ตอนที่แล้วบทที่ 17 โศกนาฏกรรมของตระกูลหลิว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19 ต่อสู้กับปีศาจเพียงลำพัง

บทที่ 18 มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านวัดหลิวลี้


บทที่ 18 มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านวัดหลิวลี้

การตายของพ่อลูกตระกูลหลิว เปรียบเสมือนน้ำเย็นสาดใส่เสิ่นอี้

อย่าคิดอะไรตื้นๆ!

พวกมันไม่ใช่สัตว์ร้ายโง่เขลาและเร่ร่อนอยู่ในป่า พวกมันจะไม่มีทางอยู่เฉยๆ ในที่ๆ หนึ่ง เหมือนเกมที่รอให้ตัวละครมาฆ่าเพื่อเก็บเกี่ยวแต้มประสบการณ์

เขาไม่สามารถทำเช่นเคยได้ อย่างการใช้ความสัมพันธ์จากร่างเก่า ฉวยโอกาสตอนที่ปีศาจเผลอแล้วโจมตีสังหารมัน

เรื่องแบบนี้อาจทำได้ง่ายก็จริง แต่ไม่สามารถทำได้ตลอดไป

ปีศาจร้ายเหล่านี้ มีอารมณ์ พวกมันสามารถส่งต่อข่าวสารซึ่งกันและกันได้ และความเร็วก็เร็วกว่าที่เขาคิดไว้มาก!

พวกมันรู้ว่าปีศาจสุนัขขนดำไปที่ตระกูลหลิว แล้วพวกมันจะไม่รู้หรือว่ามันไปกับใคร?

ทุกครั้งที่มีปีศาจตาย ตัวที่เหลือจะยิ่งโหดร้าย และความระมัดระวังจะยิ่งสูงขึ้น หากข่าวการตายของปีศาจวานรแพร่กระจายออกไป ครั้งต่อไปที่พวกมันมาดักโจมตีเขา อาจจะเป็นปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ลงมือ

เสินอี้ไม่อยากใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว

เขาต้องการอายุขัยของปีศาจ!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสินอี้ก็ลุกขึ้นยืน เขาเดินออกจากประตูบ้านอย่างช้าๆ

ในตอนนี้ มีชาวบ้านจำนวนมากยืนอยู่บนถนนหลิวเย่ ทั้งหมดต่างมองมาที่นี่จากระยะไกล

เจ้าหน้าที่ทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ เรื่องราวการกัดกันของสุนัขแบบนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยจริงๆ

"ปล่อยพวกมันไป"

เสินอี้พยักพเยิบกับเฉินจี้

"ข้าน้อยรับคำสั่ง"  เฉินจี้กุมมือคำนับ และส่งสัญญาณให้คนเหลือไปปลดเชือก

เฉินขจี้เก็บสายตา ทันใดนั้นก็รู้สึกอึดอัด กัดฟันหยิบจดหมายที่เปิดออก ซองจดหมายยังเปื้อนเลือด "ท่านต้องการดูหรือไม่?...ข้าค้นเจอจากตัวพวกมันก่อนหน้านี้"

เสิ่นอี้ขมวดคิ้วรับจดหมาย ค่อยๆ กางออก

เนื้อหามีเพียงประโยคเดียว

"มาที่หมู่บ้านวัดหลิวลี้  ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า"

ไม่มีหัวไม่มีท้าย ไม่มีชื่อผู้ส่ง

แต่จากความเข้าใจของเสินอี้เกี่ยวกับปีศาจสุนัข พวกมันถนัดใช้กำลังมากกว่าเรียนวิธีจับพู่กัน

คนที่เขียนจดหมายนี้ มีเพียงสุนัขแก่ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร หรือเจ้าหน้าที่ธรรมดาที่สามารถติดต่อกับปีศาจสุนัขขนเหลืองโดยตรง นั่นก็คือตัวเขาเอง...

เห็นได้ชัดว่าเฉินจี้มองออก เขาจึงลังเลว่าจะเอาจดหมายนี้ออกมาหรือไม่ "ใต้เท้าจะทำอย่างไร? แน่นอนว่าท่านจะไปไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่สนใจมัน พวกมันก็จะมาหาท่านในเมือง...หรือว่าเราจะไปหาท่านหลิวเตียนลี่ดี?"

เป็นที่รู้จักกันดี  ว่าหลิวเตียนลี่(ตำแหน่งเตียนลี่แซ่หลิว) เลี้ยงดูเสิ่นอี้เหมือนหลานชาย

(典吏 เตียนลี่คือตำแหน่งนะครับ ยังหาเทียบไทยไม่ได้ มันน่าจะประมาณเจ้ากรมหรือปลัดประมาณนี้ครับ ทำหน้าที่เหมือนดูแลทั่วไป จัดเก็บเอกสาร ไม่ก็ดูแลด้านการคลังหรือการเงิน เพิ่มเติมอีกนิดนะครับ เมืองไป๋อวิ๋นนี่เป็นเมืองระดับอำเภอนะครับ มีผู้ดูแลเมืองที่เรียกว่า 知县 (จือเสียน) หรือผู้พิพากษาเทศมณฑลหรือผู้พิพากษาท้องถิ่น แต่ผมจะแปลว่าเจ้าเมืองนะครับ)

ด้วยความสัมพันธ์นี้  ตราบใดที่อีกฝ่ายเต็มใจ อาจมีโอกาสเชิญปรมาจารย์ยุทธผู้เก่งกล้าจากจวนเจ้าเมืองไปพูดคุยกับปีศาจให้

"ใต้เท้ารีบตัดสินใจเถอะ ไม่อย่างนั้นหมู่บ้านวัดหลิวลี้..."  เฉินจี้รู้สึกร้อนใจ

"ชิ!" จางเผิงเทียนไถลตัวไปกับผนัง ไอค่อกแค่กพร้อมกับหัวเราะคิกคัก "ท่านเจ้ากรมหลิวสั่งไว้แล้ว ตอนนี้เจ้าไม่สามารถสั่งเจ้าหน้าที่มือปราบได้สักคน เจ้าอยู่เฉยๆ ในเมืองซะ เจ้ายังโชคดีที่มีคนคอยปกป้อง ส่วนชีวิตต่ำต้อยของผู่อื่น...หึหึ... เจ้าไม่มีปัญญาไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก"

เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของเฉินจี้ก็เต้นรัว

เขาเผลอมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า แต่แล้วก็ถูกปกคลุมไปด้วยความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง

แม้ว่าพลังการต่อสู้ของเสินอี้จะเหนือกว่าจินตนาการของเขาไปมาก แต่นั่นก็จำกัดอยู่แค่เจ้าหน้าที่ธรรมดา แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับปีศาจสุนัขทั้งหมดละก็...

ขนาดปรมาจารย์ยุทธที่ถูกว่าจ้างมา พวกเขาล้วนเป็นผู้มีฝีมือเก่งกาจในการปราบปีศาจ แต่ ณ เวลานี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงอยู่นิ่งเฉยภายในเมืองเท่านั้น

ในตอนนี้เอง เฉินจี้ก็สังเกตเห็นว่าคิ้วที่ขมวดแน่นของเสินอี้คลายลงอย่างกระทันหัน

"ใต้เท้าเสิน..."

เสินอี้ตบไหล่เขา "เจ้ากลับไปก่อน"

เดิมทีเขายังรู้สึกกังวล ปีศาจอาศัยอยู่ในภูเขา ภูมิประเทศสูงชัน การค้นหานั้นยุ่งยากมาก

ถ้ารอให้พวกมันมาหา เขาก็จะกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ

แต่ตอนนี้พวกมันต้องการพูดคุย เขาจะพลาดโอกาสดีๆ นี้ไปได้อย่างไรใช่ไหม?

“…”

เสินอี้มีท่าทางเฉยเมย แต่เฉินจี้กลับรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ เขามองดูอีกฝ่ายเดินจากไป เขาถามออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ "ท่านไม่ได้จะออกนอกเมืองใช่มั้ย?"

"ออกนอกเมือง? ข้าเห็นมันตั้งแต่เป็นอันธพาลจนไต่เต้าขึ้นมา แม้แต่มารดาของมันถูกปีศาจลักพาตัวไป มันยังไม่มองสักนิด ตอนนี้มาทำเป็นลูกกตัญญูเนี้ยนะ ถุย!" จางเผิงเทียนถูกลูกน้องสองคนประคองไว้ ลำคอขยับ เสมหะสีเข้มถูกถ่มลงบนพื้น

"น่ารังเกียจสิ้นดี!"

...

นอกเมืองไป๋อวิ๋น

ร่างหนึ่งพุ่งทะยาน ราวกับลูกธนูที่หลุดจากแล่ง ยอดไม้สั่นไหว นกบินตกใจ

เดิมที "แปดก้าวอสรพิษวิญญาณ" เป็นเพียงวิชาธรรมดา แต่ด้วยฐานบ่มเพาะ "ขอบเขตเริ่มต้นขั้นห้าจุดเฉียว" ทำให้ความเร็วนั้น เร็วจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ไม่นานนัก เสินอี้ก็เห็นวัดร้างแห่งนั้นอีกครั้ง

เขาชะลอฝีเท้า ลมหายใจสม่ำเสมอ มองไม่ออกเลยว่าเพิ่งผ่านการวิ่งสุดแรงเกิดมา

บนคันนาของหมู่บ้านวัดหลิวลี้ ชาวบ้านหยุดทำงาน ต่างพากันมองไปที่ร่างเงาสูงโปร่งที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน

โดยทั่วไปแล้ว การมาถึงของเจ้าหน้าที่หมายถึงภัยพิบัติ

ส่วนภัยพิบัตินั้นอาจจะมาจากเจ้าหน้าที่ หรือไม่ก็ปีศาจร้าย...

หลังจากมองเห็นใบหน้าของผู้มาเยือน ชาวบ้านที่ชาชินก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

พวกเขายังจำเจ้าหน้าที่คนนี้ได้

ครั้งที่แล้วคือผู้ที่ฆ่าปีศาจสุนัขขนเหลืองด้วยตัวเอง และตอนจากไปก็ไม่รับเงิน

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งหัดเดิน สวมชุดป่านเก่าๆ หลวมๆ  นางเดินโซเซเข้ามา ยกชามที่ถืออยู่ขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงเด็กๆ ว่า "ท่านมือปราบ ดื่มน้ำไหมเจ้าคะ?"

เสินอี้ลูบหัวเด็กหญิง รับชามแล้วดื่มจนหมด

เมื่อวางชามลง เขามองไปที่ถนนภูเขาอีกด้านอย่างช้าๆ

มีคำกล่าวที่ว่า มาเร็วดีกว่ามาถูกจังหวะ...มันช่างบังเอิญจริง ๆ

บนถนนภูเขาที่ขรุขระ ร่างเงาที่สูงกว่าคนทั่วไปสองศีรษะสิบกว่าตัว ปรากฏขึ้นแวบๆ ในป่าทึบ

ใต้ขนที่พันกันเป็นก้อนคือกล้ามเนื้อที่ตึงแน่น ใบหน้าของพวกมันน่ากลัว สวมเพียงผ้าเตี่ยว บนบ่าแบกเกี้ยวขนาดใหญ่ พวกมันเหยียบถนนภูเขาเหมือนเดินบนพื้นราบ

บนเกี้ยวนั้น ร่างกายที่หนักอย่างน้อยแปดร้อยจิน(400กิโลกรัม) นอนนิ่งอยู่

ชั้นไขมันบนร่างกายหนาประมาณสองฉื่อ เรียงซ้อนกันแน่นเหมือนภูเขาเนื้อ ทำให้ไม่รู้ว่ามีกี่ชั้น

สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือขนสีเหลืองทองเงางาม ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับปีศาจสุนัขตัวอื่นๆ

หลังจากนั้นไม่นาน พวกมันก็แบกเกี้ยวมาหยุดที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน

เด็กหญิงเสื้อขาดวิ่นที่เพิ่งยื่นมือไปรับชาม ล้มตัวลงดัง "พลั่ก" นั่งลงกับพื้นทันที

บนใบหน้าที่สกปรกของเด็กน้อย ทุกอารมณ์หยุดนิ่ง กลั้นหายใจ กัดริมฝีปากเล็กๆ ด้วยฟันน้ำนม ร่างกายของนางเริ่มสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เมื่อเทียบกับเด็กหญิงคนนี้ ชาวบ้านคนอื่นดูสงบสติอารมณ์...แทนที่จะพูดว่าสงบสติอารมณ์ คงใช้คำว่าพวกเขาคุ้นเคยกับมันมากกว่า

พวกเขาอดไม่ได้ที่มองไปที่ทางแยก

ที่นั่นมีเพียงเจ้าหน้าที่คนเดียว เอวคาดดาบเพียงเล่มเดียว

ถนนสายเล็กๆ ที่คดเคี้ยวดูเงียบเหงา พวกเขาเฝ้ารออยู่นาน แต่ไม่เห็นเงาของใครปรากฏตัวเลยแม้แต่คนเดียว

ชาวบ้านเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ในดวงตาที่เลื่อนลอยเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

พวกเขาก้มตัวลง กอดตัวเองแน่น ไม่มีเสียงร้องไห้หรือวิ่งหนี

ทันใดนั้น เด็กหญิงก็รู้สึกเหมือนมีเงาสูงใหญ่มาบดบังร่างนาง

เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมอง

นางเห็นมือปราบเดินไปข้างหน้าช้าๆ  ค่อยๆ ดึงดาบที่เอวออกมา

จนกระทั่งดาบออกจากฝักทั้งหมด

เสิ่นอี้เอียงดาบ  ยืนอยู่หน้าเกี้ยวขนาดใหญ่...

0 0 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด