ตอนที่แล้วChapter 415 ถึงเวลาทำเท่แล้ว.
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 417 ขอทางหน่อย.

Chapter 416 ปีนเขา? สำเร็จ?


ค่ายกลที่เตรียมไว้ระหว่างทางขึ้นเทือกเขาหัวซานนั้นก็เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางผู้เข้าร่วม มีแรงกดดันที่คล้ายกับหอคอยเก็บประสบการณ์.

ไม่สงสัยเลยว่า เหล่าผู้ฝึกยุทธ์นิกายต่าง ๆ ที่ขึ้นเขาไปอย่างยากลำบาก หนึ่งชั่วยามไปได้ถึงครึ่งเทือกเขาเท่านั้น.

จุนซ่างเซียวที่นำศิษย์ก้าวเข้าไปในค่ายกล เพียงแค่ก้าวเดียวก็ตระหนักได้ว่าในอากาศนั้นมีแรงโน้มถ่วงอยู่.

เพียงแค่รู้สึกเท่านั้นว่ามีแรงโน้มถ่วง.

ด้วยความคุ้นชิน กับระดับแรงโน้มถ่วงที่สูงกว่านี้จนบางครั้งก็แทบไม่รู้สึกแรงโน้มถ่วงของที่นี่เลย.

หอเก็บประสบการณ์ที่ชั้นหนึ่งนั้นมีแรงโน้มถ่วง 10 เท่า หากแต่แรงโน้มถ่วงของที่นี่นั้น น่าจะมีระดับสูงสุดเพียงห้าเท่านั้น.

ดังนั้นจึงไม่ควรค่าให้กล่าวถึง.

จุนซ่างเซียวที่เงยหน้าขึ้นมองเหล่าชาวยุทธ์นิกายต่าง ๆ จุนซ่างเซียวที่เอ่ยเสียงดัง “ไล่ตามพวกเขา แสดงความเหนือให้พวกเขาเห็น.”

“รับทราบ!”

ศิษย์ทุกคนที่รับคำสั่ง ก่อนที่จะกล่าวออกไปราวกับจะบินขึ้นบนเทือกเขา.

ศิษย์ที่เขานำมาล้วนแต่เป็นศิษย์ระดับสูง ถึงจะเปลี่ยนเป็นนำลี่ซางเทียน ซือหม่าจงต้าและอีกหลายคนที่ด้อยกว่า ทว่าก็สามารถก้าวผ่านไปได้โดยง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย.

ต้องไม่ลืมว่าศิษย์ของเขาที่เคยเข้าฝึกฝนที่ชั้นหนึ่งหอคอยเก็บประสบการณ์วันล่ะ 2 ชั่วยามเป็นประจำ.

ด้วยเหตุนี้.

หลี่ชิงหยางและเซียวจุ้ยจื่อจึงมั่นใจเป็นอย่างมาก.

ซูเซียวโม่ ลี่เฟยเองก็วิ่งขึ้นเขาอย่างรวดเร็วเช่นกัน.

จุนซ่างเซียวที่ชื่นชมบรรยากาศขณะขึ้นเทือกเขา เขาสัมผัสได้ว่าความอุดมสมบูรณ์และความงดงามบนเทือกเขาแห่งนี้ บนเทือกเขาหัวซานที่โลกเดิมของเขาเทียบไม่ได้เลย.

ฟู่ ฟู่-

ในทุก ๆ ระยะทางที่สูงขึ้นไปดูเหมือนว่าจะมีแรงโน้มถ่วงเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ.

แต่ก็ไม่ส่งผลต่อจุนซ่างเซียว เจียงเซี่ยและคนอื่นแม้แต่น้อย ทุกคนยังคงก้าวขึ้นไปอย่างมั่นคง.

ด้วยความเร็วเช่นนี้ น่าจะใช้เวลาสิบกว่านาที คงจะตามทันกลุ่มแรกของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นิกายต่าง ๆ ได้.

......

เหล่าชาวยุทธ์นิกายต่าง ๆ ความเร็วลดลงเป็นอย่างมาก.

ในเวลานี้ แม้นว่าพวกเขาจะไปถึงกลางทางแล้ว แต่ใบหน้าก็เต็มไปด้วยเหงื่อและหายใจแรงเร็ว.

แววตาของเจ้านิกายที่ยังคงสงบ ทว่าความรู้สึกของพวกเขาไม่ค่อยยินดีนัก.

การก้าวขึ้นเขาด้วยแรงโน้มถ่วงห้าเท่านั้น แรงกดทับที่บีบกดลงมา พลังบ่มเพาะที่สูงเองก็ไม่ได้เปรียบคนที่มีพลังบ่มเพาะที่ต่ำนัก ขึ้นกับความแข็งแกร่งร่างกายล้วน ๆ.

“เจ้าวัง.”

เหม่ยเอ๋อเอ่ย “ท่านสบายดีหรือไม่?”

เพราะว่าขณะปีนเขานั้น พวกนางที่พยุงแขนเจ้าวังไปด้วย ทำให้นางหลั่งเหงื่อออกมาเหมือนกัน.

ซีจิงเสวียนเอ่ย “ไม่เป็นไร.”

เป็นความจริงที่นางไม่เป็นไร เพราะว่าลมหายใจยังคงมั่นคง ทว่าใบหน้าของนางกับไร้อารมณ์.

เหม่ยเอ๋อที่กล่าวในใจ “เจ้าวัง แม้นว่าจะตาบอด แต่กับยังดูงดงาม ทว่าจิตใจที่เข้มแข็ง แรงโน้มถ่วงที่บีบทับนั้นไม่ส่งผลกับนาง.”

และ....ในอดีตนั้น เขาที่กลายเป็นตัวถ่วงนางด้วยซ้ำ.

เพราะการชุมนุมครั้งที่แล้ว เจ้าวังเมี่ยวฮัวก็เข้าร่วม.

ซีจิงเสวียนที่ราวกับว่าแรงโน้มถ่วงไม่ส่งผลใด ๆ กับนางเลย.

น่าเสียดาย ที่ศิษย์แต่ละคน แทบหมดเรี่ยวแรงเกือบล้มไปตาม ๆ กันแล้ว.

เหม่ยเอ๋อและศิษย์คนอื่น ๆ แม้นว่าจะมีประสบการณ์แล้วครั้งนี้ควรจะดีกว่าครั้งที่แล้ว ทว่าการจะขึ้นเขาให้เร็วกว่าครั้งที่แล้วก็คงเป็นไปไม่ได้.

“เฮ้อ.”

ซีจิงเสวียนถอยหายใจ “เจ้าสำนักจุนไม่เข้าร่วม ทำให้รู้สึกไม่สนุกเลย.”

“เจ้าวังของข้า.”

เหม่ยเอ๋อเอ่ย “โชคดีแล้วที่เขาไม่มา ไม่เช่นนั้น ตอนนี้คงหมดเรี่ยวแรงเป็นลมแล้วก็ได้.”

ความแข็งแกร่งของจุนซ่างเซียวและศิษย์นั้น แม้นว่านางจะยอมรับเล็กน้อย ทว่าการปีนเขาครั้งแรกนั้น เพียงแค่ครึ่งเขา ย่อมต้องหมดแรงอย่างแน่นอน.

ซีจิงเสวียนส่ายหน้าไปมา “เจ้าสำนักจุนนั้นไม่ธรรมดา บางทีการปีนเขาครั้งนี้ คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา.”

เหม่ยเอ๋อถึงกับพูดไม่ออก.

พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง เจ้าวังได้แต่คิดถึงเขา สนใจเขาอย่างงั้นรึ?!

“พรึด โครม!”

ในเวลานั้น ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง ที่แข็งขาอ่อน นั่งลงกับพื้นบันใด หายใจเหนื่อยหอบ กล่าวออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว.“....ไม่ไหว....ข้าขอพักครู่หนึ่ง.”

“เจ้าคนไม่ได้เรื่อง!”

เจ้านิกาย นิกายดังกล่าว เห็นศิษย์ตัวเองหมดแรงก่อนเพื่อน ก็เผยความโกรธออกมา.

หากแต่เขาก็ไม่กล้าตำหนิออกมามากมาย เพราะว่าตัวเองก็ต้องทนแบกรับแรงโน้มถ่วงด้วย ไม่เช่นนั้นหากลมหายใจติดขัด คงจะต้องลงไปนั่งหมดแรงเหมือนกัน.

การแบกรับแรงโน้มถ่วง ไม่ว่าอย่างไรย่อมมีขีดจำกัดเหมือนกัน.

ในเวลานี้ เหล่าชาวยุทธ์ไม่น้อย ที่ยากจะก้าวต่อ ต้องหยุดพัก หรือแม้แต่ก้าวขึ้นไปช้ากว่าเดิม.

เหล่านิกายระดับสูงบางนิกาย แม้นว่าตอนนี้จะกัดฟัน แบกรับก้าวต่อไปได้ ทว่าก็เป็นไปอย่างยากลำบาก ไม่เหมือนกับตอนขึ้นมาแรก ๆ.

ในเวลาเดียวกัน.

การแข่งขันปีนขึ้นเขาครั้งนี้ แทบจะไม่มีใครยอมใคร ต่างก็ต้องการเหนือกว่าอีกฝ่ายทำให้ทุกคนต่างก็จริงจังเป็นอย่างมาก!

“เจ้านิกายซุน.”

เจ้านิกายหวังที่ก้าวตามสองก้าว เผยยิ้มออกมา “ศิษย์นิกายท่านดูเหมือนว่าจะอยู่ด้านหลังไม่น้อยเลย บางทีคงจะเทียบกับครั้งที่แล้วไม่ได้.”

เจ้านิกายซุนที่โกรธในใจ แต่ยังกล่าวออกมาว่า “ศิษย์เจ้านิกายหวังเอง อยู่ด้านหลังจำนวนมากเช่นกัน พวกเราต่างก็เท่ากัน.”

เจ้านิกายหวังเอ่ย “คอยดูเถอะ นิกายซั่งหลานของข้า จะต้องเร็วกว่านิกายหลานหยูหนึ่งก้าวเมื่อถึงยอดเขาอย่างแน่นอน.”

“เหลือเส้นทางกว่าครึ่ง ใครจะชนะก็บอกไม่ได้.”

เจ้านิกายซุนเอ่ย จากนั้นก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก เพราะแรงกดดันที่หนักหน่วงโถมทับลงมาจนหายใจลำบาก ทว่าภายในใจนั้นเขาต้องการเหนือกว่านิกายซั่งหลาน ต้องก้าวถึงเส้นชัยให้ได้ก่อนแน่นอน!

เจ้านิกายหวังก็คิดเช่นเดียวกัน.

การปีนเขาครั้งนี้ คือการแข่งขันที่จะยอมไม่ได้.

เหล่านิกายระดับเดียวกัน พวกเขาย่อมไม่มีทางยอมกันแน่นอน พวกเขาต้องการแสดงออก ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองเหนือกว่า.

แน่นอน.

คนที่นำอยู่ เป็นคนของนิกายระดับสี่.

เจ้านิกายและศิษย์อยู่ห่างกัน  50-60 สิบก้าว.

ไม่สามารถที่จะดูแคลนระยะทางได้.

ถึงจะมีการหยุดพัก ทว่าคนที่ตามหลังที่ต้องแบกรับแรงโน้มถ่วง ย่อมต้องใช้เวลามากขึ้นเรื่อย ๆ.

วังเมี่ยวฮัวนิกายระดับสี่ เพราะศิษย์ค่อนข้างอ่อนแอ ทำให้ตามหลังแม้แต่นิกายระดับห้าด้วยซ้ำ.

ไม่มีวิธีใด.

นิกายสตรี ร่างกายและความอดทน ย่อมไม่สามารถเทียบผู้ฝึกยุทธ์บุรุษได้.

“เจ้าวัง.”

เหล่าศิษย์นิกายระดับสี่แห่งหนึ่ง ที่กวาดตามองเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน เอ่ยกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “ดูเหมือนว่าพวกเราก็นำคนอื่น ๆ อยู่ก้าวหนึ่ง.”

เจ้าวังคนดังกล่าวเอ่ยอย่างภาคภูมิ “หากไม่มีนิกายระดับสามเข้าร่วม ชัยชนะครั้งนี้เป็นของพวกเราเก้าสิบเปอเซ็น.”

เมื่อครั้งที่แล้วเขานำศิษย์เข้าร่วมชุมนุมเทือกเขาหัวซาน ไปถึงกลุ่มที่สอง พ่ายแพ้ให้กับนิกายระดับสามไป.

การชุมนุมเขาหัวซานครั้งนี้ ไม่มีนิกายระดับสามเข้าร่วม ท้ายที่สุดเขาก็จะได้กลายเป็นคนที่ได้ลำดับหนึ่งอย่างภาคภูมิ!

เจ้าวังผู้นี้ แม้นว่าจะนำหน้าคนอื่น ๆ ทว่าก็ก้าวขึ้นไปอย่างยากลำบาก และยิ่งสูงเท่าไหร่ ความเร็วของพวกเขาก็ยิ่งลดลง.

......

“แย่แล้ว...ไม่ไหวแล้ว...ข้าก้าวต่อไปไม่ไหวแล้ว....”

“นี่มันไม่ได้ด้อยกว่าการล่าสัตว์ร้ายสามวันสามคืนโดยไม่พักเลย!”

“....ค่ายกลเขาหัวซาน ควรค่าต่อชื่อเสียง....”

ผู้ฝึกยุทธ์แต่ละนิกายที่เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก.

หลายคนที่หายใจอย่างหนัก ขาทั้งสองข้าที่หนักจนแทบยกไม่ขึ้น.

หากไม่พักเลย เกรงว่าคงจะก้าวต่อไปไม่ไหว.

“หืม?”

ในเวลานั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ ที่ราวกับว่าได้ยินเสียงก้าวเท้าดังขึ้น พวกเขาที่เงยหน้าหันกลับไปมองอย่างยากลำบาก.

“1-234.”

” กึก! กึก! กึก! „

“2-234.”

” กึก! กึก! กึก! „

“3-234......”

” กึก! กึก! กึก! „

„โอ้ว............สวรรค์......!!”

เสียงที่ดังจากด้านหลังที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ดวงตาของพวกเขาที่เบิกกว้าง หูสองข้างที่สั่นไปมา.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด