ตอนที่แล้วตอนที่ 110 กฎที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 112 วิกฤตที่ใกล้เข้ามา

ตอนที่ 111 แผนการณ์และระดับเทพเจ้า


“แน่ใจนะว่าท่านต้องการแบบนี้ เราอาจกำลังหาเรื่องใส่ตัวอยู่ก็ได้”

โอเพอทีสมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงจันทร์ขนาดยักษ์กำลังลอยอยู่เหนือคฤหาสน์ขนาดห้าร้อยตารางเมตร สิ่งนี้เป็นพลังอำนาจของวัตถุเวทมนตร์ที่เกลเลิร์ตครอบครองอยู่ มันไม่ได้แสดงภาพลักษณ์นี้ต่อคนนอก มีเพียงเหล่าผู้ที่ได้รับคำสาปของผีดูดเลือดเท่านั้นที่มองเห็นได้

“ช่วยไม่ได้ ราด็อทตายแล้ว มันดังกัสก็ไม่ใช่คนของเราอีก แผนยึดเฮอราบอสจากภายในของเราล่มไม่เป็นท่า หากพระเมสสิยาห์รู้เรื่องนี้พวกเราจะตายกันหมด”

นิโคลัสนั่งห่างจากหน้าต่างที่โอเพอทีสยืนไม่ไกลบนตักของเขามีร่างขาวเนียนของพระคาร์ดินัลอูกุสแตงนอนหลับตาอยู่ ไม่มีใครรู้ว่านักบวชคนนี้ตายแล้วหรือแค่หลับไป

“พ่อมดคนนั้นเป็นความหวังเดียวของเราโอเพอทีส เจ้าไม่มีทางเลือก”

เกลเลิร์ตยังเป็นผีดูดเลือดที่ซีดเซียวคนเดิม แต่การใช้พลังของวัตถุเวทมนตร์เพื่อลบล้างผลของคฑาแห่งเอเววิสดูเหมือนจะทำให้เขาอ่อนเพลียอยู่บ้าง

“หมายความว่ายังไง? เขาเป็นความหวังของเรา? มันเพียงพอที่จะให้ข้าเสี่ยงชีวิตหรือ?”

โอเพอทีสยังคงดื้อดึง ตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่กับออสบอร์นมา ทำให้แวมไพร์ระดับสูงขั้นกลางคนนี้อดหวาดเกรงไม่ได้ ตัวตนของพ่อมดสีเงินนั้นลึกลับจนเกินไป

“เจ้าไม่เข้าใจโอเพอทีส พ่อมดสีเงินถูกกล่าวว่าเป็นผู้ทรงพลังจากดินแดนต้นกำเนิด เขาคือสายสัมพันธ์เดียวที่เชื่อมระหว่างโลกที่ใกล้แตกดับนี้กับปฐมดินแดนที่เหล่าทวยเทพย่างกลายไปทั่วดุจปุถุชนธรรมดา สิ่งที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้อาจเป็นสิ่งที่คนทั้งมหาทวีปใฝ่หา ลองนึกดูสิพระเมสสิยาห์จะฆ่าเราแน่เมื่อแผนการสร้างความแตกแยกของเราไม่สำเร็จ แต่ถ้าเราบอกว่าเราจำเป็นต้องละทิ้งแผนการณ์เดิมและมุ่งเน้นไปที่ตัวแปรตัวใหม่ที่อาจมอบผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมให้เราล่ะ เราไม่ได้ทำแผนพังแต่เราแค่เปลี่ยนแผนเท่านั้น”

เกลเลิร์ตยังดูสงบนิ่งเหมือนปกติ เพียงแต่แววตาตอนที่พูดถึงพระเมสสิยาห์นั้นดูหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย

“แผนนั่นก็คือการแทรกซึมอยู่ใกล้กับพ่อมดสีเงิน ผู้ทรงพลังที่เชื่อมโยงกับดินแดนต้นกำเนิดงั้นรึ?”

โอเพอทีสยังคงไม่เข้าใจในความคิดของเกลเลิร์ต

“ถูกต้อง พระเมสสิยาห์ปราถนาสิ่งใด?”

เกลเลิร์ตตั้งคำถาม โอเพอทีสทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา

“เฮออราบอส?”

“ไม่เลย นั่นเป็นเพียงหนึ่งในขั้นบันไดที่นำไปสู่แผนการณ์ที่แท้จริง พระองค์ปราถนาหนทางไปสู่ความเป็นพระเจ้าต่างหาก”

นิโคลัสเริ่มจะรำคาญโอเพอทีสเล็กน้อย คนๆนี้บางครั้งก็ฉลาดบางครั้งก็โง่จนน่าปวดหัว

“จริงด้วย”

โอเพอทีสหันหน้ากลับมาคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง เขากล่าวต่ออย่างรีบร้อน เหมือนกลัวว่าจะลืมเรื่องที่ตนพึ่งนึกได้ไป

“และพ่อมดสีเงินก็คือหนทางเดียวที่เชื่อมโยงไปถึงดินแดนต้นกำเนิด ดินแดนที่การเป็นเทพเจ้าไม่ใช่สิ่งที่เพ้อฝัน มรดกและความรู้ที่สามารถนำไปสู่พลังอำนาจเหนือขอบเขตของสิ่งมีชีวิตจะกลายเป็นเลือดในอ่างที่รอให้เราขโมยมา และถ้าเรานำข้อมูลนี้ไปแจ้งแก่พระเมสสิยาห์ได้ พระองค์ก็จะขอบคุณเรายิ่งกว่าตระกูลใดภายใต้โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งอคาคอซัส”

ดวงตาของโอเพอทีสกลมโตราวกับเด็กน้อยที่กำลังเพ้อฝัน

“เป็นเช่นนั้น ดังนั้นเจ้าต้องแกล้งทำเป็นคนปัญญาอ่อนต่อไป ข้าและนิโคลัสจะคอยช่วยเจ้าอยู่ห่างๆ ไม่ต้องกลัวว่าพ่อมดคนนั้นจะสังหารเจ้าหากเขารู้ความจริง ข้ายังเชื่อมั่นในดวงจันทร์จำลองแห่งอคาคอซัส”

เกลเลิร์ตตบไปในกระเป๋าเสื้อเบาๆ คล้ายกับจะให้ความมั่นใจแก่โอเพอทีสด้วยสิ่งของที่เก็บอยู่ด้านใน

โอเพอทีสรู้ว่าเกลเลิร์ตไม่ได้หรอกเขา พลังของดวงจันทร์จำลองแห่งอคาคอซัสนั้นทรงอำนาจอย่างแท้จริง

ทรงอำนาจแค่ไหนน่ะหรือ? มันมีพลังพอที่จะหลอกลวงมงกุฎ เสื้อคลุมและคฑาแห่งโอเรียริม มันเพิกเฉยการตรวจจับของวัตถุเวทมนตร์ระดับศักดิ์สิทธิ์เทียมทั้งสามชิ้นได้อย่างสิ้นเชิง แต่นั่นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าพวกมันไม่ได้ถูกใช้โดยตัวตนที่ทรงพลังกว่าเบร์โตริโอล่ะนะ

“แล้วเจ้าไม่โกรธพ่อมดคนนั้นรึ? เขาสังหารราด็อทเชียวนะ?”

โอเพอทีสเริ่มถามคำถามที่ตนสงสัยออกมา

“ไม่เลย ราด็อทเป็นเพียงความผิดพลาดของบิดาข้า เขาไม่ถือว่าเป็นน้องชายของข้าด้วยซ้ำ”

เกลเลิร์ตมีสีหน้าไม่แยแส

“หากบิดาเจ้ารู้คงเสียใจมาก”

โอเพอทีสกำลังยั่วยุ แน่นอนว่าเกลเลิร์ตทราบดี

“ไม่รู้สิ หากเจ้าบังเอิญผ่านไปในนรก ก็ช่วยถามเขาด้วยละกัน”

“ร้ายกาจ”

โอเพอทีสตั้งใจกวนโมโหอีกครั้ง

“นั่นยังเทียบกับเจ้าไม่ได้หรอกโอเพอทีส เจ้าร้ายกาจกว่าข้ามากนัก เจ้าจะได้หลอกลวงผู้ยิ่งใหญ่ระดับพ่อมมดสีเงินเชียวนะ ลองคิดดูสิถ้าข้าไปช่วยเจ้าไม่ทันตอนที่เขาจับได้ เจ้าอาจต้องกลายเป็นผีไปจริงๆ เจ้าร้ายกาจกว่าข้ามากนัก”

“ข้าจะภาวนาให้ทักษะการแสดงของข้าสมบูรณ์แบบมากขึ้น”

โอเพอทีสหน้าซีดราวไก่ต้ม เขาแอบกลัวขึ้นมาแล้ว

“ไม่มีใครจะถามข้าหน่อยหรือว่าจะจัดการกับพระคาร์ดินัลคนนี้ยังไง?”

นิโคลัสยังไม่ลืมว่าบนตักของเขามีร่างของนักบวชนอนอยู่

“เขาพยายามจะยัดไอ้นั่นเข้ามาในรูก้นข้า ตอนที่ข้าเป็นคนปัญญาอ่อน ฆ่าเขาสะ!”

จู่ๆโอเพอทีสก็นึกถึงเรื่องเลวร้ายเรื่องหนึ่งได้ แวมไพร์ตนนี้อารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง

“โอ่ให้ตายเถอะโอเพอทีสยังกับเจ้าไม่ชอบงั้นแหละ อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าข้าหน่อยเลย มีใครบ้างในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้ว่าเจ้าสำส่อนแค่ไหน สามีเจ้าสามารถต่อแถวยาวตั้งแต่เกาะลึกลับจนถึงแผ่นดินมหาทวีปได้ด้วยซ้ำ”

นิโคลัสเบะปากจนแบนราบ

“เจ้ากล่าวผิดแล้วนิโคลัส มันสามารถต่อไปถึงเวอร์ดานดิได้เลยต่างหาก”

เกลเลิร์ตกล่าวสนับสนุน ส่วนโอเพอทีสกลับไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวอีกแล้ว เขายิ้มเยาะก่อนจะพูดสิ่งที่ตนคิดออกมา

“ข้าไม่ได้โกรธที่เขาจะขืนใจข้า ข้าโกรธที่เขาไม่ยอมให้ข้ามีอารมณ์ร่วมต่างหาก”

“นั่นสิถึงจะเป็นเจ้า เราเก็บเขาเอาไว้เถอะ หากพ่อมดนั่นรู้ว่านักบวชคนนี้หายไปเขาอาจสงสัยก็ได้”

นิโคลัสลูบผมที่นิ่มสลวยของอูกุสแตงเบาๆ ไม่มีใครโต้แย้งความเห็นของเขาอีก ห้องในคฤหาสน์บนชั้นสองกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ในขณะที่นิโคลัสและโอเพอทีสกำลังสนุกกับการแกล้งอูกุสแตงอยู่นั้น เกลเลิร์ตกลับมีสีหน้าเรียบนิ่งและเฝ้ามองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีด้านนอก คืนวันอันแสนสงบของเฮอราบอสกำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า

พระเมสสิยาห์กำลังมาถึงแล้ว...


ในชั้นใต้ดินของหอคอยสภาแห่งซินเจ้าแห่งภูตพรายทั้งมวลที่กำลังนั่งหลับตาอยู่บนบัลลังก์ตัวเดิมของมัน กิจวัตรนั้นซ้ำซากและจำเจเป็นที่สุด เพราะสำหรับคนตายที่ยังมีชีวิตตนนี้วันคืนนั้นนั้นไม่อาจคำนวณด้วยพระอาทิตย์ตกหรือขึ้น ร้อนหรือหนาว เดือนคว่ำหรือเดือนหงาย ทุกวินาทีของมันผ่านพ้นไปภายใต้ความมืดมิดนิรันดร์ ลมหายใจที่เข้าออกไม่อาจสัมผัสรับรู้ สิ่งเดียวยึดมันเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงคือการนอนหลับผ่านการทำสมาธิแทนการดื่มกินและเคลื่อนไหว

เปรี้ยง!

เสียแตกร้าวของหินดังขึ้นจากด้านหลังบัลลังก์ของออลล์ฟีเซียส แสงสีเขียวในเบ้าตากลวงโบ๋เปร่งประกายขึ้นท่ามกลางความมืดมิด บรรพชนวอร์ล็อครีบพาร่างโครงกระดูกของมันไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังออกมา มันเดินผ่านโลงศพมากมายของเหล่าพี่น้อง ผ่านความมืดมิดและผืนดินขลุขละ ที่ปรายทางของถ้ำลับรูปปั้นของโอลาชีปรากฎรอยแตกร้าวพร้อมกับโลหิตสีแดงฉานที่ไหลซึมผ่านร่องรอยบาดแผลนั้น หยดโลหิตหลดแล้วหยดเล่าราดรดลงบนพื้นดินเบื้องล่างจนเกิดเป็นแอ่งน้ำสีแดง

“เกิดอะไรขึ้น!?”

ตุบ!

เสียงวัตถุขนาดใหญ่บางอย่างร่วงหล่นลงบนพื้นดิน พร้อมกับแสงสีขาวที่เปร่งประกายออกมาจากปีกนกขนาดยักษ์ ร่างของเดเมียนฟุบลงไม่ห่างจากรูปปั้นของโอลาชีมากนัก

ออลล์ฟีเซียสรีบวิ่งไปที่พระบุตรแห่งเทพนอกรีตด้วยท่าทางรีบร้อน มันก้มลงประคองร่างงดงามนั้นเอาไว้ในอ้อมแขน หากหัวกะโหลกนี้สามารถแสดงอารมณ์ได้ ตอนนี้มันคงมีสีหน้าตื่นตกใจถึงขีดสุด ระดับของเดเมียนนั้นแทบจะอยู่ยงคงกระพันในมหาทวีป พระองค์จะบาดเจ็บได้อย่างไร?

“ข้าไม่เป็นอะไรออลล์ฟีเซียส”

เดเมียนพยุงร่างของมันขึ้นท่ามกลางแสงสีขาวของปีกเทวฑูต มันค่อยๆเก็บปีกที่บาดเจ็บคู่นั้นเข้าไปในแผ่นหลังอีกครั้ง ชั่วขณะหนึ่งพลังที่สามารถต้านทานอำนาจแห่งกฎได้ก็มลายหายไป สภาวะที่แม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณของเทพเจ้ายังหวาดกลัวได้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

“ข้าต้องการพักผ่อน”

เดเมียนเดินไปทางรูปปั้นของโอลาชีอย่างนอบน้อม มันคุกเข่าลงและสวดภาวนาท่ามกลางความเงียบงัน ออลล์ฟีเซียสไม่กล้าถามสิ่งใดกับนายท่านของมันผู้นี้มันจึงทำได้แต่ยืนอยู่เงียบๆและสวดภาวนาเป็นเพื่อนเดเมียนเท่านั้น

“ไม่น่าเชื่อว่าในแดนหิมะไร้สิ้นสุดจะยังคงหลงเหลือมรดกจากยุคที่หนึ่งมาได้ ข้ามองข้ามดินแดนแถบนั้นไปได้อย่างไรกันนะ”

เดเมียนพึมพำกับตนเอง

“ดินแดนหิมะไร้สิ้นสุด? ฝ่าพระบาทหรือว่าพระองค์ไปที่นั่นมา?”

ร่างโครงกระดูกนึกว่าเดเมียนคุยกับมัน

“ใช่ ข้ารู้ว่าเฟโอโดราไม่มีวันทิ้งมหานครแดเหนือไปเฉยๆแน่ บรรพชนแห่งราชวงศ์นอร์ทัมเบอร์ต้องกลับมาพิทักษ์อาณาจักร”

“ฝ่าพระบาทเดินทางไปตามหามัน? แต่มหาขุนเขาแห่งธาร์เชื่อมโยงกับเวอร์ดานดิ พวกผู้ทรงพลังของที่นั่นอาจสัมผัสถึงพระองค์ได้”

“ใช่ข้าประมาทเกินไป แต่มันก็คุ้มล่ะนะ”

เดเมียนแบมือขาวเนียนของมันไปเบื้อหน้าของออลล์ฟีเซียส ก้อนพลังงานสีขาวส่องแสงราวกับดางดาวบนท้องฟ้าประกายของมันทำให้ถ้ำใต้ดินสว่างราวกับกลางวัน

เบ้าตากลวงโบ๋ลุกวาบด้วยเปรวไฟสีเขียวราวกับตื่นตะลึง สิ่งนี้เป็นของล้ำค่าอย่างแท้จริง

ความเป็นเทพเจ้า!!!

“ฝ่าพระบาทได้มันมาได้อย่างไร? หรือท่านขโมยมันมาจากเวอร์ดานดิ?”

ออลล์ฟีเซียสเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว ความเป็นเทพเจ้าที่เข้มข้นและมีปริมาณมากขนาดนี้ไม่ควรมีอยู่ในมหาทวีป แม้แต่ในยุคแรกหรือยุคก่อนการละทิ้งของเหล่าเทพเจ้ามันก็จัดได้ว่าเป็นของล้ำค่าเกินประมาณ

“มันมาจากเศษเสี้ยววิญญาณของเทพคนเลี้ยงแกะ วิญญาณของเขาถูกเก็บรักษาเอาไว้ดินแดนหิมะไร้สิ้นสุด โดมินิกเดินทางค้นหามันจนเจอ ข้าคิดว่าเป็นแค่นิยายเพ้อฝันที่มหานครแดนเหนือใช้หลอกลูกหลานของพวกมันเสียอีก”

“เช่นนั้นมรดกของพวกเขาก็มีอยู่จริง ฝ่าพระบาทจะจัดการมันอย่างไร”

ออลล์ฟีเซียสแอบคาดหวังบางอย่างเอาไว้ในใจ

“ได้เวลาปลุกบรรดาพี่น้องของเจ้าแล้ว”

เดเมียนรู้ว่าข้ารับใช้ของมันตนนี้คาดหวังสิ่งใด สิบสามอันเดดบรรพชนวอร์ล็อคคือรากฐานทั้งหมดของเทพนอกรีตโอลาชี สิ่งนี้คือความเมตตาจอมปลอมและเครื่องมือเพื่อการหลอกใช้ในเวลาเดียวกัน

ออลล์ฟีเซียสคุกเข่าลงตรงหน้าของเดเมียนด้วยอารมณ์ที่อัดอั้นมานาน หากมันมีน้ำตาเฉกเช่นมนุษย์ปกติมันอาจร้องไห้ออกมาในตอนนี้

พระบุตรแห่งโอลาชีหันหลังกลับไปทางโลงศพสิบสามใบ หนึ่งใบในนั้นว่างเปล่าเพราะมันเป็นของออลล์ฟีเซียสเอง ส่วนอีกสิบสองใบถูกปิดเอาไว้จนแนบแน่น แม้แต่ลมก็พัดผ่านเข้าไปไม่ได้ เดเมียนยกฝ่ามือที่ถือความเป็นเทพเจ้าเอาไว้ขึ้นจรดริมฝีปาก โพลงปากดำมืดดูดกลืนสิ่งที่เคยเป็นเศษเสี้ยววิญญาณของเทพคนเลี้ยงแกะเข้าไป

ฉับพรันอาการบาดเจ็บใดๆที่มันเคยได้รับตอนที่สู้กับอกาโลอัสก็ถูกเยียวจนหมดสิ้น พลังอำนาจที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงแห่งเอกภพได้กำลังเคลื่อนไหวผ่านเส้นเลือดและกล้ามเนื้อทั่วร่าง ตั้งแต่ขน เล็บ ฟัน หนัง จรดปลายอณูวิญญาณที่ละเอียดที่สุดถูกขัดเกลาอย่างช้าๆจนร่างกายทั้งร่างเปร่งแสงออกมราวกับดวงอาทิตย์

เดเมียนไม่ได้แปลงพวกมันเป็นพลังแห่งกฎเหมือนกับที่เบร์โตริโอ อูกุสแตง เฟโอโดราหรืออวาเรย์ออนเคยทำ เขาเปลี่ยนมันให้เป็นพลังของตนเองโดยตรง ต้องเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นอภิสิทธิ์ที่ครึ่งก้าวระดับศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถทำได้

เดเมียนทรงพลังกว่านั้นมานานแล้ว

เปรี้ยง!

สายฟ้าสีดำหนาสามฟุดเส้นหนึ่งพุ่งออกจากฝ่ามือของพระบุตรแห่งเทพนอกรีต ปลายทางของมันคือโลงหินที่ตั้งอยู่ติดกับโลงของออลล์ฟีเซียส

“โอ่พี่ข้า กาโลเวย์ เราจะได้พบกันแล้ว”

เสียงของออลล์ฟีเซียสแหบแห้งแต่แฝ้งไปด้วยความรู้สึกโหยหา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด