บทที่ 15 ผู้บ่มเพาะวิถีมาร
“ชื่อและตัวตนของเขาข้าบอกไม่ได้ พี่รองสั่งห้ามเปิดเผยเรื่องนี้กับใครเด็ดขาดรวมท่านด้วย เขาบอกเพียงว่า โอกาสที่ตระกูลเฉินของเราจะกลับมามีอำนาจรุ่งเรืองอีกครั้งกำลังมาถึงแล้ว” เฉินเหมี่ยวอินส่ายหัวขณะเล่าถึงเหตุการณ์นั้น ซึ่งใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน
เพราะนางเข้าใจเพียงบทสนทนาประเด็นสำคัญๆ ส่วนใหญ่ระหว่างเฉินซูหลี่กับฉินจวินเท่านั้น ประการแรก สถานะของฉินจวินนั้นพิเศษมากเปิดเผยให้ใครรู้ไม่ได้ ส่วนประการที่สอง ฉินจวินมีผู้แข็งแกร่งซึ่งอยู่เหนือระดับอาณาจักรแก่นทองคำคอยเป็นผู้อารักขา
ซึ่งแค่ประการที่สองก็เพียงพอแล้ว ที่ตระกูลเฉินของนางจะประจบคนอย่างฉินจวินเอาไว้
พอเฉินจ้านเจี้ยนได้ยินเช่นนั้นคิ้วเขาก็ขมวดขึ้นพร้อมสีหน้ากังวลใจ เขาไม่เอ่ยถามอันใดต่อแต่เลือกที่จะตกอยู่ในห้วงความคิดจนบรรยากาศในห้องโถงเริ่มเงียบขรึมแทน
เฉินเหมี่ยวอินที่เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมไม่น่าพึงใจให้อยากอยู่ต่อ นางจึงรีบเอ่ยตัดบทก่อนผู้เป็นบิดาจะนึกถึงวีรกรรมวันนี้ของตนได้ จนต้องประสบกับเรื่องให้ว้าวุ่นอีกครั้ง
“ข้ากลับไปพักก่อนนะ”
แผนการหนีออกจากจวนของนางวันนี้ล้มเหลว เพราะไอ้ค่าธรรมเนียมจากพวกทหารรักษาเมืองตัวดีนั้นแหละถึงไม่ได้ออกไป
เฉินจ้านเจี้ยนเพิกเฉยต่อลูกสาวหัวดื้อของตนก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ซูหลี่ทำหน้าที่คงเส้นคงวามาตลอด ต้องมีเหตุผลที่เขาพูดเช่นนั้น”
เนื่องจากเฉินซูหลี่เป็นลูกนอกสมรสเขาจึงถูกภรรยาตามกฎหมายตัดขาด ประกอบกับพรสวรรค์ในการกลั่นลมปราณที่น่าสงสารของเขา ในฐานะเจ้าเมืองจึงไม่อาจปฏิบัติต่อเฉินซูหลี่ในทางที่ดีได้ ทำได้เพียงคอยสนับสนุนตามความต้องการของเขาอย่างลับๆ เท่านั้น
และข่าวจากเมืองหลวงก็คือเขาเองที่เปิดเผยให้เฉินซูหลี่ทราบเป็นการส่วนตัว เหตุการณ์สำคัญทุกๆ เดือนที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงจะถูกบันทึกไว้ในกระดาษและส่งต่อไปยังขุนนางทุกเมืองโดยนกพิราบ และการที่เขาสามารถส่งต่อข่าวไปยังเฉินซูหลี่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเขาตั้งความหวังกับลูกชายนอกสมรสของเขาไว้มากเพียงใด
ในอาณาจักรเฉียนเยว่ การกลั่นลมปราณไม่ได้เป็นแค่หนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้
“ลืมมันเสียเถอะ ปล่อยเขาไป” เฉินจ้านเจี้ยนถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย เพราะเฉินซูหลี่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนรอบตัวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในบรรดาลูกชายทั้งสอง เขาจึงพอใจเฉินซูหลี่มากกว่าใครเป็นไหนๆ น่าเสียดายที่สถานะและพรสวรรค์ในการกลั่นลมปราณของเขาถูกจำกัดให้อยู่กับที่
“ตระกูลเฉิง…” พอนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้อีกครั้งดวงตาของเฉินจ้านเจี้ยนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา ส่งผลให้โต๊ะน้ำชาที่วางอยู่ตรงหน้าถึงกับสั่นไม่หยุดด้วยความเดือดแค้น
......
เช้าวันที่สิบดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปนอ่อนเพลียของฉินจวินถูกรบกวนจากแสงแดดนอกหน้าต่างที่เล็ดลอดผ่านม่านเข้ามาภายในกระทบหนังเปลือกตาของเขาเล็กน้อย เขาค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นจนสายตาเริ่มปรับเข้าที่ทำให้มองเห็นอะไรๆ ชัดขึ้น
หลังเดินทางข้ามเวลา ทุกครั้งในตอนที่หลับเขายังฝันว่าอาศัยอยู่ในเมืองที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจากโลกก่อน ทำให้ความรู้สึกของทุกๆ วันที่เขาตื่นขึ้นมันราวกับว่าได้กลับไปยังโลกที่จากมาแล้ว
“เสี้ยวเทียน ได้เวลาตื่นแล้ว”
ฉินจวินลุกขึ้นเดินตรงไปยังอ่างข้างเตียงแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวขณะก็พูดกับเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนที่นอนหลับตาอยู่บนพื้นไปด้วย
เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนลืมตาขึ้นข้างหนึ่งก่อนชำเลืองมองไปยังฉินจวินด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายราวกับจะบอกว่ามันตื่นเร็วกว่าเขาเสียอีกพ่อคนเพียร (;¬_¬)
หลังอาบน้ำเสร็จฉินจวินก็พาเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนไปยังห้องข้างๆ ที่เป็นห้องนอนของทั้งสองสาว ต้าจี๋กับฉางเฉียนเฉียน
“ต้าจี๋ ได้เวลาแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
พอฉินจวินตะโกนเรียกต้าจี๋ นางก็ขานตอบด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชางัวเงียอย่างกับคนแรกตื่นที่ดันมีเสน่ห์จนทำให้เขาถึงกับใจสั่นไหวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หน้าประตู
ส่วนฉางห่าวปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ขี้เกียจเกินกว่าจะเปล่งเสียงตะโกนออกจากลำคอ
ฉินจวินส่ายหัวขจัดความคิดที่ก่อกวนในใจแล้วเดินปลีกตัวออกไปตามโถงทางเดิน
ขณะกำลังถึงโถงทางเดินลงบันได เขาก็ประจันหน้าเข้ากับชายหนุ่มรูปงามในชุดสีขาวคนหนึ่งที่เดินลงมาจากชั้นสามพร้อมพัดขนนกในมือโบกพัดไปมาเบาๆ แนบอก ทำเขาแทบต้องมองด้วยความสะดุดตาเพราะผิวที่ขาวเนียนจนซีดเสริมกับใบหน้าหวานราวสตรีซึ่งดูหล่อเหลามากกว่าเขานิดหน่อย ฉินจวินคิด
ชายหนุ่มในชุดขาวสบตากับฉินจวินก่อนพยักหน้าให้เขาอย่างสุภาพแล้วเดินลงชั้นล่าง
“เหตุใดเมื่อวานข้าไม่เห็นเขา”
ฉินจวินสงสัย ทำไมเขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มผู้ดูโดดเด่นจนยากจะลืมคนนี้ได้ หรือเมื่อคืนเขาไม่ได้ลงมาชั้นล่าง
“เขามีกลิ่นไอปีศาจ”
เสียงของเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนดังถึงหูของฉินจวินทันที การส่งผ่านเสียงแบบนี้ผู้อื่นจะไม่สามารถได้ยินนอกจากเขา
“มีกลิ่นไอปีศาจงั้นหรือ” สีหน้าของฉินจวินเปลี่ยนไปทันที
การกลั่นลมปราณและการบ่มเพาะความเป็นอมตะถูกสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณกาล เหล่ามนุษย์ผู้บำเพ็ญบ่มเพาะค่อยๆ พัฒนาไปเป็นสองแนวทางแห่งการฝึกฝนคือวิถีของเซียนกับวิถีของมาร วิถีแห่งเซียนเน้นให้ความสำคัญกับความสำเร็จที่ได้มาอย่างถูกต้อง ในขณะที่วิถีแห่งมารให้ความสำคัญกับความสำเร็จและผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของผู้บำเพ็ญตบะ ขณะเดียวกัน วิธีการที่ได้มาของพวกเขาก็โหดร้ายและไม่มีวันยอมเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ
เมื่อสองทางแห่งความชอบธรรมและความชั่วร้ายมาบรรจบกัน มันก็หมายถึงชีวิตและความตาย
อาณาจักรเฉียนเยว่คือวิถีแห่งเซียนผู้ชอบธรรม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่ได้เห็นผู้บ่มเพาะวิถีมารในสถานที่แห่งนี้
หากเด็กหนุ่มในชุดขาวคนนั้นเป็นผู้บ่มเพาะวิถีมาร การมาที่อาณาจักรเฉียนเยว่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาแน่นอน
“ดูเหมือนระดับพลังยุทธ์ของเขาจะสูงอยู่ เพราะแม้แต่ข้าก็มองไม่เห็นมัน” ฉินจวินแอบรู้สึกประหลาดใจ เพราะตอนนี้เขาได้ทะลวงผ่านชั้นที่สี่ของอาณาจักรก่อสร้างรากฐานแล้ว แต่กลับไม่สามารถมองเห็นถึงระดับอาณาจักรพลังของชายหนุ่มผู้นี้ได้เลย
โชคดีที่เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนเป็นผู้ที่ดำรงอยู่เหนืออาณาจักรปรับแต่งความว่างเปล่า มันจึงสามารถมองผ่านความผิดปกติของคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วทำให้เขาได้ทันระวังตัว
หลังคิดเรื่องนี้อยู่สักพัก ฉินจวินก็พาเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนเดินลงชั้นล่างเพื่อไปยังโถงอาหารต่อ เขายังคงเห็นชายหนุ่มชุดขาวคนเดิมนั่งอยู่อีกมุมของห้องโถงเพื่อมารอทานมื้อเช้าเช่นกัน
ฉินจวินเพียงเหลือบมองเขาแล้วหันไปทางอื่นก่อนเดินไปที่โต๊ะว่างพร้อมหย่อนก้นลง พอบอกเสี่ยวเอ้อร์ว่าจะกินอะไรเขาก็นั่งรอเงียบๆ
ไม่นานหลังจากนั้น ต้าจี๋และฉางเฉียนเฉียนก็เดินลงมาตามด้วยฉางห่าวอย่างใกล้ชิด เมื่อคืนเขาทำอะไรอยู่ทำไมถึงมีรอยคล้ำใต้ตาดำจนชัดขนาดนั้น
“หลังมื้อเช้า เรารีบเดินทางกันเลยไหม” ฉางเฉียนเฉียนถามขณะที่ยังอ้าปากหาวนอนแล้วนั่งลงข้างฉินจวิน
“อืม” ฉินจวินพยักหน้าเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าดวงตาของชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นกำลังมองมาที่เขาก่อนเบนความสนใจผ่านไปยังต้าจี๋อย่างชัดเจน
ต้าจี๋ไม่สนใจหรือทันสังเกตเพราะชายทุกคนในโถงนี้ต่างก็มุ่งเป้าส่งสายตามาที่นางจนเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
บางครั้งการเป็นคนสวยก็เป็นภาระอยู่เหมือนกันนะ
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามจริงๆ”
ชายหนุ่มในชุดขาวพึมพำขณะเฝ้ามองต้าจี๋อยู่อีกมุม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจก่อนที่ในไม่ช้าความประหลาดใจจะกลายเป็นความใคร่
เขาอยากครอบครองแม่นางผู้นี้
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเอะอะโวยวายนอกโรงเตี๊ยมตามมาด้วยเฉิงเจี๋ยที่เข้ามาพร้อมกับกลุ่มผู้ติดตาม เขามองไปรอบๆ ก่อนเจอคนที่กำลังมองหา
“ไอ้เด็กตัวเหม็น ดีที่เจ้ายังไม่ไปไหน”
เฉิงเจี๋ยพูดพร้อมแสยะยิ้มส่งสายตาอาฆาตมาดร้าย เพราะฉินจวินเขาถึงล้มเหลวกับหน้าที่ที่ผู้เป็นบิดามอบหมายให้ทำเมื่อคืน วันนี้เขาจึงมาเพื่อคิดบัญชีแค้นแต่เช้าตรู่
ตระกูลเฉิงเป็นหนึ่งในตระกูลผู้มีอำนาจมากสุดในเมืองชิงถาน การสืบหาแหล่งที่อยู่ของฉินจวินจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะรู้
“เห้อ... มีคนรนหาที่ตายแต่เช้าเลย”
ฉินจวินถอนหายใจขณะที่ฉางเฉียนเฉียน ฉางห่าวและต้าจี๋มองไปยังเฉิงเจี๋ยผู้กำลังเดินเข้าหาพวกเขาด้วยสีหน้างุนงง
“โอ้ว สาวงามทั้งสอง ที่ต่อจากนี้จะเป็นของข้า”
วาจาสบประมาทพร้อมดวงตากลับกลอกของเฉิงเจี๋ยเบิกกว้างขึ้นเมื่อได้เห็นต้าจี๋กับฉางเฉียนเฉียน โดยเฉพาะต้าจี๋ที่ทำให้เขาถึงกับหัวใจเต้นรัวจนจิตใจแทบหลุดลอย
“หาที่ตาย” ต้าจี๋เหลือบมองเฉิงเจี๋ยจากนั้นทำทียกมือปิดปากที่เอ่ยคำไม่สุภาพนั้นออกมาทั้งที่ใบหน้ายังเปือนยิ้มหวานอย่างกุลสตรี แม้น้ำเสียงของนางจะทำให้เหล่าชายที่ได้ยินถึงกับสั้นสะท้านพร้อมหลุดเข้าไปในห้วงภวังค์ แต่คำพูดนั้นกลับทำให้เฉิงเจี๋ยเดือดพล่าน
ฉางเฉียนเฉียนก็เป็นอีกคนที่ส่งสายตาเมินเฉยด้วยความเหยียดหยามเช่นกัน ที่นิกายซวนหลิงมีอัจฉริยะแข็งแกร่งกว่าเขามากมาย หากเหล่าศิษย์หลักของนิกายซวนหลิงมาเยือนยังเมืองชิงถาน เจ้าเมืองจะตอนรับพวกเขาเป็นการส่วนตัวอย่างมีเกียรติ
เฉิงเจี๋ยซึ่งยังไม่รู้ตัวตนของพวกเขา วางมือเท้าสะเอวแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “รนหาที่ตายงั้นหรือ ในเมืองชิงถานแห่งนี้ใครจะกล้าทำอะไรข้า”
ฉินจวินพูดไม่ออกกับท่าทางวางมาดของเขา หากชายผู้นี้รู้ว่าเขาไม่ใช่ทหารองครักษ์ยังจะกล้าพูดถึงเพียงนี้ไหม
“ไสหัวไป! ไม่งั้นข้านี่แหละจะจัดการเจ้าเอง”
ゞ◎Д◎ヾ
ฉางห่าวตบโต๊ะดังป๊าบแล้วลุกพรวดขึ้นยืนจนฉินจวินตกใจถึงกับมือขวาสั่นเกือบสะบัดตะเกียบหลุด เขาชะงักนิ่งด้วยความงุนงงแล้วคิดสงสัยในใจว่าไอ้บ้านี้ต้องกำลังระบายความคับข้องใจที่เก็บกดเพราะเขามานานแล้วแน่นอน
แต่เพราะได้ยินว่ามีคนต้องการครอบครองน้องหญิงของเขา ฉางห่าวก็โกรธขึ้นทันทีโดยไม่คิดอะไร เรื่องมันคงจะไม่เป็นไรหากอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า แต่นี่กลับอยู่แค่ระดับสี่ของอาณาจักรกลั่นลมปราณเท่านั้น เขาจะทนได้อย่างไร