ตอนที่แล้วChapter 482 สงครามกำลังจะมา.
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 484 หนึ่งต่อสาม.

Chapter 483 กษัตริย์ยุทธ์รึ? สังหารทันที


ไม่กี่วันหลังจากนั้น.

หนึ่งในแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของจังหวัดซีเหนียนหยางได้นำกองกำลังพยัคฆ์ขาว มุ่งตรงมายังเมืองชิงหยาง.

ทัพ 300,000 คนบุกดินแดนเล็ก ๆ นี่หมายความว่าอย่างไร?

จากบนกำแพงเมืองชิงหยางจ้องมองเห็นแต่ไกล ฝุ่นผงควันที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว.

เหล่าทหารที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาพร้อมกันของคนกลุ่มใหญ่ ทำให้ท้องฟ้าปั่นป่วนปฐพีสะท้านสวรรค์สะเทือน.

เหล่าประชาชนในเมือง แม้นว่าจะไม่ได้มองเห็นทัพใหญ่ยกมา ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นทำให้พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือบ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว.

กับกองทัพที่แข็งแกร่ง ปุถุชนทั่วไปก็ไม่ต่างกับต้นหญ้า.

แม้แต่เซี่ยกวนคุนที่อยู่ป้อมกำแพงเมือง มองเห็นทหารมากมาย ก็อดกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบากเช่นกัน.

หากไม่มีเจ้าสำนักจุนที่รับผิดชอบปกป้องเมือง เขาคงไม่มีความกล้าพอ ที่จะเผชิญหน้ากับทัพขนาดใหญ่เช่นนี้แน่!

เสวี๋ยเหรินกุยที่ใบหน้าไร้อารมณ์ไม่แยแส.

เขาที่เป็นแม่ทัพห้าดาว อย่าว่าแต่ทหาร 300,000 เลย ถึงจะเป็นหนึ่งล้านเขาก็เคยเห็นมาแล้ว.

“ฮึ ฮึ.”

ซูเซียวโม่ที่นั่งอยู่บนกำแพงเมือง เผยยิ้มพลายออกมา.“ดูน่าเกรงขามจริง ๆ.”

“ทหารมากมายขนาดนี้ เหมาะที่จะซ้อมท่าเตะของข้า.”

ลี่เฟยที่ดวงตาเป็นประกายดวงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ต้องการที่จะเข้าปะทะ เพื่อทดสอบทักษะเท้าทองคำของเขาแล้ว!

“กึก ซี่!”

เถี่ยนซีที่กำหมัดแน่น เอ่ยออกมาว่า “ข้ารู้สึกอดใจไม่ไหวเล็กน้อย!”

สามเดือน พวกเขาที่ใช้ศิลาวิญญาณและเม็ดยารวมวิญญาณบ่มเพาะ ทำให้พลังบ่มเพาะยกระดับอย่างก้าวกระโดด เวลานี้พวกเขาต้องการทดสอบพลังกับทหารมนทลเจิ้นหยาง เป็นอย่างมาก!

เสวียนเหริ่นกุยที่ไม่หวาดกลัวเพราะว่าเขามีประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา.

ส่วนซูเซียวโม่และลี่เฟยตลอดจนศิษย์อีกหลายคนที่ไม่หวั่นเกรง เพราะพวกเขาเป็นเหมือนกระทิงหนุ่ม ที่ต้องการพิสูจน์พลังของตัวเอง.

พวกเขาคือศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้ง ที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวไม่ว่าจะยืนอยู่ต่อภัยใด ๆ ที่กล้ำกรายเข้ามา.

บนป้อมกำแพงเมือง เวลานี้มี ศิษย์สายใน และสายนอก ยกตัวอย่าง ซ่งเสวียนโจว หลินเจียงหาง ลี่ซางเทียน ซุนปู่เจี้ยน ซือหม่าจงต้า เป็นต้น.

เหล่าศิษย์ที่ฝึกฝนบ่มเพาะอย่างเอาเป็นเอาตายในสำนัก ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเขาจะได้เผยพลังของตัวเองออกมา.

เหออู๋ตี้เองก็มาด้วย.

ในเวลานี้ เขาก้าวไปถึงระดับอาจารย์ยุทธ์ขั้นที่หกแล้ว.

แม้นว่าจะถูกลบความทรงจำสามครั้ง เสียเวลาบ่มเพาะสามหน หากแต่เพียงแค่หนึ่งเดือนกับก้าวมาถึงระดับนี้ได้ คู่ควรที่จะเป็นศิษย์ปิดประตูของสำนักไท่กู่เจิ้งจริง ๆ.

ส่วนเจ้าสำนักจุนที่เวลานี้ที่นอนอยู่บนหลังคาป้อมปราการจดจ้องมองลงมาด้านล่าง มุมปากเผยยิ้มอย่างงดงาม.

“ไม่คาดคิดเลยว่ามนทลเจิ้นหยางจะส่งคนมามากขนาดนี้.”

เห็นกองทัพขนาดใหญ่ที่ยกทัพมาในคราวนี้ จางซุนฟางฮัวที่ขมวดคิ้วไปมา.

ในความเห็นของนาง มนทลเจิ้นหยางยกทัพใหญ่มาก ในการรุกรานมนทลชิงหยาง

เหลิ่งซิงเยว่ที่เอ่ยออกมาเบา ๆ “พวกเราสามารถรั้งสองนิกายเอาไว้ได้ไม่ยากนัก ทว่าสำนักไท่กู่เจิ้งที่รับมือกับทัพที่ใหญ่โตเช่นนี้คงลำบากแน่.”

ซีจิงเสวียนที่เผยยิ้ม “อาวุโสเหลิ่งไม่ควรจะสรุปผลเร็วไป.”

แม้นว่า ด้วยจำนวนสำนักไท่กู่เจิ้งกับทัพมนทลเจิ้นหยางนั้นจะแตกต่างกันมากมาย ทว่านางกับมั่นใจในตัวของจุนซ่างเซียวเป็นอย่างมาก.

......

ที่ด้านนอกเมือง กองกำลังสวมเกราะที่นำโดยไป๋รุ่ยหู ขี่ม้าตัวใหญ่ยักษ์ นำหน้ากองทหาร แววตาที่แหลมคมของเขากำลังจดจ้องมองออกไปด้านหน้า.

กองกำลังพยัคฆ์ขาว ที่เป็นหนึ่งในสิบทัพที่มีเชื่อเสียงของจังหวัดซีเหนียนหยาง เป็นทหารที่ผ่านการรบมานับไม่ถ้วน.

ไป๋รุ่ยหู่ที่จ้องมองศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งที่ประจำอยู่บนกำแพงเมือง ทำให้เขาแค่นเสียงเหยียดหยัน “คนพวกนี้นะรึ? ปกป้องเมือง ไม่แม้แต่สนใจกองกำลังพยัคฆ์ขาวของพวกเราเลยรึ?”

“แม่ทัพเถา”

แม่ทัพหนุ่มที่เอ่ยออกมาเบา ๆ “คาดไม่ถึงว่าจะพ่ายแพ้ให้กับเมืองชั้นต่ำเช่นนี้ แม้แต่ตัวเองก็ถูกจับกลายเป็นเชลย.”

“ในความเห็นของข้า.”

แม่ทัพอีกคนที่เอ่ยออกมาว่า “แม่ทัพเถาเกรงว่าคงจะประมาทจนถูกจับตัวไป ทำให้ทัพของเขาต้องยอมจำนน.”

เถาหยวนที่เป็นแม่ทัพในกองกำลังพยัคฆ์ขาวที่หนุ่มที่สุด แข็งแกร่งที่สุด แน่นอนย่อมทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ.

ตอนนี้เขาถูกจับตัว แม้แต่ข่าวก็ไม่มี เป็นธรรมดาที่ทำให้คนอื่น ๆ ดูลังเลที่จะบุกเช่นกัน.

ไป๋รุ่ยหู่ ที่รู้ว่าเถาหยวนพ่ายแพ้และถูกจับ แม้ว่าใบหน้าจะโกรธเกรี้ยว แต่ในใจกับผ่อนคลาย.

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้พิทักษ์มนทลเจิ้นหยางที่ชื่นชมคนผู้นี้เป็นอย่างมาก.

ทำให้เขาเป็นกังวล ว่าตำแหน่งของตัวเองจะสั่นคลอน.

ตอนนี้ดีแล้ว อีกฝ่ายที่พ่ายแพ้ กลายเป็นนักโทษ ถูกคุมขัง เกรงว่าผู้พิทักษ์คงจะไม่ให้ค่าเขาเรียบร้อยแล้ว.

เป็นความจริง.

ดั่งที่เสวี๋ยเหริ่นกุยเอ่ย ไป่รุ่ยหู่นั้นเป็นคนที่ใจแคบเป็นอย่างมาก!

เถาหยวนนั้นเป็นแม่ทัพรุ่นใหม่ที่มาแรงมาก ด้วยพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม หากไม่พ่ายแพ้ให้กับจุนซ่างเซียว ในอนาคตวันข้างหน้าจะต้องก้าวข้ามไป่รุ่ยหู่ได้อย่างแน่นอน.

“แม่ทัพไป๋!”

อาวุโสสามนิกายหลิงหยวนที่ก้าวออกมา แววตาที่เต็มไปด้วยความจริงจัง “บนป้อมปราการนั้น มีคนของวังเมี่ยวฮัวด้วย!”

ไป่รุ่ยหู่ที่เผยท่าทางประหลาดใจ “นิกายระดับสี่มนทลเทียนหยิงนะรึ? แล้วมาอยู่ในเมืองชิงหยางได้อย่างไร?”

อาวุโสสาม “บางทีคงจะถูกเชิญมาช่วยมนทลชิงหยาง.”

“ถุยย.”

ไป่รุ่ยหู่แค่นเสียงเย็นชา “วังเมี่ยวฮัวก้าวเข้าร่วมสงครามฆราวาสตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เอิ่ม! กล่าวเช่นนี้.

ไม่คิดถึงเรื่องที่นิกายหลิงหยวนและวังต้วนสุ่ยเข้าร่วมสงครามฆราวาสนเลยรึ?!

อาวุโสสามกล่าวอย่างเคร่งขรึม “วังเมี่ยวฮัวนั้นมีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แม้นว่าศิษย์พวกเขาจะเป็นสตรีที่งดงาม แต่กับเป็นยอดฝีมือที่พิเศษเป็นอย่างมาก.”

แม้นว่านิกายหลิงหยวนและวังต้วนสุ่ยจะมีระดับเดียวกัน ทว่าความแข็งแกร่งโดยรวมกับไม่สามารถเทียบกับอีกฝ่ายได้.

หนำซ้ำ.

ที่ยืนข้างซีจิงเสวียน ยังเป็นกษัตริย์ยุทธ์ขั้นปลายสองคนอีกด้วย!

ส่วนกษัตริย์ยุทธ์นิกายหลิงหยวนและวังต้วนสุ่ยส่งมา หากพวกเขากล้าบุกเมือง เกรงว่าคงตกตายไปก่อนที่จะลงมือแน่!

มนทลเจิ้นหยาง ส่งยอดฝีมือจากสองนิกายมาด้วย ต้องการเผยให้อีกฝ่ายเห็นถึงพลังที่แข็งแกร่ง ท้ายที่สุดแล้ว กับกลายเป็นพวกเขาที่ไม่สามารถที่จะโอ้อวดเผยความน่าเกรงขามออกมาได้เลย.

ไป่รุ่ยหู่นั้นหาได้สนใจ.

ยอดฝีมือกษัตริย์ยุทธ์ แม้นว่าจะน่าเกรงขาม ทว่าสุดท้ายแล้วการจะยึดครองเมืองชิงหยางและมนทลชิงหยางนั้น ก็ขึ้นอยู่กับกองทัพของเขาเท่านั้น.

“เจ้าเมืองเซี่ย!”

เขาที่ผสานพลังวิญญาณกับคลื่นเสียงตะโกนดังลั่น “คิดถึงประชาชนในเมืองของตัวเอง ยอมแพ้อย่าได้ขัดขืน!”

ฟิ้ว---

กล่าวจบ ริ้วแสงยาวที่พุ่งมาด้วยความเร็ว.

อาวุโสสี่นิกายหลิงหยวนที่มองเห็น สร้างม่านพลังวิญญาณขึ้นปกป้องกระสุนเอาไว้ทันที.

นี่มันอาวุธลับอะไรกัน!

อาวุโสสี่ที่ร่อนลงบนพื้น ก่อนที่จะยืนให้มั่นบนพื้น แววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ.

หากไม่เพราะว่าเขามีสัมผัสวิญญาณ ไม่มีทางที่จะจับตามองได้ทัน ความเร็วของอาวุธลับนี้เร็วเกินจะมองด้วยตา ทำได้แค่สร้างม่านพลังวิญญาณขึ้นป้องกันเท่านั้น.

เซียวจุ้ยจื่อที่เป็นคนยิงสไนเปิล AWM ได้แต่ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้.

ต่อหน้ากษัตริย์ยุทธ์ ยากจะสร้างบาดแผลให้กับใครได้.

จุนซ่างเซียวที่ยืนขึ้นจากบนหลังคา เผยยิ้ม “พวกเจ้าฟังให้ดี เมืองชิงหยางนั้นถูกปกป้องด้วยสำนักไท่กู่เจิ้งของข้าแล้วในเวลานี้.”

สำนักไท่กู่เจิ้ง?

ไป่รุ่ยหู่และเหล่าแม่ทัพคนอื่น ๆ ที่แค่นเสียงดูแคลน.

อาวุโสสี่นิกายหลิงหยวนที่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สำนักไท่กู่เจิ้งอันกระจ้อยร่อย กล้าที่จะเข้าร่วมสงครามฆราวาส น่าขันจริง ๆ.”

จุนซ่างเซียวที่ใช้ท่าเท้าเหยียบเมฆาร่อนลงมายืนอยู่ต่อหน้าทัพทั้ง 300,000 ก่อนจะชี้ไปยังกษัตริย์ยุทธ์คนดังกล่าว “ไอ้แก่ เจ้าดูแคลนสำนักไท่กู่เจิ้งของข้า มา มาประลองกับเปิ่นจั้วสักหน่อยเป็นไง!”

คน ๆ เดียว ต่อหน้าผู้คนมากมาย กล้าออกมายืนประลอง ช่างเต็มไปด้วยความอหังการจริง ๆ!

อาวุโสสี่นิกายหลิงหยวน กล่าวหยัน “เปิ่นจั้ว? อ้อ คงจะเป็นเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้ง จุนซ่างเซียวอย่างงั้นรึ?”

กล่าวจบใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนเป็นซับซ้อนทันที เพราะว่าผู้เยาว์ด้านหน้ากลิ่นอายที่ปะทุออกมา นั้นแผ่แรงกดดันมหาศาล กดทับลงมายังร่างของเขา!

อาวุโสสี่ต้องการจะหลบ ทว่าด้วยอำนาจกระบี่ของวิชาลับเทพกระบี่เหมันตร์ ทำให้ร่างกายของเขาเคลื่อนที่ได้อย่างยากลำบาก ราวกับอยู่ในสนามพลังที่รุนแรง จนแทบจะขยับไม่ได้!

“ไอ้แก่.”

จุนซ่างเซียวที่ยืนมือออกไป ปรากฏแสงสีแดงชาตขึ้นที่นิ้วมือ พร้อมกับแค่นเสียงที่เย็นชาดังขึ้น “รับชะตากรรมที่บังอาจดูแคลนสำนักไท่กู่เจิ้งของข้าซะ.”

ฟิ้ว----

แสงเจ็ดสีทำลายล้างที่ระเบิดพุ่งออกไป กลายเป็นลำแสงที่ร้ายกาจเป็นอย่างมาก!

“ไม่......”

อาวุโสสี่นิกายหลิงชวนที่ใบหน้าเปลี่ยนสีตื่นตะลึง.

พรึด ซี่!

ทว่ายังอุทานออกมาไม่จบด้วยซ้ำ หน้าอกของเขาก็ถูกทะลวงด้วยลำแสงสีชาติ ทำลายจิตใจและวิญญาณของเขา ดวงตาของเขากลายเป็นไร้ประกาย หายไปทันที.

จวงซุนฟางฮัวและเหลิงซิงเยว่ที่เผยแววตาตื่นตะลึงเหลือเชื่อออกมา ไป๋รุ่ยหู่และเหล่ายอดฝีมือของนิกายทั้งสองเองก็ดวงตาเบิกกว้างกลมโต.

กษัตริย์ยุทธ์ขั้นที่สอง!

นี่เขา...สังหารทันทีเลยรึ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด