ตอนที่แล้วChapter 640 ความสิ้นหวังของทายาทสายตรงตระกูลมู่หรง.
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 642 ศิษย์พี่หญิงใหญ่กลับมา.

Chapter 641 หอคอยเก็บประสบการณ์ขั้นที่สี่และห้า.


ในตอนบ่าย

ตระกูลมู่หลงก็ได้รับจดหมายจากนิกายนิรันดร.

เนื้อหาคือทายาททั้งแปดของพวกเขาท้าทายล้มเหลว ถูกจับ โปรดนำค่าไถ่ 200,000 ศิลาวิญญาณมาไถ่ตัวกลับ.

ดูไม่ต่างจากการจับตัวเรียกค่าไถ่ในโลกเดิมเขาเลยแม้แต่น้อย และเรื่องนี้คงมีเพียงแค่จุนซ่างเซียวที่กล้าทำ.

เพราะว่าสำหรับนิกายฝ่ายธรรมมะ ปรกติแล้วจะห่วงหน้าตาตัวเองเป็นอย่างมาก.

หนำซ้ำ.

นิกายนิรันดรที่หาเรื่องไปทั่ว ไม่ได้เหมือนกับนิกายธรรมมะเลย ดูแล้วไม่ต่างจากนิกายปิศาจเท่าไหร่นัก.

อย่างไรก็ตาม.

จะบอกว่าเป็นนิกายปิศาจก็ไม่ถูกต้องนัก.

ในอดีตนั้นเมื่อครั้งมนทลเจิ้นหยางรุกรานดินแดน พวกเขาก็ก้าวออกมาปกป้องมนทลชิงหยางเต็มกำลัง ปกป้องประชาชนจากเพลิงสงคราม เรื่องเช่นนี้ไม่มีทางที่นิกายปิศาจจะกระทำอย่างแน่นอน.

ดังนั้นใต้หล้าจึงมองว่านิกายนิรันดร์เป็นนิกายกึ่งปิศาจ.

อย่างไรก็ตามจุนซ่างเซียวหาได้สนใจ เขาจะกระทำตามที่ตัวเองปรารถนาเท่านั้น.

“โครม!”

ประมุขตระกูลมู่หรงที่ตบโต๊ะเสียงดัง “ไอ้พวกขยะ ดูเหมือนว่าจะถูกตามใจมากไปแล้ว!”

200,000  ศิลาวิญญาณ.

สำหรับตระกูลหนึ่ง ๆ นับเป็นจำนวนสูงอย่างแน่นอน.

อาวุโสใหญ่เอ่ยด้วยความโกรธ “ลูกหลานพวกเราไปท้าประลอง ถึงแม้นว่าจะพ่ายแพ้แต่ไม่ควรจะถูกจับ นิกายนิรันดรต้องการขู่กระโชกพวกเราชัด ๆ!”

“เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถทนได้!”

อาวุโสสองที่ยืนขึ้น กัดฟันแน่น “ประมุข เหล่าฟู่ยินดีไปยังนิกายนิรันดรไปนำพวกเขากลับมา หากพวกเขาไม่ยอมก็พร้อมที่จะประกาศสงครามทันที!”

“ประกาศสงคราม?”

ประมุขตระกูลมู่หรงที่แค่นเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าตระกูลมู่หรงแข็งแกร่งกว่านิกายโม่ซาอย่างงั้นรึ?”

“เรื่องนี้.....”

“แม้แต่หอเทพสังหารเจ้าคิดว่าเทียบได้หรือไม่?”

อาวุโสที่เงียบและนั่งลง.

ประมุขมู่หรงเอ่ย “สองนิกายปิศาจระดับสามยังได้แต่กล้ำกลืนส่งศิลาวิญญาณไปแลกตัวคนของพวกเขา หากตระกูลมู่หรงประกาศสงคราม ไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นการพยายามนำความอับอายมาให้กับตัวเอง!”

เรื่องนี้คงทำได้แค่โทษทายาทของพวกเขาที่สมองหมู แต่ประมุขของพวกเขานั้นเฉลียวฉลาด ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางรอดจากโลกที่บ้าคลั่งแห่งนี้ได้.

ประมุขมู่หรงนั้นเป็นคนที่ฉลาดเป็นอย่างมาก.

ต้องไม่ลืมว่าสัญญาสามปีนั้นใกล้มาถึงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่นั่งมองเงียบ ๆ พวกเขาก็พ่ายแพ้ตัวเองไปแล้ว ต้องไม่ลืมว่านิกายนิรันดรนั้นกำลังท้าทายนิกายไป่เหอเซิ่งอยู่.

ทว่า เหล่าลูกหลานของเขานั้นกับไร้สมอง มองอะไรไม่เห็น กับหาญกล้าแส่หาเรื่องใส่ตัว!

“ประมุข!”

อาวุโสใหญ่เอ่ย “ตอนนี้ต้องทำอย่างไร?”

“แล้วจะทำอะไรได้อีก!”

ประมุขมู่หรงที่รู้สึกโลหิตไหลซิบ ๆ ออกมาจากในหัวใจ “รีบไปเตรียมศิลาวิญญาณ ไปไถ่พวกขยะนั่นคืนมาสิ!”

มู่หรงเส้าหลินและทายาทสายตรงเหล่านี้ หากเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าไม่สามารถที่จะยอมรับความสูญเสียได้.

ไม่ว่าอย่างไร อนาคตของตระกูล ย่อมต้องฝากไว้กับคนรุ่นหลัง หากว่าทุกคนตกตายหายไป ต้องบอกเลยว่าอนาคตตระกูลมู่หรงย่อมตกต่ำ.

ดังนั้น ถึงแม้นจะรู้ว่าจุนซ่างเซียวขู่กรรโชก ประมุขมู่หรงก็ทำได้แค่ต้องปฏิบัติตาม.

......

เชิงเขา นิกายนิรันดร.

เหล่าทายาทของตระกูลมู่หรงที่ก้าวตามอาวุโสใหญ่ด้วยท่าทางหวาดหวั่น ใบหน้าเขียวช้ำไปหมด.

พวกเขาที่ถูกไถ่ตัวด้วยศิลาวิญญาณ 200,000

อย่างไรก็ตาม.

ไม่เพียงแค่ร่างกายที่ได้รับบอบช้ำ ทว่าจิตใจของพวกเขาเองก็ถูกประทับด้วยความหวาดกลัวลึกฝังแน่นเช่นกัน.

ที่น่าสงสารที่สุดคงจะเป็นมู่หรงเส้าหลิน.

เขาที่ถูกเย่ซิงเฉิน กระหน่ำซ้อมอย่างหนัก จนแทบกลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว.

หลังจากกลับไป เขาที่คอยละเมอเพ้อผวา กุมศีรษะ ร้องขอความเมตตาด้วยความหวาดกลัว “อย่าตีข้า ได้โปรดอย่าทำร้ายข้า!”

เฮ้อ.

ในอนาคตไม่ต้องบอกเลยว่าจะเป็นเช่นไร.

จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่ในห้องโถง เขาที่ถือแหวนมิติหลายวง พร้อมกับเผยยิ้ม “ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่น้อย มอบศิลาวิญญาณมาให้เปิ่นจั้วเลย ตระกูลมู่หรงนับว่าเป็นคนดีจริง ๆ.”

ได้รับศิลาวิญญาณ 200,000 ง่าย ๆ อร่อยเหาะเลย.

ลี่ลั่วฉิวเอ่ย “เมื่อเร็ว ๆ นี้ทั่วยุทธภพ ได้พูดคุยเรื่องที่นิกายนิรันดรท้าประลองนิกายไป่เหอเซิ่งไม่หยุดหย่อน.”

จุนซ่างเซียวที่สีคางไปมา “น่าจะมีคนจงใจปล่อยข่าว.”

สัญญาสามปีนั้นเป็นสัญญาส่วนตัว ไม่ได้เผยต่อคนด้านนอก ตอนนี้ข่าวกระจายออกไปอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนว่าย่อมเป็นฝีมือของใครสักคนที่กำลังโหมปล่อยข่าวอยู่ลับ ๆ.

“เป็นไปได้ว่าคนของนิกายไป่เหอเซิ่งปล่อยข่าว ต้องการให้โลกรู้ว่า นิกายนิรันดรของพวกเราไม่ประมานตนหรือไม่?.”

จุนซ่างเซียวกล่าวเสียงเบา.

ลี่ลั่วฉิวทันใดนั้นได้ยินเสียงผ่านวิญญาณถูกส่งมา.

นางที่เอ่ยออกมาเล็กน้อย “เจ้านิกาย ข้าเพิ่งได้รับข่าวมา ในเวลานี้มีการเปิดเดิมพันขึ้นด้วย หากเดิมพันนิกายนิรันดรชนะ แทงหนึ่งจ่ายหนึ่งร้อย นิกายไป่เหอเซิ่งชนะ แทงสิบจ่ายหนึ่ง.”

“...”

จุนซ่างเซียวเอย “ดูแคลนกันอย่างงั้นรึ?!”

นิกายระดับสองนั้นแข็งแกร่งมาก จนนิกายนิรันดรไม่สามารถเทียบได้.

ฝ่ายหนึ่งแทงสิบจ่ายหนึ่ง กับอีกฝ่าย แทงหนึ่งจ่ายหนึ่งร้อย มันแตกต่างกันขนาดนี้เลยรึ?

ลี่ลั่วฉิวเอ่ย “ได้ยินมาว่า นิกายระดับสองและสามต่างก็เดินทางมายังนิกายไป่เหอเซิ่ง เตรียมพร้อมที่จะเป็นพยาน.”

“ขอรายระเอียด.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.

ลี่ลั่วฉิวนิ่งและเอ่ยออกมาว่า “มีนิกายระดับสี่ราว ๆ 20  นิกายระดับสาม 5 นิกายระดับสอง 2 เป็นนิกายเลี่ยหยางเซิ่งและนิกายอี้เจี้ยนเซิ่ง.”

จุนซ่างเซียวสีคางไปมา “เปิ่นจั้วได้ไถ่เงินคนของนิกายเลี่ยหยางเซิ่งที่จังหวัดหนานหวงมาไม่น้อย พวกเขาที่มาครั้งนี้ เกรงว่าคงต้องการให้นิกายนิรันดรขายหน้าเป็นแน่.”

ลี่ลั่วฉิวเอ่ย “ส่วนนิกายอี้เจี้ยนเซิ่งและนิกายไป่เหอเซิ่งนั้นเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน.”

“งั้นรึ?”

จุนซ่างเซียวที่เผยความประหลาดใจ.

นิกายอี้เจี้ยนเซิ่งในทวีปชิงหยุน คือนิกายที่ก้าวไปในวิถีกระบี่ เป็นนิกายที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก.

แน่นอน.

ไม่ใช่ศิษย์ทุกคนจะเป็นมือกระบี่ ต้องไม่ลืมว่า คนที่มีพรสวรรค์กระบี่นั้นมีน้อยมาก.

“เปิ่นจั้วนำศิษย์ไปท้าทายนิกายไป่เหอเซิ่ง ถึงทำให้พวกบรรพชนกระบี่นิกายระดับสองถึงกับทนไม่ได้เลยรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ยเสียงเบา.

ลี่ลั่วฉิวเอ่ย “ยากจะกล่าว.”

จุนซ่างเซียวที่เคาะนิ้วไปที่โต๊ะ “การท้าทายนิกายระดับสอง ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจแล้ว.”

......

“กึก ซี่ กึก ซี่!”

เสียงของกระดูกที่ลั่นเปาะแปะ ราวกับจะระเบิดหลุดออกมา.

เซียวจุ้ยจื่อที่กำหมัดแน่น ถึงแม้นว่าร่างกายจะเจ็บไปทั่วร่าง แต่ก็ยังคงกัดฟันพร้อมกับคำรามออกมาเสียงแหบแห้ง.

ผ่านไปราว ๆ ครึ่งชั่วยาม.

กล้ามเนื้อและกระดูกที่ถูกกลั่นไปจนถึงขั้นสุด ร่างกายของเขาที่ทรุดนอนอย่างหมดแรงทันที.

เขากำลังทำอะไร? ฝึกฝนอยู่ในหอเก็บประสบการณ์นั่นเอง.

หอประสบการณ์ชั้นใหน? ชั้นที่สี่นั่นเอง.

ชั้นแรกกลั่นกายเนื้อ ชั้นที่สองยกระดับท่าเท้า ชั้นที่สามกลั่นพลังวิญญาณ ชั้นที่สี่กลั่นกายา

ซูเซียวโม่และหลี่เฟย ที่ไปยังชั้นหนึ่ง สองสาม หากแต่ชั้นที่สี่ยังไม่คิดที่จะขึ้นไป.

อะไรที่เรียกว่ากลั่นกายา.

นี่คือการย้อนกลับและตั้งต้นขึ้นใหม่ เพื่อให้แข็งแกร่งและทรงประสิทธิภาพ.

กระบวนการกลั่นกายานั้นจะต้องทำลายกระดูกทั่วร่าง แล้วสร้างขึ้นมา ทำให้เกิดความเจ็บปวดไม่ต่างจากตาย.

หลังจากที่เซียวจุ้ยจื่อปรับตัวในชั้นหนึ่งสองสามได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเดือนที่แล้วเขาได้ขึ้นไปชั้นสี่ หลังจากกลั่นร่างกายแล้วประสิทธิ์ภาพและความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า.

เพราะว่าสัญญาสามปีที่ใกล้เข้ามาแล้ว เขาที่ฝึกฝนหนักขึ้นไปอีก ดังนั้นเขาจึงต้องการกลั่นกายาและยกระดับให้สูงขึ้นไปอีก.

แม้นว่าพรสวรรค์เขาจะคืนกลับมาแล้ว แม้แต่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ทว่าเซียวจุ้ยจื่อ ก็ยกระดับร่างกายให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ยกระดับตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีก.

กล่าวได้ว่าเขาก้าวเดินไปยังเส้นทางกลั่นร่างกายโดยสมบูรณ์!

“กึก.”

ในเวลานั้น เย่ซิงเฉินที่กลั่นร่างกายในชั้นที่สี่ เขาก็ก้าวขึ้นไปยังขั้นที่ห้า พร้อมกับรำพึง “ไม่เพียงแค่ต้องกลั่นกายายังต้องกลั่นดวงวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้น.”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด