ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 ลองก่อนสิบปี?

บทที่ 1 ยุคสมัยที่เหล่าปีศาจร้ายครองโลก


บทที่ 1 ยุคสมัยที่เหล่าปีศาจร้ายครองโลก

กำแพงดินที่แตกร้าว โคมไฟน้ำมันที่มืดสลัว

 

เตียงนอนเล็กๆ ปูด้วยผ้าสีแดงเก่าๆ ส่งกลิ่นเหม็นไม้เน่าผุๆ

 

เสินอี้มองดูทุกสิ่งตรงหน้าด้วยความงุนงง เขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่าตัวเองข้ามมิติมาเป็นเจ้าหน้าที่ในเมืองไป๋อวิ๋น(เมฆขาว)

 

แต่สิ่งของรอบตัวช่างสมจริง

 

ความทรงจำที่กระจัดกระจายในหัวก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

 

นี่คือยุคสมัยที่ปีศาจร้ายชุกชุม

 

ร่างก่อนเขาเป็นนักเลง ไต่เต้าจากชั้นล่างสุด ต่อสู้ดิ้นรนจนได้สวมชุดเจ้าหน้าที่ จนกลายเป็นคนกินอิ่มนอนอุ่น อือ..ฟังดูมีแรงบันดาลใจชะมัด

 

แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงตายกะทันหัน?

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสินอี้รู้สึกเจ็บหลังศีรษะอย่างบอกไม่ถูก

 

เขาเอื้อมมือไปแตะ แล้วก็พบกับเลือดเต็มมือ

 

สีแดงฉานที่แทรกผ่านนิ้วมือ ราวกับเป็นการกระตุ้นสวิตช์อะไรบางอย่าง ทันใดนั้น เสินอี้ก็หลุดพ้นจากความมึนเมาหลังจากดื่มสุรา ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็พุ่งพล่านเข้ามา

 

"โอ้ย!"

 

เขาเบิกตากว้าง หายใจหอบอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง

 

เขาก้มมองลงไป

 

ที่ปลายเตียงมีเด็กสาวร่างผอมบาง นางกำลังจับเสื้อตัวสั้นด้วยความหวาดกลัว

 

ข้างๆ นั้นมีชายชราในชุดเสื้อผ้าเก่าเต็มไปด้วยรอยปะ เขาตัวสั่นงันงก กำไม้เท้าแน่นจนสั่นเทา ปลายไม้เท้ามีหยดเลือดไหลลงมา

 

ทั้งสองจ้องมองมาด้วยสายตาที่เหมือนเห็นสัตว์ร้าย น้ำตาคลอด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว

 

"ข้า..."

 

เสินอี้กัดฟันแน่น แรงกระแทกจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ความโกรธเกรี้ยวพุ่งพล่านอยู่ในอก

 

เขาจ้องมองชายชรา กำลังจะบอกให้วางไม้เท้าลงก่อน

 

ทันใดนั้น เด็กสาวก็ฉีกเสื้อผ้าที่เหลืออยู่บนตัวอย่างบ้าคลั่ง นางรัดพัวพันรอบขาของเสินอี้ ราวกับสัตว์ร้ายที่คลั่งไคล้ พลางร้องไห้คร่ำครวญว่า "ใต้เท้า! ข้าน้อยมอบร่างให้ท่าน! ข้าให้ท่านทั้งหมด! ใต้เท้าปล่อยบิดาข้าน้อยไปได้ไหม?"

 

ชายชราคลายมือ ไม้เท้าตกลงพื้นเสียงดังสนั่น

 

ใบหน้าของเขาเฉยชา ไร้ซึ่งความรู้สึก ดวงตาว่างเปล่า ราวกับว่าไม้เท้าเมื่อครู่ได้ใช้พลังของเขาไปจนหมด

 

ด้วยชื่อเสียงอันเลวร้ายของเสินอี้ในเมืองไป๋อวิ๋น เมื่ออีกฝ่ายลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชะตากรรมของพ่อลูกคู่นี้ก็คงถึงคราวสิ้นสุด

 

"เจ้า...หุบปาก!"

 

เสินอี้รู้สึกเจ็บจนเปลือกตาสั่นระริก

 

เดิมทีก็ทั้งเจ็บทั้งหงุดหงิดอยู่แล้ว เขาจะทนเสียงร้องไห้ของเด็กสาวคนนี้ได้อย่างไร?

 

ร่างก่อนของเขาคงต้องการจะข่มขืนเด็กสาวตระกูลหลิวในคืนนี้ ชายชราตีไม้ลงไปก็ถือว่าเป็นการกำจัดคนชั่ว ชายชราสมควรได้รับการยกย่อง

 

แต่ตัวเขาเองบริสุทธิ์ ไม่สมควรโดนตีด้วยไม้เลย

 

เสินอี้รู้สึกโกรธแค้น แต่ก็ด่าออกไปไม่ได้ เพราะในสายตาของคนอื่นๆ เขาแค่สลบไปชั่วครู่แล้วตื่นขึ้นมา ไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณข้างในเปลี่ยนไปแล้ว

 

เขาโยนเสื้อผ้าบนเตียงใส่เด็กสาวตระกูลหลิว สะบัดมือเหมือนไล่แมลงวัน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า "ไป ไป รีบไปซะ!"

 

เวณกรรมจริงๆ ชาติที่แล้ว ข้าคงแบล็กเมล์และขายบ้านของเจ้าไปครึ่งหนึ่งใช่ไหม?

 

เขาลูบขมับ แต่จูๆ ภาพมายาที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ชัดเจนขึ้น

 

【ศิลปะการต่อสู้ในปัจจุบัน】

 

ทักษะทะลวงกระดูก (ระดับสูง)

 

ทักษะดาบปราบปีศาจ (ระดับเริ่มต้น)

 

【สามารถนำอายุขัยมาหลอมรวมกับทักษะการต่อสู้ เพื่อรับความก้าวหน้าที่สอดคล้องกัน】

 

【เมื่ออายุขัยเหลือไม่ถึงหนึ่งปี จะไม่สามารถหลอมรวมเพิ่มเติมได้】

 

【อายุขัยที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน: สามสิบสี่ปี】

 

...

 

เสินอี้มองข้อความที่ปรากฏ เขาพึมพำกับตัวเอง

 

"ไม่น่าเชื่อเลย ว่าข้าจะมีวิชาเหมือนกัน"

 

จากความทรงจำที่เหลืออยู่ ร่างก่อนของเสินอี้รู้ทักษะสองอย่างนี้จริง ๆ

 

ทักษะทะลวงกระดูกคือทักษะที่จวนเจ้าเมืองสอนให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคน มันเปรียบเสมือนวิชาประจำกาย

 

ด้วยความที่ร่างก่อนของเสินอี้ฝึกฝนทักษะนี้จนเก่ง เขาจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วย

 

ส่วนทักษะดาบปราบปีศาจ เป็นทักษะที่ผู้บัญชาการแผนกปราบปีศาจเมืองไป๋อวิ๋นมาสอนให้กับเจ้าหน้าที่ด้วยตัวเอง เมื่อครั้งมีภัยจากปีศาจร้ายบุกเมือง มันคือทักษะสำหรับสังหารปีศาจโดยเฉพาะ

 

แต่ในเวลานั้น ร่างก่อนของเสินอี้เอาแต่ดื่มสุราและไล่ล่าหญิงสาว ทำให้สุขภาพไม่ค่อยดีนัก แทนที่จะฝึกวิชาต่อสู้เพื่อป้องกันตัว ร่างก่อนกลับใช้วิธีอื่นเพื่อเอาชีวิตรอดจากปีศาจร้ายแทน

 

สรุปคือ แผงนี้เป็นของจริงสินะ มันไม่ได้เป็นภาพหลอนใช่มั้ย?

 

แต่ว่า...มันกากไปหน่อยแหะ

 

การเอาอายุขัยไปแลกกับความก้าวหน้าในทักษะ มันก็เหมือนกับการเอาชีวิตไปแลกเงินเดือน

 

ปัญหาคือ ชาติที่แล้วชีวิตข้าก็เละเทะมากพออยู่แล้ว ไร้ซึ่งทั้งความหวัง ไร้ทั้งสิ่งที่ต้องห่วง เหมือนผีเดินดิบเดินได้ ข้าเอาเงินเดือนไปใช้สนุกทุกเดือนโดยไม่เก็บออม

 

แต่การฝึกทักษะก็เพื่อเอาไว้รักษาชีวิต แต่ถ้าชีวิตไม่มีแล้ว จะฝึกไปเพื่ออะไร?

 

อือ...ฝึกเองช้าๆ ไม่ได้งั้นเหรอ?

 

“ชิ…”

 

เสิ่นอี้ปัดมือไปมา เพื่อจะไล่แผงนั้นออกไป

 

แต่เขาดันเหลือบไปเห็นเงาของพ่อลูกอีกครั้ง

 

ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนท่อนไม้ไร้วิญญาณ

 

“ข้าบอกให้รีบไป…”

 

เสิ่นอี้ยิ้ม เขาลูบหลังศีรษะที่เป็นแผล เขากำลังจะเอ่ยปากพูด แต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

 

เจ้าของร่างเดิมบุกมาข่มขืนแม่นางหลิวตอนดึกดื่น แสดงว่าที่นี่คือบ้านของนางใช่ไหม? งั้นคนที่ควรจะต้องออกไปก็คือ...

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นอี้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที

 

เออๆ...ข้าออกไปเอง!

 

เขาพลิกม้วนตัวลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปหยิบดาบมาไว้ที่เอว เสื้อผ้ายับยู่ยี่ เดินออกไปนอกห้องทันที

 

แค่ข้ามเวลามาก็ซวยอยู่แล้ว แม่งยังโดนตีหัวอีก แถมต้องเดินกลับบ้านเองอีกด้วย ไม่รู้ว่าข้าไปสร้างเวรกรรมอะไรมา ช่างน่าเศร้าเสียจริง!

 

“…”

 

เด็กสาวตระกูลหลิวกุมมือบิดาแน่น ตัวนางสั่นเทาด้วยความกลัวอยู่ภายใต้เสื้อผ้า

 

นางไม่เข้าใจว่าทำไมอารมณ์ของเสินอี้ถึงเปลี่ยนไป เขาไม่ทรมานตัวนางหรือทุบตีบิดานาง แต่แค่จากไปด้วยอารมณ์หดหู่เท่านั้น

 

แต่แววตาของนางยังคงปราศจากความดีใจที่รอดตาย

 

ตรงกันข้าม เมื่อเสิ่นอี้เดินเข้าใกล้ประตูบ้านมากขึ้น ดวงตาของแม่นางหลิวก็ค่อยๆ หดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นว่านางรู้สึกกลัวจนสุดขีด

 

แอ็ด..

 

ประตูบ้านที่ผุพังถูกผลักเปิดออก

 

เสิ่นอี้ก้าวออกจากบ้าน เขาหายใจลึกๆ รับเอาอากาศยามค่ำคืนที่แห้งแล้งเข้าปอด

 

เขาคิดจะทำให้ตัวเองรู้สึกตื่นตัวขึ้นบ้าง แต่กลิ่นเหม็นสาบที่ลอยเข้าจมูกกลับทำให้เขาเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

 

เหมือนข้าลืมอะไรไปหรือเปล่า?

 

"เสร็จแล้วงั้นเหรอ? ถึงตาข้าแล้วสินะ"

 

เสียงแหบพร่าดังขึ้นข้างหู กลิ่นเหม็นสาบนั้นเข้มข้นขึ้นหลายเท่าทันที

 

เสิ่นอี้ตัวแข็ง หันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว

 

ทันใดนั้น เงาร่างใหญ่โตดั่งภูเขาสูงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ข้างประตูบ้าน

 

มันมีกล้ามเนื้อที่แน่น ไหล่ยกสูง ขนสีดำเงางาม คอโน้มไปข้างหน้า และที่สำคัญที่สุดคือ…มันมีหัวเป็นสุนัข!

 

มันก้มหน้าลงมาช้าๆ ยื่นอุ้งเท้าเข้าไปในกางเกง

 

จากนั้นมันก็เดินเข้ามา มันสูงกว่าเสิ่นอี้หนึ่งช่วงศีรษะ ไหล่กว้างกว่าสองเท่า เงาของมันทอดยาวลงบนพื้น

 

“คราวหน้ารีบๆ หน่อย ข้าหิวแล้ว ข้าโมโหง่ายตอนหิว เจ้ารู้ใช่ไหม?”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นอี้ก็ก้มหน้าลงด้วยท่าทางที่ซับซ้อน ในที่สุดเขาก็จำวิธีเอาชีวิตรอดของร่างเดิมได้

 

นั่นคือการคบหากับปีศาจและทำธุรกิจอาหาร

 

มีเขาและพวกพ้องอยู่ในจวนเจ้าเมืองเป็นผู้ประสานงาน จัดการสร้างคดีเท็จ เพื่อให้ปีศาจมีอาหารกินอิ่มโดยไม่ต้องกังวลว่าจะไปสะดุดตาแผนกปราบปีศาจ(เจิ้นหมัวซือ)

 

อย่างเช่นคืนนี้ เขาวางแผนข่มขืนเด็กสาวตระกูลหลิว แล้วมอบพ่อลูกคู่นี้ให้ จากนั้นรอให้ปีศาจสุนัขกินจนอิ่ม พรุ่งนี้เมืองไป๋อวิ๋นก็จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้แล้ว

 

ชั่วครู่ เสิ่นอี้ก็ยิ้มออกมา เขายกไหล่ไปกระแทกแขนอีกฝ่ายแล้วพูดว่า "เจ้ายังไม่รู้จักความสามารถของข้าหรือไง? เจ้าจะรีบร้อนไปไหนกันหะ?"

 

พูดจบ เขาก็พยายามดันอีกฝ่ายให้เดินไปข้างหน้า "ไปกันเถอะ คืนนี้ข้าเลี้ยงเหล้าเป็นการขอโทษพี่ชาย"

 

แต่ร่างใหญ่นั้นกลับนิ่งเฉย

 

ปีศาจสุนัขก้มมองเสิ่นอี้ด้วยสายตาเย็นชา "เจ้าคิดว่าข้าเป็นหมูโง่งั้นหรือ?"

 

พูดจบ มันก็เดินผ่าน แล้วก้าวเข้าไปในบ้านทันที

 

เมื่อถูกเปิดเผยความคิด เสิ่นอี้ก็เผลอยื่นมือไปขวาง โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงกล้าทำแบบนั้น

 

ชิ! มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า

 

เขาคิดจะดึงแขนกลับอย่างว่องไว แต่กลับถูกอุ้งเท้าสุนัขที่ใหญ่โตและปกคลุมไปด้วยขนดกจับไว้

 

ปีศาจสุนัขหันขวับกลับมา ประชิดหน้าเสิ่นอี้ เขี้ยวแหลมคมในปากขนาดใหญ่เต็มไปด้วยน้ำลายเหนียวไหลยืดจากปากยาวเหมือนเส้นไหม

 

“เสินอี้ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”

 

“เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือว่าข้าเป็นปีศาจอะไร? ข้าได้ยินเสียงข้างในอย่างชัดเจน เจ้ากล้าหักหลังข้างั้นเหรอ?!”

 

ทั้งสองร่วมมือกันมาเพื่อก่อเหตุร้าย แต่กลับมีคนหนึ่งถอนตัวกลางคัน ความหมายนั้นช่างชัดเจน

 

ในขณะที่พูด ขาใหญ่ของปีศาจสุนัขก็เตะออกอย่างรุนแรง!

 

“ไอ้เวร!  พูดแล้วทำไมไม่รักษาคำพูด?”

 

แรงกระแทกอันมหาศาลจากหน้าท้องทำให้สมองของเสิ่นอี้มึนงง เส้นเลือดบนคอของเขาปูดโปน ร่างทั้งตัวของเขาเหมือนกระสอบทรายที่ถูกเหวี่ยงกลับเข้าไปในบ้าน ประตูบ้านถูกเขากระแทกจนพังทลายลง

 

เขาสาบานว่านี่คือครั้งที่เขาอยู่ใกล้ความตายมากที่สุด

 

"ไอ้สารเลว! สมควรแล้วที่ข้าจะเอาแกมาเซ่นไหว้เครื่องในข้า"

 

เสียงทุ้มต่ำเย็นชาจากนอกบ้านดังขึ้น เสิ่นอี้ทรุดลงบนพื้น กุมท้องน้อยแน่น เงยหน้ามองพ่อลูกที่ตัวสั่นเทาอยู่ข้างๆ

 

เขาละสายตา พูดตะกุกตะกัก "พวก...พวกเจ้า... รีบ... หนี... หนี... ไปทางด้านหลัง..."

 

ชายชราและเด็กสาวกลืนน้ำลายอย่างแรงราวกับว่าเป็นวิธีเดียวที่จะระงับเสียงกรีดร้องที่อยู่ในลำคอ

 

ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสับสน ไม่เข้าใจว่าทำไมคนตรงหน้าที่ควรจะสนิทสนมกับปีศาจถึงถูกเตะเข้ามาด้วย

 

"ช่างมันเถอะ... ดาบ..."

 

เสิ่นอี้ยกมือขึ้นอย่างอ่อนแรง เมื่อเห็นท่าทางสับสนของทั้งคู่ เขาจึงต้องเตือนอีกครั้ง "เอาดาบมาให้ข้า"

 

เด็กสาวตระกูลหลิวรีบหยิบดาบขึ้นมาส่งให้ แต่นางก็ยังสงสัยอยู่ว่าเขาต้องการจะฟันใคร คงไม่ใช่ฟันปีศาจตัวนั้นที่อยู่หน้าประตูหรอกนะ?

 

เสิ่นอี้กลืนเลือดข้นคาวลงลำคอ จับด้ามดาบไว้ ภายใต้สายตาของพ่อลูกคู่นั้น เขาก็ถุยน้ำลายออกมาและพึมพำว่า "น่าขยะแขยงจริงๆ"

 

ไม่ว่าจะเป็นโลกเก่าที่วุ่นวายในความทรงจำ หรือวิธีการเอาชีวิตรอดของร่างเดิม ที่เขาเองต้องเลียนแบบเพื่อประทังชีวิต ทุกอย่างช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก

 

ไม่เพียงแต่น่าขยะแขยง ยังน่าเบื่ออีกด้วย

 

“…”

 

เมื่อเห็นปีศาจสุนัขพังประตูบ้าน โน้มตัวเข้ามาในสวน แลบลิ้นหนาๆ เลียอุ้งเท้าอย่างแผ่วเบา เตรียมพร้อมสำหรับการกิน

 

เมื่อนึกภาพหัวของตัวเองถูกปากสุนัขสกปรกคาบไว้ ถูกเคี้ยวอย่างช้าๆ ผสมกับน้ำลายเหนียวๆ กลืนลงคอ

 

ลมหายใจของเสิ่นอี้ก็ยิ่งถี่ขึ้น ดวงตาของเขาเริ่มมีประกายของความบ้าคลั่ง

 

ได้เลย เล่นแบบนี้ก็ได้

 

ชีวิตข้าเป็นของข้า ชีวิตเจ้าเป็นของเจ้า แต่เจ้ากลับมาล้อเล่นกับชีวิตข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไร?

 

หน้าต่างระบบปรากฏขึ้นตรงหน้า

 

หลอมรวมอายุขัยให้กับศาสตร์การต่อสู้ รับความก้าวหน้าที่เกี่ยวข้อง

"จัดมา หลอมรวมทักษะดาบปราบปีศาจ เติมมันให้เต็ม!"

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด