จอมปราชญ์นิรันดร์ บทที่ 52 แปลงร่างเป็นผีเสื้อแล้วจากไป
"คุณหนูเตี๋ย ท่านจะไปไหน?"
ซูสือโม่วไล่ไปตามเส้นทางไปยังลานบ้าน รู้สึกไม่เต็มใจที่จะแยกทางกับนาง มันตะโกนเสียงดัง
"แน่นอนว่าเป็นการกลับไปสู่โลกของข้าพเจ้า"
เตี๋ยเยว่หันตัวกลับมองซูสือโม่วพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ขณะที่นางกล่าวอย่างติดตลกว่า "ท่านและข้าพเจ้ามาจากสองโลกที่แตกต่างกัน"
นี่เป็นสิ่งที่เสินเมิ่งฉีพูดกับซูสือโม่วขณะที่นางจากไปในตอนนั้น
ตอนนี้ถ้อยคำคนเดียวกันถูกพูดโดยเตี๋ยเยว่ ไม่มีการดูถูกในนั้น ในทางกลับกัน ดูเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่แสนดีกันมาเนิ่นนานและล้อเล่นกัน แน่นอน มีความเศร้าโศกอยู่ในนั้น
เตี๋ยเยว่ไม่เคยใช้โทนเสียงนี้ขณะที่นางพูดกับซูสือโม่ว นางไม่ค่อยยิ้มให้มัน จนกระทั่งตอนนี้ซูสือโม่วจึงได้ตระหนักได้ว่าเตี๋ยเยว่กำลังจะจากไปอย่างแท้จริง
"แต่ ท่านยังไม่ได้สอนเคล็ดวิชาเทพยุทธ์ที่เหลือของคัมภีร์ลับ12ราชันอสูรมหาแดนทุรกันดารให้ข้าพเจ้า ท่านจะจากไปได้อย่างไร?" ซูสือโม่วเค้นสมองครุ่นคิดในที่สุดก็ได้เหตุผลขึ้นมา
เตี๋ยเยว่สั่นศีรษะ "ท่านมีรากวิญญาณแล้ว ท่านควรเข้าร่วมนิกายเซียน อย่าดำเนินการต่อกับการฝึกเทพยุทธ์อสูร"
"เหตุใด?"
ซูสือโม่วขมวดคิ้ว กล่าวว่า "ข้าพเจ้าต้องการเรียนการฝึกเทพยุทธ์อสูรต่อพร้อมกับเรียนรู้การฝึกเทพยุทธ์เซียน!"
"การฝึกเทพยุทธ์อสูรพร้อมกับเซียนงั้นหรือ?"
คิ้วสวยของเตี๋ยเยว่เลิกขึ้นเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะยิ้ม "ท่านค่อนข้างทะเยอทะยาน"
เตี๋ยเยว่หยุดชั่วครู่ก่อนที่นางจะกล่าวว่า "ปราณวิญญาณสามารถหล่อเลี้ยงและควบคุมร่างกายได้ แม้ว่าร่างกายจะไม่แข็งแกร่งราวกับเผ่าพันธุ์อสูร แต่ก็ยังคงค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ท่านรู้ไหมว่าเหตุใดผู้ฝึกเทพยุทธ์ส่วนใหญ่ถึงมีร่างกายที่อ่อนแอ?"
"เหตุใด?"
"พลังงานของผู้คนมีขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกเทพยุทธ์เซียนหรือการฝึกเทพยุทธ์อสูร ผู้คนไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไป ผู้คนไม่สามารถหลบหนีจากความเป็นความตายได้ หากคนผู้นั้นดำเนินการต่อด้วยการฝึกเทพยุทธ์เซียนพร้อมกับการฝึกเทพยุทธ์อสูร มีความเป็นไปได้สูงที่คนผู้นั้นจะไม่สามารถไปถึงจุดสิ้นสุดของการฝึกเทพยุทธ์ได้"
ซูสือโม่วคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วกล่าวว่า "ข้าพเจ้าต้องการลอง"
เตี๋ยเยว่กล่าวต่อ "ข้าพเจ้าจะไม่หยุดท่านถ้าท่านต้องการไปต่อกับการฝึกเซียนพร้อมกับฝึกเทพยุทธ์พุทธ แต่เซียนพร้อมกับอสูรอยู่คนละโลก เซียนก็คือเซียน ในขณะที่อสูรก็คืออสูร หากท่านยืนกรานที่จะฝึกเทพยุทธ์เซียนพร้อมกับการฝึกเทพยุทธ์อสูร ทั้งสองด้านจะไม่ยอมท่าน ตอนนี้ท่านเพิ่งเริ่มต้นการฝึกเทพยุทธ์อสูร ท่านสามารถยกเลิกได้ในตอนนี้"
"ข้าพเจ้าไม่ต้องการยกเลิก" ซูสือโม่วยืนกรานอย่างดื้อรั้น
"แม้ว่าคนทั้งโลกจะหันมาต่อต้านท่านงั้นหรือ?"
"จะเป็นไรไปถ้าคนทั้งโลกหันมาต่อต้านข้าพเจ้า!"
สำหรับซูสือโม่วแล้ว เคล็ดวิชาเทพยุทธ์นี้ถูกส่งมาให้มันโดยเตี๋ยเยว่ มีความหมายที่สำคัญ แม้ว่าคนทั้งโลกจะหยุดมันจากการฝึกเทพยุทธ์ มันก็จะยังจะทำต่อไป!
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เตี๋ยเยว่ก็กล่าวว่า "คัมภีร์ลับ12ราชันอสูรมหาแดนทุรกันดารจะยากขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้หากไม่มีข้าพเจ้าอยู่ข้างกายท่าน"
เตี๋ยเยว่ถอนหายใจเมื่อเห็นสายตาดื้อรั้นของซูสือโม่ว ในที่สุดนางก็ยอมแพ้
มีประกายตาอสูรในดวงตาของเตี๋ยเยว่ หลังจากนั้น ก็มีพระสูตรอีกหลายสูตรปรากฏขึ้นในใจซูสือโม่ว
เตี๋ยเยว่มองไปที่ซูสือโม่ว กล่าวเบาๆ "นี่คือพระสูตรที่เหลืออยู่ จำไว้ว่า หากสิ่งนี้ยากเกินไปที่จะฝึกเทพยุทธ์ อย่าเสียความพยายามของท่านกับสิ่งเหล่านี้อีก"
ซูสือโม่วมีช่วงเวลาแห่งการตระหนักรู้เมื่อได้ยินถ้อยคำของนาง
เตี๋ยเยว่มีความตั้งใจอื่นขณะที่นางจัดให้มันผ่านการฝึกเทพยุทธ์ที่เทือกเขาชางหลาง
โดยปราศจากวานรวิญญาณ ซูสือโม่วจะไม่สามารถเชี่ยวชาญสามกระบวนท่าวานรโลหิตได้ภายในหนึ่งปี
โดยปราศจากวานรวิญญาณซูสือโม่วจะไม่สามารถเปิดใช้งานแปลงร่างวานรโลหิตได้
แม้ว่าเตี๋ยเยว่จะไม่ปรากฏตัวในช่วงเวลาหนึ่งปีของการฝึกเทพยุทธ์ที่เทือกเขาชางหลางก็ตาม นางก็ได้เฝ้าดูมันอย่างเงียบๆ มิฉะนั้น นางจะไม่สามารถปรากฏตัวทันในช่วงเวลาสำคัญสุดท้าย
ท้ายที่สุด เตี๋ยเยว่ใส่ใจมันเป็นอย่างมาก
ซูสือโม่วจ้องมองไปที่เตี๋ยเยว่อย่างเงียบๆ สายตาเปี่ยมไปด้วยความรุนแรงและค่อนข้างไร้เหตุผล ราวกับว่ามันต้องการจดจำองคาพยพบนใบหน้าของเตี๋ยเยว่พร้อมกับประทับสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างลึกซึ้งในความทรงจำ
"หากท่านต้องการดำเนินการต่อกับการฝึกเทพยุทธ์เซียนและเทพยุทธ์อสูร ท่านจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานมากมายไม่อาจจินตนาการได้ แต่ท่านต้องจำไว้ว่าความทุกข์ทรมานเหล่านี้มีแต่จะทำให้ท่านแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น มีคำกล่าวในพระสูตรอวตฺตสกะของนิกายมหายานซึ่งข้าพเจ้าต้องการจะให้เป็นถ้อยคำก่อนจากแก่ท่านว่า 'เพื่อเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ท่านต้องทำงานบนรากฐานพร้อมกับเต็มใจที่จะรับความยากลำบากและรับใช้ผู้อื่น!' "
จากนั้น เตี๋ยเยว่ก็หันตัวกลับ โบกมือให้ซูสือโม่ว
เตี๋ยเยว่ก้าวออกไปก้าวเล็กๆ และนางก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ ภายใต้สายตาอันแน่วแน่ของซูสือโม่ว ร่างอันสง่างามของนางก็ค่อยๆ หายไปในอากาศ กลายร่างเป็นผีเสื้อที่ร่าเริง พร้อมจันทร์เสี้ยวสองดวงที่สว่างสดใสประทับอยู่บนปีกทั้งคู่
"ข้าพเจ้าทิ้งของขวัญไว้สามชิ้นสำหรับท่าน ของขวัญชิ้นแรกคือรากวิญญาณในร่างกายของท่าน สำหรับขวัญอีกสองชิ้นที่เหลือ สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นประโยชน์กับท่านได้ในอนาคต"
เตี๋ยเยว่กระพือปีกของนางและพื้นที่โดยรอบก็พังทลายลงและกลายเป็นชิ้นส่วน มีรอยแตกเกิดขึ้นขณะที่เกิดความว่างเปล่าอันมืดมิดมองเห็นได้ไม่ชัดเจนในระยะไกล ทำให้เกิดวายุเหน็บหนาวน่าตกตะลึง
ผีเสื้อบินเข้าไปในความมืดพร้อมกับค่อยๆ หายไป
"เตี๋ยเยว่!"
ซูสือโม่ววิ่งไปสองสามก้าวพร้อมกับตะโกนไปในทิศทางที่เตี๋ยเยว่บินไปว่า "ข้าพเจ้าจะไปหาท่าน!"
พื้นที่โดยรอบค่อยๆ กลับมาเป็นปกติพร้อมกับรอยแตกก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน
ในขณะนั้น ได้ยินเสียงมาจากห้วงแห่งความว่างเปล่า
"แน่นอน ข้าพเจ้าจะรอท่าน"
เตี๋ยเยว่แปลงร่างเป็นผีเสื้อแล้วจากไป
สิงนี้เกิดขึ้นเมื่อเตี๋ยเยว่จากไปเท่านั้นและนี่ทำให้ซูสือโม่วตระหนักดีว่ามันได้พัฒนาความผูกพันที่แข็งแกร่งกับการพึ่งพาเตี๋ยเยว่
ซูสือโม่วยืนนิ่งอยู่บนพื้น คิดเกี่ยวกับว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ผ่านมาหนึ่งปี มันจมหายไปอยู่ในความคิด
ตะวันขึ้น ทะลวงเมฆดำทะมึน
โดยไม่รู้ตัว ซูสือโม่วยืนอยู่ใต้ต้นดอกท้อมาทั้งคืน โดยไม่ขยับแม้แต่น้อย
ในที่สุด ซูสือโม่วก็เงยหน้าขึ้น มองไปในระยะไกล ดวงตามันก็กลับมามีสติได้ในที่สุด ปกปิดความเจ็บปวดและความไม่เต็มใจที่จะพรากจากเตี๋ยเยว่ไว้ลึกลงไปในใจ มันหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะหันหลังจากไป
ซูสือโม่วย่างเท้าผ่านที่พักของตระกูลซูพร้อมกับหยุดก้าว
ความจริง ทุกคนในตระกูลซูควรซ่อนอยู่ที่ศาลาเทียนเป่าที่เมืองชางหลาง แต่ตอนนี้ ประตูคฤหาสน์เปิดออกและมันได้ยินเสียงที่ดังมาจากภายในอย่างคลุมเครือ
ซูสือโม่วรู้สึกงุนงงจึงเข้าไปตรวจสอบ
"นายน้อยรองหรือ?"
"นายน้อยรองกลับมาแล้ว!"
ทุกคนในบ้านตระกูลซูรู้สึกดีใจที่ได้เห็นซูสือโม่ว ซูหงออกมาพร้อมกับคนที่เหลือเพื่อต้อนรับซูสือโม่ว
"สือโม่ว เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?"
ซูหงเดิน-ก้าวมาข้างหน้า คว้าไหล่ของซูสือโม่วพร้อมกับตรวจสอบอีกฝ่าย
"ข้าพเจ้าสบายดี" ซูสือโม่วส่ายหน้า ถามว่า "เหตุใดพวกท่านทุกคนไม่อยู่ที่ศาลาเทียนเป่า?"
ซ่งฉีกล่าวว่า "เรากำลังจะออกจากเมืองน้อยผิงหยางในขณะที่มีผู้หญิงชุดแดงเข้ามาหยุดเราทันที"
ขณะที่ซ่งฉีนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันยังคงไม่สามารถซ่อนความตกตะลึงที่ตนเองรู้สึกในตอนนั้นได้ "ท่านหญิงนั้นแข็งแกร่งมาก นางไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากวัตถุภายนอกใดๆ นางก็สามารถบินขึ้นไปในอากาศได้ อย่างน้อยนางจะต้องเป็นผู้ฝึกเทพยุทธ์แก่นทองคำ! นางบอกพวกเราทุกคนให้รอนาง โดยบอกว่านางจะนำท่านกลับมา"
"และนางก็หายไปตรงหน้าพวกเรา!"
ขณะที่พูดถึงผู้หญิงคนนั้น ทุกคนในตระกูลซูไม่สามารถซ่อนสีหน้าที่ตะลึงงันไว้ได้
ซูสือโม่วก้มหน้าลง ไม่มีใครสังเกตเห็นความเหงาและความเศร้าในดวงตาของมัน
"สือโม่ว ผู้หญิงคนนั้นเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือ?"
ทุกคนในตระกูลซูสามารถบอกได้ว่าซูสือโม่วได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด มันเปลี่ยนจากปัญญาชนผู้อ่อนแอเป็นนักรบที่สามารถสังหารนักรบขอบเขตสกัดปราณได้ นั่นคงเป็นเพราะหญิงสาวปริศนา
"นางไม่ใช่อาจารย์ของข้าพเจ้า"
ซูสือโม่วส่ายหน้า
แม้ว่าเตี๋ยเยว่จะสอนการฝึกเทพยุทธ์อสูรให้มัน ซูสือโม่วไม่เคยปฏิบัติต่อเตี๋ยเยว่ราวกับอาจารย์
"ท่านหญิงนั้นอยู่ไหน? เราต้องแสดงความขอบคุณนาง เราต้องไม่ละเลยนาง" ซูหงกล่าวต่อไป
"นางจากไปแล้ว"
ซูสือโม่วกล่าวเบาๆ
ทุกคนต่างเงียบ
ซูสือโม่วฟื้นตัวแล้วยิ้ม "พี่ชาย ท่านมีแผนอะไรต่อไป?"
สถานการณ์ของตระกูลซูนั้นยุ่งยาก พวกมันไม่สามารถไปที่แคว้นเอี้ย และไม่สามารถอยู่ในแคว้นฉีได้ พวกมันทำได้เพียงแค่จากบ้านเกิดไปอยู่รัฐอื่นเท่านั้น
"ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เช่นกัน"
ซูหงถอนหายใจเบาๆ มองไปทางแคว้นเอี้ยที่อยู่ไกลออกไปขณะที่กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "ข้าพเจ้ายังรับไม่ได้ที่จะจากไป"
ในขณะนั้น ทหารอาชาหุ้มเกราะดำควบอาชามาจากระยะไกลพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นก่อนที่จะมาถึงด้วยซ้ำไป "รายงาน นายน้อย กองทัพแคว้นเอี้ยใกล้เข้ามาแล้ว มีคนเหล่านั้นอย่างน้อยหลายแสนคน ในนั้นมีผู้ฝึกเทพยุทธ์ด้วยเช่นกัน!"