฝีเท้าในโถงทางเดินไปพลาง กระซิบเร่งเร้าหลี่หมิงอวี่

"รู้แล้ว ..." ก่อนที่หลี่หมิงอวี่จะพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงโลหะแหลมดังขึ้นเสียงหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกมือเบาหวิว ยังไม่ทันเข้าใจเหตุการณ์ ก็รู้สึกเหมือนมีฝนตกใส่หัว ถังน้ำเช็ดกระดานสีดำปกคลุมหัวเขาพอดิบพอดี ขณะที่ชูจุ้นอี้ที่ยืนประคองเก้าอี้อยู่ข้างๆ ก็ไม่ทันหลบ ชุดกีฬาตัวใหม่ที่พึ่งใส่โดนน้ำกระเด็นจนเปียกไปครึ่งตัว ไหล่ยังมีผ้าขี้ริ้วติดอยู่อีก

เสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวในห้องเรียนเงียบลงฉับพลัน หลังเงียบไปราวสองวินาที ทุกคนก็อดหัวเราะดังลั่นพร้อมกันไม่ไหว มีบางคนที่สนิทกับหลี่หมิงอวี่และชูจุ้นอี้กว่าคนอื่น หัวเราะจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว

หลี่หมิงอวี่ด่าทอเสียงดังพลางกระโดดลงจากเก้าอี้ เขาเช็ดน้ำบนหัวแล้วก็รู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นของผ้าขี้ริ้วที่ทำให้อยากอ้วก ตอนที่อารมณ์โกรธของเขากำลังทะลุถึงขีดสุดพอดี ประตูก็ถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง หลินชิงอิ่นสะพายกระเป๋านักเรียนเดินเข้ามา ในขณะที่เดินสวนไหล่กับหลี่หมิงอวี่ เธอก็เอ่ยขึ้นอย่างเบาๆ "โมเดลชุ่มฉ่ำดูไม่เลวนะ เสียดายที่ขาแยกง่ายไปหน่อย"

"โอ๊ย!"

หลี่หมิงอวี่โมโหอยู่แล้ว พอโดนคำพูดของหลินชิงอิ่นยั่วอีกก็ยิ่งโกรธหนัก เอื้อมมือไปหมายจะคว้าผมเธอ แต่หลินชิงอิ่นเหมือนมีตาที่หลังหัว พอดีกับจังหวะที่หลี่หมิงอวี่จะคว้าโดนตัวเธอ เธอก็เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าเร็วขึ้นหนึ่งก้าว รองเท้าของหลี่หมิงอวี่เหยียบน้ำสกปรกบนพื้นจนลื่นไถล ขายาวข้างหนึ่งยื่นตรงไปข้างหน้า ทำท่าแยกขาอย่างมาตรฐาน

หลินชิงอิ่นวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ แล้วอุทานชมเชยเสียงดังว่า "ท่าทางนายดูมาตรฐานดีนะ ก็แค่รองเท้าผ้าใบสีนี้ของนายไม่เข้ากับชะตา ระวังเลือดสาดเอาไว้ล่ะ"

ตอนนี้ หลี่หมิงอวี่ไม่มีเวลามาทะเลาะกับหลินชิงอิ่นแล้ว การที่คนไม่เคยฝึกบัลเล่ต์เลยจู่ๆ มาแยกขาแบบนี้ รู้สึกเหมือนจะฉีกขาดไปข้างหนึ่ง ความรู้สึกปวดเมื่อยนี้ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้จริงๆ

เขาใช้มือเกาะมุมโต๊ะข้างๆ คิดจะยันตัวลุกขึ้น แต่พอดีกับจังหวะที่เขาออกแรงอย่างกะทันหัน โต๊ะก็เซไปด้านข้าง แก้วน้ำบนโต๊ะลอยขึ้นมา แล้วกระแทกเข้าที่หน้าผากของเขาอย่างจัง เลือดสดๆ ไหลลงมาอาบใบหน้า

หลินชิงอิ่นเท้าแขนพิงโต๊ะ ส่ายหน้าอย่างเสียดายและพูดว่า "บอกแล้วไงให้ระวังเลือดสาด"

เสียงในห้องเงียบกริบ ชูจุ้นอี้ดึงผ้าขี้ริ้วออกจากไหล่แล้วทิ้งลงพื้น "หลินชิงอิ่น เธอทำไม้กวาดกลายเป็นผีสางรึไง!"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด