ตอนที่แล้วบทที่ 16 กรรมตามทัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 17 (ต่อ)

บทที่ 17 เข้าสู่เลเวลใหม่


เพิ่งเปิดกล้องมาได้ไม่นาน อ้วนหวังก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านนอก เห็นแต่ไกลว่ามีสองคนกำลังวิ่งหนีสุดชีวิต ไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปแหย่รังต่อหรืออะไร แมลงฝูงใหญ่ไล่ตามพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง มากจนดูเหมือนเมฆดำทะมึน

อ้วนหวังตามจับภาพสองคนนั้นตามสัญชาตญาณ จู่ๆ ก็มีสายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้า ตามด้วยเสียงฟ้าร้องสนั่นหวั่นไหว ฟ้าผ่าลงมาใส่ร่างของสองคนที่กำลังวิ่งหนีพอดี เกิดเป็นลูกไฟขนาดใหญ่เผาแมลงพิษจนมอดไหม้ราบคาบ

สายฝนกระทบพื้นดังระรัว ไหลรวมกันเป็นสายน้ำพัดพาซากแมลงพิษลงท่อระบายน้ำข้างทาง

อ้วนหวัง: "…"

เขาคาดเดาได้แล้วว่าสองคนโชคร้ายนั่นเป็นใคร ไม่คิดเลยว่ากรรมจะตามทันเร็วขนาดนี้ มันช่างตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย!

พออ้วนหวังคิดออกว่าสองคนนั้นเป็นใคร เขารีบโทรหาเจียงเว่ยให้ออกมาดูด้วยกัน บ้านเจียงเว่ยอยู่ห่างจากตรงนี้แค่สี่ห้านาที เขาวิ่งมาถึงก่อนรถพยาบาลเสียอีก เข้าไปร่วมวงกับคนดูเหตุการณ์พลุกพล่านคนอื่นๆ อย่างใกล้ชิด

เห็นจุดจบของคนทั้งสอง เจียงเว่ยรู้สึกสดชื่นผ่องใสยิ่งนัก สองปีที่ผ่านมา ครอบครัวเขาโชคร้ายจนแทบจะกินน้ำเย็นยังติดคอ ถ้าไม่ใช่มีกำลังใจที่ค่อนข้างแน่วแน่ คงจับมือกันกระโดดน้ำฆ่าตัวตายไปแล้ว

โชคดีที่ได้พบท่านอาจารย์น้อย

เจียงเว่ยใช้ศอกสะกิดอ้วนหวัง "ท่านอาจารย์น้อยล่ะ"

อ้วนหวังชี้ไปที่ร้านอาหารด้านข้าง "วันนี้เจ้าของเคสเลี้ยงข้าวกลางวันที่นั่น จริงๆ กินเสร็จนานแล้ว แต่ท่านอาจารย์น้อยทำนายว่าจะได้ดูเหตุการณ์บันเทิงตรงนี้ ก็เลยรออยู่นานแล้ว"

เจียงเว่ยกับอ้วนหวังเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว อ้วนหวังกลัวหลินชิงอิ่นมองไม่เห็นชัดเจนจึงเล่ารายละเอียดสถานการณ์ให้ฟังอย่างครบถ้วน อดอุทานด้วยความทึ่งไม่ได้ "โดนฟ้าผ่าช่างน่าสงสารจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเจ็บแค่ไหน"

หลินชิงอิ่นลูบไล้กระดองเต่าชะงักไปครู่หนึ่ง นางย้อนนึกถึงภาพฝ่าด่านฟ้าผ่าในชาติก่อน อดถอนใจไม่ได้ "ก็พอไหวนะ ตอนแรกก็เจ็บมาก โดนผ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ชินไปเอง"

เจียงเว่ย กับอ้วนหวัง: "…"

รู้สึกเหมือนท่านอาจารย์น้อยจะผ่านเรื่องราวอะไรมาไม่น้อยเลยนะ

---

พอตำรวจและหมอมาถึงที่เกิดเหตุ เห็นสภาพอันน่าสลดของคนทั้งสอง ต่างก็ตะลึงไปชั่วขณะ ทำงานมาตั้งหลายปี เพิ่งเคยเห็นคนโดนฟ้าผ่าขนาดนี้เป็นครั้งแรก ส่วนฝูงชนที่มุงดูแม้จะไม่ส่งเสียง แต่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ "นี่มันบาปกรรมขนาดไหนกันเนี่ย!"

หมอไม่มีเวลาคิดเรื่องเพ้อเจ้อ พวกเขาแบ่งเป็นสองทีมให้การช่วยเหลือและปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บทั้งสองพร้อมกัน ลูกตาของหลี่ชิงหลานเบิกกว้าง ใช้วิธีกู้ชีพตามปกติไปจนครบถ้วน ก็คลุมผ้าขาวทับร่างไป ส่วนเฉินหยู่เฉิงนั้นโชคดีรอดมาได้ พวกเขาสวมหน้ากากออกซิเจนให้ แล้วยกขึ้นรถพยาบาล

เจียงเว่ยมองรถพยาบาลที่ห่างออกไป ความรู้สึกค่อนข้างสับสน "ท่านอาจารย์ เฉินหยู่เฉิงจะตายไหมครับ"

หลินชิงอิ่นลูบไล้กระดองเต่าของตน "บางครั้งความตายกลับเป็นการปลดปล่อย สำหรับเฉินหยู่เฉิงแล้ว การเห็นสิ่งที่ตนคิดแล้วคิดอีกพยายามให้ได้มากลายเป็นเถ้าถ่าน น่าจะน่ากลัวยิ่งกว่าความตายซะอีก"

เจียงเว่ยพยักหน้าเห็นด้วย "เฉินหยู่เฉิงแบกความผิดเลี่ยงภาษีและระดมทุนผิดกฎหมาย ไม่ตายก็ต้องติดคุกอยู่ดี เห็นสภาพเขาแบบนี้ฉันรู้สึกสะใจจริงๆ"

หลินชิงอิ่นหัวเราะเบาๆ "สะใจแล้วก็อย่ามัวแต่จ้องอยู่เลย การบ้านที่ให้เมื่อวานนายทำเสร็จรึยัง"

เจียงเว่ย: "…"

ก็คงให้เวลาคนอื่นประทับใจสักสองสามนาทีไม่ได้สินะ!!!

ท่านอาจารย์น้อย เอาเข้าจริงมันเป็นการบ้านของใครกันแน่ คนที่เขียนการบ้านเองยังไม่เป็นจะมาพูดเอาเรื่องขนาดนี้ดีแล้วเหรอ?!!

---

ฝนพรำๆ อยู่ราวครึ่งชั่วโมงก็หยุดตก หลินชิงอิ่นมองออกนอกหน้าต่างเห็นเมืองที่ถูกน้ำฝนชำระล้างจนใหม่เอี่ยม ส่งบัตรธนาคารที่จางอู๋ให้ไว้ให้อ้วนหวัง

อ้วนหวังตื่นเต้นจนมือเปียกเหงื่อ รีบเช็ดมือที่เสื้อก่อนจะรับมาด้วยความระมัดระวัง "ท่านอาจารย์ ให้ผมหมดเลยเหรอครับ มันคงไม่ค่อยเหมาะสมนะ"

"นายพูดถูกมาก ฉันก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะเหมือนกัน" หลินชิงอิ่นชำเลืองมองเขา "ฉันไม่รู้ว่าจะถอนเงินออกมายังไง ก็ขอความกรุณาให้นายช่วยหน่อยแล้วกัน อีกอย่างช่วยซื้ออุปกรณ์แกะสลักหยกชุดหนึ่งให้ฉันด้วย..." เห็นตาของอ้วนหวังเป็นประกายวาววับ หลินชิงอิ่นก็หัวเราะไม่สบอารมณ์ "ฉันจะแกะสลักลายเวทบนหยกให้นายพกติดตัว จะได้ปลอดภัย"

เจียงเว่ยได้ยินเข้าก็รีบเข้ามาถามทันที "ท่านอาจารย์น้อย ผมขอซื้อสักก้อนได้ไหมครับ"

หลินชิงอิ่นส่ายหน้า "โชคลาภของนายมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว ให้นายใส่มันก็เสียเปล่า"

"ผมไม่ได้เอาให้ตัวเองใช้" เจียงเว่ยยิ้มแห้งๆ "ช่วงสองปีนี้ตาและยายผมต้องคอยกังวลเรื่องในบ้าน แก่ชราลงเยอะมาก ผมอยากใช้เงินซื้อให้ท่านทั้งสองคนละชิ้น เพื่อให้ท่านมีชีวิตที่สงบสุขและมีสุขภาพดี"

หลินชิงอิ่นเปิดกล่องหยกดิบ เลือกก้อนหยกออกมาให้เจียงเว่ยดู "เอางี้ นายไปซื้อหยกดิบลักษณะนี้ให้ฉันสักก้อนนะ ต้องเป็นพวกใสๆ หน่อย แบบนี้แกะออกมาจะได้ผลดี"

เจียงเว่ยพยักหน้ารัวๆ รับปากทันที จากนั้นก็กลับบ้านไปทำการบ้านให้ท่านอาจารย์น้อยอย่างสุขใจ

---

ในเมืองหลังฝนตก พลังชี่กลับเข้มข้นยิ่งกว่าก่อนเสียอีก หลินชิงอิ่นเดินทางกลับบ้านอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้อากาศที่อิ่มเอมไปด้วยพลังชี่ชโลมผิวกายทุกตารางนิ้ว

ฝนเมื่อครู่นี้ตกลงมาเร็วและหนัก แม้จะตกอยู่แค่ครึ่งชั่วโมง แต่ก็ทิ้งแอ่งน้ำเล็กๆ ไว้มากมาย หลินชิงอิ่นกระโดดข้ามแอ่งน้ำพวกนั้นไปทีละอัน บางครั้งก็จงใจเหยียบสองสามที ความรู้สึกแปลกใหม่เช่นนี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยได้สัมผัสเลยในชาติก่อน มันไม่เพียงแต่สนุกสนาน แต่ยังทำให้กายใจผ่อนคลายลงได้อย่างเต็มที่ เพลิดเพลินกับความสุขที่ธรรมชาติมอบให้อย่างเต็มอิ่ม

เมื่อย้อนคิดถึงชาติที่แล้ว โลกของนางนอกจากคัมภีร์โหราศาสตร์และการบำเพ็ญเพียรแล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย ไม่สนใจฤดูหนาวร้อน ไม่แยแสโลกียวิสัย ไม่เข้าใจเรื่องห้าความรู้สึกหกกิเลสของมนุษย์ บางทีก็เพราะสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้นางฝ่าด่านไม่ผ่านในท้ายที่สุด

นางค้นพบความจริงข้อนี้ในระหว่างที่ถูกสายฟ้าชำระกาย นางพบว่าหัวใจแห่งเต๋าของนางนั้นไม่สมบูรณ์เลย

ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าตัวเองขาดอะไรไป ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ในชาติที่แล้ว นางดำรงชีวิตอย่างไม่เหมือนคนเกินไป

ในเมื่อมีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หลินชิงอิ่นจึงตัดสินใจที่จะทำตามความปรารถนาในใจ ไม่จำกัดตัวเองจนเกินไป โลกนี้แม้จะขาดแคลนพลังชี่ การบำเพ็ญเพียรอาจจะยากลำบากกว่าชาติก่อนมากก็ตาม แต่หลินชิงอิ่นรู้สึกว่านางได้เพลิดเพลินไปกับความสุขมากมายที่ไม่เคยมีในชาติที่แล้ว

นางจะสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของคนธรรมดาอย่างเต็มที่ ทั้งดีใจ โกรธ เศร้า และเสียใจ ลิ้มลองความสุขจากอาหารอร่อยๆ และกล้าที่จะเผชิญกับความเศร้าที่การบ้านนำมาให้

อาา ทำไมร่างเดิมถึงได้อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยนักนะ นางอยากไปเรียนที่ซินตงฟางเท่านั้นเอง!!

หลินชิงอิ่นถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดอะไรก็คงไม่ได้แล้ว รีบกลับบ้านไปทำการบ้านดีกว่า

---

กลับถึงบ้าน เห็นโต๊ะที่มีหนังสือเรียนวางซ้อนกันหนาเตอะ หลินชิงอิ่นเกาศีรษะด้วยความกังวล

ก่อนหน้านี้เจียงเว่ยใช้เวลาราวสามสี่วันช่วยทบทวนคณิตศาสตร์เกรดสิบให้นางจนครบ พอหลินชิงอิ่นเรียนรู้เสร็จก็เขียนการบ้านคณิตศาสตร์ได้หมดแล้ว นอกจากนั้น การบ้านฟิสิกส์และเคมีนางก็มอบหมายให้เจียงเว่ยไปทำ นางไม่ต้องเป็นห่วงชั่วคราว

หลินชิงอิ่นมองการบ้านภาษาจีน แล้วก็เบิกตากว้างมองประโยคภาษาอังกฤษเหมือนตัวอักษรวิ่งไปมา ตัดสินใจว่ายังไงก็ทบทวนประวัติศาสตร์ก่อนดีกว่า อย่างน้อยวิชานี้ก็ไม่ต้องให้เจียงเว่ยช่วยสอน นางสามารถทำเองได้

พรสวรรค์ของหลินชิงอิ่นในชาตินี้กับชาติก่อนนั้นเหมือนกันทุกประการ ในชาติก่อนนางถือเป็นนักเรียนดีเด่นของยุทธภพได้เลย ความจำที่แข็งแกร่งเป็นเพียงพื้นฐานที่สุด สิ่งที่ยากคือสมาธิจดจ่ออย่างไม่มีสิ่งรบกวนและความอดทนไม่ยอมแพ้ การคำนวณทำนายในหมู่เซียนไม่ง่ายเหมือนการดูดวงบอกเรื่องดีร้ายแบบปัจจุบัน ผู้ที่มาขอให้นางช่วยล้วนเกี่ยวพันกับความลับสวรรค์ทั้งสิ้น หลินชิงอิ่นเคยคำนวณทำนายเรื่องราวในอีกหลายสิบหลายร้อยปีข้างหน้า ในแง่ของสมาธิและความอดทน ไม่มีใครเทียบนางได้

หยิบหนังสือประวัติศาสตร์ออกมา หลินชิงอิ่นนั่งขัดสมาธิอ่านบนเตียง การอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ให้จบนั้น เมื่อเทียบกับวิชาอื่นที่ต้องใช้สมองอย่างฟิสิกส์เคมี ถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว

ด้านล่าง แม่ของหลินชิงอิ่นถูกป้าหวังที่นั่งเล่นใต้ร่มไม้ดึงแขน ลากไปในที่ไม่มีผู้คนอย่างลึกลับ แล้วกระซิบกระซาบที่ข้างหู "แม่ของชิงอิ่น วันนี้ชิงอิ่นออกไปข้างนอกอีกแล้ว"

แม่ของหลินชิงอิ่นยิ้มแหย "อาจจะไปห้องสมุดมั้ง นอกจากห้องสมุดกับร้านหนังสือ ลูกไม่ค่อยไปที่อื่นนี่นา"

"ไม่ใช่นะ มีรถมารับไปน่ะ" ป้าหวังทำท่าประกอบ "รถคันนั้นใหญ่มาก ดูแล้วก็ไม่ถูกเลย"

รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่หลินชิงอิ่นแทบจะหุบไม่ลง แม้ในใจจะร้อนรนไม่น้อย แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นมาจับผิดลูกสาว เธอเค้นสมองหาข้ออ้างแทนอีกฝ่าย "อาจจะเป็นเพื่อนชวนไปเที่ยว เด็กโตขนาดนี้แล้ว มันก็เรื่องปกติน่ะ"

"ไม่ใช่เพื่อนหรอก" ป้าหวังทำหน้าลำบากใจไม่น้อย "ลงมาจากรถสามคนด้วยกัน คนหนึ่งคือเด็กอ้วนที่ช่วงนี้ไปบ้านเธอบ่อยๆ อีกคนเป็นคนแก่ กับอีกคนเป็นผู้ชายวัยสี่ห้าสิบ ฉันอยู่ไกลไม่ได้ยินชัดว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่พอสามคนนั้นจอดรถเสร็จก็ลงมายืนรอ แถมดูเหมือนจะเปิดประตูรถให้ลูกสาวเธอด้วย"

แม่ของหลินชิงอิ่นฟังแล้วหัวใจเต้นตึกตัก ต่อให้นางคิดจนสมองแตกก็นึกไม่ออกว่าคนพวกนี้ที่มารับหลินชิงอิ่นออกไปข้างนอกคือใคร ญาติฝ่ายพ่อของหลินชิงอิ่นหลายปีแล้วที่ไม่ติดต่อพวกเธอ ส่วนญาติฝ่ายแม่นั้นก็ใจดีกับหลินชิงอิ่นทุกคน แต่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยนัก ไม่มีใครมีรถหรูหราได้ขนาดนั้น

เห็นสีหน้าช่างสงสัยของป้าหวัง แม่หลินชิงอิ่นฝืนยิ้ม "อาจจะเป็นครูในโรงเรียนก็ได้ นี่ก็ใกล้เปิดเทอมแล้ว บางทีอาจจะมารับไปเรียนพิเศษที่โรงเรียน"

ป้าหวังฟังคำอธิบายนี้แล้วไม่ค่อยเชื่อ มองแม่หลินชิงอิ่นอย่างคลางแคลง "โรงเรียนลูกสาวเธอส่งรถมารับนักเรียนด้วยเหรอ ฉันว่าสามคนนั้นดูเหมือนจะให้ความเคารพลูกสาวเธอมากเลยนะ"

แม่หลินชิงอิ่นกล่าวอย่างจริงจัง "ตอนสอบเข้ามัธยมปลาย ชิงอิ่นได้ที่ 1 ของเมืองนะ ได้ทุนเรียนด้วย คุณครูจะให้ความสำคัญมากหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ"

ป้าหวังเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปีที่แล้วหลินชิงอิ่นได้เป็นที่หนึ่งของการสอบเข้ามัธยมปลายของเมือง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกไร้รสชาติขึ้นมา แค่ไปเรียนหนังสือเอง ทำเอาเธอตื่นเต้นทั้งวันเลย

แม่หลินชิงอิ่นเห็นป้าหวังเดินจากไปโดยไม่สนใจ ถอนหายใจอย่างอ่อนล้า ในใจนึกดีใจอีกครั้งที่ปิดเรื่องหลินชิงอิ่นกระโดดสะพานฆ่าตัวตายได้แน่น ไม่งั้นพวกป้าๆ คงจะนินทาลูกสาวเธอลับหลังไม่รู้เรื่องแน่

แต่พอนึกถึงเรื่องที่ป้าหวังเพิ่งเล่าว่าหลินชิงอิ่นถูกรถมารับไปแต่เช้า ก็ยังทำใจหนักอึ้งอยู่ดี เธอรู้ฐานะครอบครัวตัวเองดี ที่บ้านยากจนมากจริงๆ เธอกลัวว่าหลินชิงอิ่นจะถูกคนหลอกล่อจริงๆ

เด็กสาวสมัยนี้ต้องเลี้ยงดูด้วยเงินทอง ทั้งกิน ใช้ ใส่ ต้องดีๆ ทั้งนั้น ยังต้องพาไปเที่ยวบ่อยๆ เปิดหูเปิดตา กันไม่ให้ถูกผู้ชายหลอกด้วยคำพูดหวานๆ แต่ครอบครัวเธอนี่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เพื่อจะใช้หนี้ พอจะอิ่มท้องในแต่ละวันก็แทบจะหมดแรงแล้ว แม้แต่เวลาอยู่กับลูกสาว เธอกับสามีก็ยังต้องทำงานหาเงินพิเศษ ไม่งั้นคงไม่มีทางรู้เลยว่าหลินชิงอิ่นถูกคนรังแกมาตลอดปีการศึกษา จนกระทั่งฆ่าตัวตายเอง

กลับถึงบ้านด้วยความกังวล แม่หลินชิงอิ่นเห็นรองเท้าแตะของลูกสาวตรงประตูแล้วก็โล่งอก เธอย่องเข้าไปที่ประตูห้องของลูกสาว แอบมองเข้าไป เห็นหลินชิงอิ่นนั่งขัดสมาธี วางหนังสือไว้บนหัวเข่า อ่านอย่างเพลิดเพลิน

แม่หลินชิงอิ่นลังเลใจอยู่นาน ก็ตัดสินใจว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก่อน อย่างไรก็ตามเรื่องที่ผ่านมาสองครั้ง ล้วนได้ยินมาจากป้าหวัง ถ้าจะไปถามลูกสาวตรงๆ แบบนี้ก็ดูไม่ให้เกียรติลูกเกินไป เธอจะค่อยๆ หาความจริงให้กระจ่างก่อนดีกว่า

แม้ในใจจะตัดสินใจแล้ว แต่ตอนแม่หลินชิงอิ่นทำอาหาร ก็ยังเหม่อลอยไปบ้าง จนกระทั่งตอนหลินชิงอิ่นอ่านหนังสือประวัติศาสตร์จบ เดินออกมาจากห้อง ก็เห็นแต่ควันโขมงตรงครัว กับหม้อไหม้เกรียม

แม่หลินชิงอิ่นที่กำลังพยายามทำลายหลักฐานเก่าๆ อย่างเก้อเขิน "เอางี้ เย็นนี้กินบะหมี่กันไหม"

ตอนนี้หลินชิงอิ่นดีใจเป็นอย่างยิ่ง โชคดีที่ตอนเที่ยงกินไปเยอะ ตอนนี้เลยไม่รู้สึกหิวเลย ไม่งั้นคงต้องไปเผชิญหน้ากับบะหมี่ต้มน้ำเปล่าที่เค็มจนแทบขื่นอีกแล้ว

หยิบไอศกรีมแท่งออกมาจากตู้เย็นแกะห่อ หลินชิงอิ่นพูดอย่างจริงจัง "เย็นนี้หนูกินแค่นี้พอแล้ว หนูจะลดน้ำหนัก"

แม่หลินชิงอิ่น: "..."

หนูนี่กำลังแซวแม่ที่ไม่เคยลดน้ำหนักใช่มั้ยเนี่ย

---

จัดการครัวจนเสร็จ แม่หลินชิงอิ่นล้างมือให้สะอาด เปลี่ยนหม้อใบใหม่ พอน้ำเดือด ก็หย่อนบะหมี่ลงไป จากนั้นตักเกลือลงไปสองช้อน

หลินชิงอิ่นถึงจะไม่เคยทำอาหารมาก่อน แต่เห็นท่าทางการทำอาหารที่คล่องแคล่วของแม่แล้ว นางก็รู้ได้ทันทีว่า บะหมี่นี่แหละ ต้องเค็มจนขื่นอีกแน่ๆ

เดินออกมาจากครัวอันอบอ้าว แม่หลินชิงอิ่นรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาก "แม่ว่าช่วงนี้บ้านเราเย็นสบายดีนะ ทุกปีช่วงนี้ตอนกลางคืนร้อนอบอ้าวนอนไม่หลับ แต่ไม่กี่วันนี้แม่ไม่ต้องเปิดพัดลมด้วยซ้ำ นอนหลับยาวไปจนเช้า ไปทำงานก็ไม่เหนื่อยแล้ว"

หลินชิงอิ่นกัดไอศกรีม ทดลองถามขึ้นมา "แม่คะ แม่เคยคิดจะลาออกไหม"

"แม่ลาออกแล้วจะไปทำอะไรล่ะ" แม่หลินชิงอิ่นพูดด้วยความหมดหวังเล็กน้อย "คนอายุสี่สิบกว่าๆ อย่างแม่นี่ ไม่มีวุฒิการศึกษา ไม่มีความรู้ความสามารถอะไร ก็ได้แค่เป็นแรงงานธรรมดาในโรงงาน หรือไม่ก็ไปเป็นแม่บ้านทำความสะอาดตามร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ตอะไรพวกนั้น อย่างพ่อเธอยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทำงานประจำไปวันๆ ยังพอมีรายได้บ้าง แต่ถ้าลาออกไปทำธุรกิจอะไรเอง เห็นทีจะทำให้ครอบครัวเราล้มละลายกันพอดี"

หลินชิงอิ่นเห็นด้วยกับทัศนะของแม่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้นางก็ดูดวงให้พ่อกับแม่มาแล้ว สองคนนี้ล้วนเป็นพวกซื่อสัตย์ขยันขันแข็ง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโชคลาภ แถมยังมีลักษณะไหล่ลาด คอเรียวเล็กน้อยอีกด้วย แม้จะไม่ถึงขั้นตกอับเป็นขอทานข้างถนน แต่ก็ถือว่าเกิดมาจนแท้ๆ

แต่ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกใบนี้ การดูดวงนอกจากจะคำนวณได้ว่าในอนาคตอันใกล้จะมีเคราะห์หรือโชคดีแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญกว่านั้นก็คือการแปรเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี ฟ้าดินมักจะเหลือโอกาสให้สรรพชีวิตในโลกอยู่เสมอ หลินชิงอิ่นคิดว่าจุดเปลี่ยนชีวิตของพ่อแม่นั้นปรากฏตัวอยู่ที่ตัวนางนี่เอง

"สองสามวันนี้หนูหาเงินมาได้นิดหน่อย" หลินชิงอิ่นกัดไอศกรีมแล้วพูด "แม่เคยคิดจะไปเรียนทำอาหารที่ซินตงฟางไหม หนูจะออกค่าเรียนให้เอง!"

"ปุ๊ดดดด..." หม้อต้มบะหมี่ในครัวเดือดล้นออกมาเป็นไอน้ำจำนวนมากทันใด เสียงเตาแก๊สดับลงกลบเสียงพูดของหลินชิงอิ่น แม่หลินชิงอิ่นเห็นสถานการณ์แบบนั้นก็ไม่มีเวลาฟังว่าหลินชิงอิ่นพูดอะไร หมุนตัวเข้าไปในครัวทันที

ได้ยินเสียงเคาะกระทะดังโครมคราม หลินชิงอิ่นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงชะตาของแม่กับครัวนั้นไม่ค่อยเหมาะสมกันเลยจริงๆ ดูท่าแล้วตราบใดที่ยังอยู่บ้านนี้ นางคงได้กินแต่อาหารที่ทำไม่เหมือนที่ควรจะเป็นแน่ๆ

จัดการกับความพินาศในครัวจนเสร็จ แม่หลินชิงอิ่นเดินออกมาถาม "เมื่อกี๊หนูบอกอะไรนะ"

หลินชิงอิ่นทำสีหน้านิ่งเฉย ใส่ไอศกรีมลงปากไป "หนูบอกว่าอยากไปทำการบ้าน!"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด