ตอนที่แล้วบทที่ 10 เฉินหยวนรับลูกศิษย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 12 วิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงสุด

บทที่ 11 แร่ที่ถูกปล้น


เมื่อทุกคนในเมืองซิงเยว่เห็นว่าเฉินหยวนยอมรับหยางจงเป็นศิษย์ ผู้คนก็ต่างรวมตัวกล่าวแสดงความยินดีกับเฉินหยวน หยางหมิง และหยางไห่

พอมองมายังสนามประลองที่มีผู้คนหนาแน่นกำลังแห่เข้าร่วมแสดงความยินดี กลับมีเพียงสองคนที่เดินออกมา คือหยางเสี่ยวเทียนและพ่อของเขา

พวกเขาสองคนเดินลงจากมาโดยที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเลยสักนิด

ครึ่งวันต่อมา การประชุมหารือประจำปีก็สิ้นสุดลง

ภายในหอพัก หยางจงยกมือขึ้นสัมผัสดวงตาของตนที่ยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ยิ่งได้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันมันยิ่งทำให้เขาเจ็บแค้น “หยางเสี่ยวเทียน ข้ากลับจากสำนักเสินเจี้ยนเมื่อใด ข้าจะให้เจ้าได้ชดใช้กับสิ่งที่ทำวันนี้!”

“ข้าจะทรมานจนเจ้ารู้สึกว่าตายยังดีกว่าอยู่!”

พรุ่งนี้ เฉินหยวนกับเขาจะเริ่มออกเดินทางไปที่สำนักเสินเจี้ยนเพื่อเข้าฝึกฝน ด้วยการสั่งสอนจากเฉินหยวนไม่ช้าเขาก็จะสามารถทะลวงเข้าขั้นนักยุทธ์ระดับสอง ระดับสาม หรือแม้แต่ระดับสี่ก็ย่อมได้

เมื่อใดที่เขากลับมายังหมู่บ้านหยางในอีกครึ่งปีให้หลัง เขาจะตามหาหยางเสี่ยวเทียนแล้วคิดบัญชีแค้น

วันต่อมา

หิมะที่ตกทั้งคืนก็หยุดลง

ผู้คนในหมู่บ้านหยางต่างมารอส่งเขาด้วยรอยยิ้มปิติยินดีบนใบหน้า ก่อนเฉินหยวนพาหยางจงออกเดินทางจากหมู่บ้านหยางมุ่งหน้าไปที่สำนัก

ก่อนออกเดินทาง หยางจงยังไม่ลืมหันมองหยางเสี่ยวเทียนเพื่อกล่าวบางอย่าง “หลังข้ากลับมา ข้าจะประลองกับเจ้าอีกครั้ง”

หยางเสี่ยวเทียนมองหยางจงที่ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังก่อนกล่าวตอบ “เช่นนั้นข้าจะรอ หากเจ้าแพ้อีกครั้ง อย่าร้องไห้งอแงแล้วกัน”

เฉินหยวนที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นก็เอาแต่ส่ายหัวก่อนเผยยิ้มด้วยความเวทนา เพราะเห็นว่ามันเป็นเพียงความคิดของเด็กที่ไร้พรสวรรค์อย่างหยางเสี่ยวเทียนเท่านั้น

ด้วยการสั่งสอนของเขาและสำนักเสินเจี้ยน ภายในครึ่งปี หยางจงจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสี่ได้อย่างแน่นอน ส่วนหยางเสี่ยวเทียนผู้มีเพียงวิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสอง จะเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์เขาได้อย่างไร

หลังผ่านไปครึ่งปี หยางเสี่ยวเทียนจะไม่สามารถรับมือกับการเคลื่อนไหวของศิษย์เขาได้ทันแน่นอน

เมื่อหยางจงและเฉินหยวน ลับหายไปจากสายตาของทุกคนในตระกูลหยาง

การดำเนินชีวิตของหยางเสี่ยวเทียนก็กลับมาสงบอีกครั้งเหมือนเมื่อก่อน เขาหมั่นฝึกฝนอย่างหนักโดยไม่ออกไปไหน

เอาแต่นั่งขัดสมาธิบนเตียงภายในหอนอนพร้อมกับใช้ปราณปัญญาสัมฤทธิ์เป็นตัวขับเคลื่อนลมปราณภายใน ไม่ช้าวิญญาณยุทธ์เสวียนอู่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

หลังการบ่มเพาะวิญญาณยุทธ์เสวียนอู่กับอสรพิษนิลกาฬมาหลายวัน มันก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง รูปลักษณ์รของอสรพิษนิลกาฬมีความมันวาวและเกล็ดบางส่วนเพิ่มใหญ่ขึ้น ในขณะที่เสวียนอู่ก็มีลวดลายจางๆ คล้ายอักษรโบราณปรากฏขึ้นยังกระดองอันแข็งแกร่งราวกับหินผา

ลวดลายที่ดูคล้ายอักษรนี้ดูลึกลับมาก…

วิญญาณยุทธ์ทั้งสองยังคงดูดซับพลังวิญญาณของสวรรค์และโลกพร้อมกับนำไปขัดเกลาเป็นพลังยุทธ์ภายในกายของเขาอย่างไม่ขาดสาย

บูม!

เสียงของการถือกำเนินใหม่ ดังแผ่วเบาขึ้นในกายเขาอีกครั้ง

ขั้นปลายของนักยุทธ์ระดับสี่ ที่สุดก็สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับห้าได้สำเร็จ

ทันทีที่เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับห้า เนื้อสัมผัสของอักษรบนกระดองเสวียนอู่ก็ปรากฏเพิ่มขึ้น ทำให้เห็นได้ชัดเจนไม่จางเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

ส่วนเจ้าอสรพิษนิลกาฬก็ขนาดตัวใหญ่ขึ้นพร้อมเกล็ดบนตัวที่มีความมันเงาและเข้มกว่าเมื่อก่อน

พอรุ่งสาง ก็ได้เวลาที่เขาต้องหยุดพักการบ่มเพาะวิญญาณยุทธ์ แล้วหันมาฝึกฝนไทเก๊กที่ลานฝึกต่อ

ไทเก๊กเป็นวิธีการบ่มเพาะพลังภายในได้ลึกซึ้งยิ่ง ซึ่งช่วยเสริมได้ทั้งวิญญาณยุทธ์และพลังยุทธ์พร้อมกันในคราเดียว เป็นสิ่งที่เขาหมั่นทำทุกวันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

วันเวลาล่วงเลยไป วันส่งท้ายปีเก่าก็ใกล้เข้ามา หิมะเริ่มตกหนักมากขึ้นอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนปีนี้จะตกหนักกว่าปีก่อนๆ

หยางเสี่ยวเทียน เหม่อมองไปยังหิมะที่กำลังร่วงตกลงมาอย่างหนัก ก่อนจะขมวดคิ้วนึกถึงข่าวลือในช่วงนี้

ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือแพร่สะพัดไปในหมู่บ้านหยาง กล่าวถึงเหตุผลที่เขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับหนึ่งได้เร็วเช่นนี้ เป็นเพราะพ่อเขาใช้เงินของตระกูลจำนวนมหาศาลซื้อโอสถวิญญาณให้เขาใช้ฝึก

เพราะโอสถวิญญาณดีกว่าโอสถสร้างฐานวิญญาณ ราคาถึงได้แพงมาก

ด้วยข่าวลือเหล่านี้ มันยิ่งทำให้ท่านปู่มองครอบครัวเขาแย่ลงเรื่อยๆ

ถึงความจริง ท่านพ่อกับท่านแม่จะเคยอธิบายเรื่องนี้อยู่หลายครั้งแล้ว แต่ท่านปู่ก็ไม่เปิดใจเชื่อเลยสักครั้ง

ข่าวลือเหล่านี้น่าจะถูกปล่อยโดยท่านลุงหยางไห่เป็นแน่

เมื่อนึกถึงว่าทุกวันนี้ ท่านพ่อกับท่านแม่ของตนต้องเป็นทุกข์ขนาดไหน หยางเสี่ยวเทียนก็กำหมัดแน่น

ระหว่างที่เขากำลังคิดอยู่นั้น หยางหลิงเอ๋อร์ก็กระโดดเข้ามาทำลายความนึกเจ็บแค้นนั้นลงทันที

“พี่ใหญ่ ท่านพ่อท่านแม่ให้ข้ามาตามท่านไปพบ”

“พวกท่านให้เจ้ามาตามข้าด้วยเหตุอันใด” หยางเสี่ยวเทียนถามกลับด้วยรอยยิ้มเอ็ดดูเมื่อเห็นท่าทางที่มีความสุขของหยางหลิงเอ๋อร์

“อีกไม่กี่วันก็จะถึงปีใหม่แล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่จะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเรา เลยให้ข้ามาตามท่านไปลองสวม” เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มร่าก่อนมีบางอย่างมากระซิบเสริม “ข้าจะบอกความลับให้ฟัง มีอาหารอร่อยมากมายทั้งขนมอบจากหมู่บ้านเต้าหัว ถั่วจากหัวกั่วซาน และขนมหวานอีกมากมายเลย”

ไม่ว่าจะเป็นขนมอบจากหมู่บ้านเต้าหัวหรือถั่วจากหัวกั่วซาน นั่นล้วนเป็นของโปรดที่สองพี่น้องชอบกิน

เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยทำท่าจะน้ำลายไหลขณะพูดถึง หยางเสี่ยวเทียนก็เผยหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ก่อนจะจูงมือน้องสาวออกไป

พอสองพี่น้องมาถึงโถงด้านหน้าด้วยท่าทีพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

หวงอิ๋งก็เผยยิ้มแย้มทันทีที่สองพี่น้องเดินเข้ามา นางโบกมือเรียกหยางเสี่ยวเทียนก่อนกล่าวพร้อมกับสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

“เสี่ยวเทียนมานี่สิ แม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาให้เจ้า ลองสวมดูก่อนว่าพอดีหรือไม่”

หยางเสี่ยวเทียนเดินเข้าหาผู้เป็นแม่อย่างเชื่อฟัง ก่อนจะสวมชุดปีใหม่ที่นางซื้อให้

เสื้อผ้าชุดใหม่นี้ เป็นเสื้อคลุมสำหรับฤดูหนาวที่ใช้ผ้าฝ้ายบุชั้นใน ให้สัมผัสที่เรียบเนียนและอบอุ่นสบายเวลาสวมใส่

สิ่งนี้ทำให้หยางเสี่ยวเทียนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในโลกก่อนหน้า ที่แม่จะคอยซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เขาในวันปีใหม่ทุกปี

หวงอิ๋งมองหยางเสี่ยวเทียนด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย นางทั้งรู้สึกทุกข์และสุขใจในเวลาเดียวกัน เพราะรับรู้มาตลอดว่าช่วงนี้ลูกชายหมั่นฝึกฝนอย่างหนักมาหลายวัน

ในฐานะพ่อแม่ นางหวังเป็นอย่างมากว่าสักวันลูกชายของนางจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคต

ทว่าเมื่อนึกถึงวิญญาณยุทธ์ของลูกชายตน นางก็แอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ ด้วยความสงสารสุดหัวใจ

เพราะในโลกแห่งวิญญาจารย์ ไม่เคยมีวิญญาณยุทธ์ระดับสองของผู้ใดสามารถฝึกฝนจนทัดเทียมกับผู้ที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิดได้

“ท่านแม่ ท่านพ่ออยู่ที่ใด” หยางเสี่ยวเทียนถาม

“ท่านปู่เจ้าเรียกพบ” หวงอิ๋งเผยแย้มริมฝีปากบางก่อนจะกล่าวเสริมอีก “เขาขอให้พ่อของเจ้าทำอะไรบางอย่าง”

เขาจะให้ท่านพ่อไปทำอะไรงั้นหรือ

หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกสงสัย

นับตั้งแต่ที่เขาปลุกวิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสอง ท่านปู่ก็รังเกียจพ่อของเขาโดยไม่ยอมให้ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใดในหมู่บ้านหยางอีก ตอนนี้พ่อเขาสามารถกลับไปทำสิ่งต่างๆ นั้นได้แล้วงั้นหรือ

ดูน่าสงสัยนัก…

สิ้นความสงสัยได้ไม่นาน หยางเสี่ยวเทียนก็เห็นผู้เป็นพ่อกลับเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เป็นไปอย่างที่เขาคาดไว้

“ท่านพี่ ทำไมท่านพ่อถึงให้ท่านกลับมาเร็วนักล่ะ” หวงอิ๋งสังเกตเห็นว่าท่าทางของหยางเฉาผิดปกติไป นางจึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้

“ไม่กี่วันก่อน แร่ที่พี่ใหญ่จะนำไปส่งยังหมู่บ้านเทียนเจี้ยน ถูกคนของหมู่บ้านเฮยเฟิงปล้นไประหว่างทาง” หยางเฉาเล่าด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ ขอให้ข้าไปที่หมู่บ้านเฮยเฟิงเพื่อนำมันกลับมา”

“อะไรนะ” เมื่อหวงอิ๋งได้ยินเช่นนั้น นางก็กล่าวออกมาด้วยความโกรธทันที “พี่ใหญ่ท่านเป็นผู้ถูกปล้นแร่ไป เหตุใดท่านพ่อไม่ให้พี่ชายท่านนำมันกลับมา กลับมาขอให้ท่านไปที่หมู่บ้านเฮยเฟิงซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าโจรปล้นฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยม นั่นไม่เท่ากับว่าขอให้ท่านไปตายหรอกหรือ”

ได้ยินเช่นนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ยิ่งรู้สึกเกลียดแค้นคนพวกนั้นยิ่งขึ้นไปอีก

“แล้วท่านเห็นด้วยงั้นหรือ” หวงอิ๋งถามหยางเฉาอย่างสีหน้ากังวลใจเป็นที่สุด

หยางเฉานิ่งเงียบ

แม้หวงอิ๋งจะยังไม่ได้ยินคำตอบ แต่ด้วยท่าท่างของผู้เป็นสามีก็ทำให้นางถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หากมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน ข้า เสี่ยวเทียนและหลิงเอ๋อร์จะเป็นอย่างไร จะไม่ใช่หญิงแม่ม่ายกับเด็กกำพร้าหรือ”

“ข้าจะไปหาท่านพ่อเพื่อคุยให้รู้เรื่อง!”

เมื่อหยางเฉาเห็นหวงอิ๋งกำลังจะรุดตัวออกไป เขาก็ร้องขึ้นปรามทันที “ช้าก่อน!” แล้วกล่าวต่อ

“ท่านพ่อบอกให้ข้านำทองคำหมื่นชั่งไปแลกกับแร่ที่หมู่บ้านเฮยเฟิง เพราะแร่เหล่านั้นอยู่ในมือของคนหมู่บ้านเฮยเฟิงก็ไร้ค่า ซึ่งคนที่หมู่บ้านนั้นก็น่าจะเห็นด้วย”

“นอกจากนี้ ท่านพ่อยังบอกอีกว่า หากข้านำแร่เหล่านี้กลับมาและส่งมอบให้กับหมู่บ้านเทียนเจี้ยนได้ทันตามกำหนด เขาสัญญาจะให้ข้ากับพี่ใหญ่ดูแลกิจการเหมืองแร่ด้วยกัน”

ดวงตาหวงอิ๋งยังคงแดงก่ำแล้วคลอไปด้วยน้ำตา นางเอ่ยถาม “แล้วท่านได้คิดมั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากหมู่บ้านเฮยเฟิงไม่เห็นด้วย ข้าได้ยินมาว่าผู้นำของหมู่บ้านเฮยเฟิงนั้นทั้งโลภทั้งโหดเหี้ยม หากพวกเขารู้ว่าท่านมีทองคำหมื่นชั่ง พวกเขาอาจจะปล้นฆ่าท่านพร้อมกับคนที่เดินทางไปกับท่านด้วยก็ได้”

หยางเฉาไตร่ตรองอยู่คู่หนึ่งก่อนกล่าวให้เหตุผล “ผู้นำของหมู่บ้านเฮยเฟิงอยู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสี่เช่นเดียวกับข้า เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป เขาทำอะไรข้าไม้ได้หรอก หากข้าเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีพวกเราจะยืนหยัดสู้กับเขาจนทุกอย่างจะเรียบร้อย”

แต่ มันจะง่ายขนาดนั้นจริงหรือ…

เพราะหมู่บ้านเฮยเฟิงมีขั้นเซียนสวรรค์มากกว่าหนึ่งคน ขนาดผู้นำหมู่บ้านเองยังแข็งแกร่งถึงขั้นเซียนสวรรค์ระดับสี่ และคนในหมู่บ้านยังมีขั้นเซียนสวรรค์สมบูรณ์แต่กำเนิดอีกสิบสี่คน นี่ยังไม่รวมคนทั้งหมู่บ้านกว่าห้าร้อยคนที่นั้นอีก

ในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวมของคนจากหมู่บ้านหยาง อย่างไรก็ด้อยกว่าหมู่บ้านเฮยเฟิงอย่างเห็นได้ชัด

มิหนำซ้ำ หยางเฉายังสามารถนำผู้ติดตามไปได้เพียงยี่สิบคนเท่านั้น หากการเจรจาล้มเหลวก็ยากที่จะหลบหนีออกจากหมู่บ้านเฮยเฟิงได้อย่างปลอดภัย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด