ตอนที่แล้วบทที่  053 –ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (7)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่  055 –ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (9)

บทที่  054 –ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (8)


บทที่  054 –ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (8)

* * *

“เหล่านักผจญภัยจะตกอยู่ในท่ามกลางความสับสน”

ลอร่าพูดในขณะที่ยังม้วนเปียข้าง แสงแดดอันร้อนอบอ้าวจากภูเขาได้ฉายลงมายังเธอ ตามปรกติของเด็กสาวทั่วไปมักจะห่วงผิวพรรณจะถูกแดดเผา แต่เธอไม่สนใจ ดวงตาสีเขียวของลอร่ายังคงจับจ้องอยู่บนแผนที่

“หนึ่งในกลุ่มที่พวกเขาคิดว่าเป็นผู้ทรยศกลับถูกโจมตีโดยศัตรูเช่นกัน สิ่งที่มีเหตุผลแต่กลับไม่สอดคล้องกับสามัญสำนึกเกิดขึ้น หากเป็นคนโง่คงไม่สนใจจะรับรู้ แต่มนุษย์ผู้มีนามว่า ริฟนั้นฉลาดพอที่จะรวบรวมกำลังของหลายหมู่บ้าน ความเป็นไปได้สองอย่างจะอยู่ในความคิดของเขา”

จอมมารได้กำจัดคนทรยศ?

หรือความจริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่คนทรยศ?

“มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะคิดว่า ศัตรูได้กำจัดกองกำลังฝ่ายตน ดังนั้นชายคนนั้นย่อม…….”

* * *

‘ไม่มีผู้ทรยศ’

ฉากน่าสะอิดสะเอียนฉายสะท้อนอยู่ในดวงตาของริฟ

กลุ่มของริฟลงสำรวจหมู่บ้าน ในหมู่บ้าน ไม่สิ สิ่งที่เคยเป็นหมู่บ้าน มีศพของก็อบลินไม่กี่ร่างอยู่รอบๆรั้วไม้ที่พังไป นอกจากรั้วแล้วก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดในหมู่บ้านที่ได้รับความเสียหายหนัก หากไม่มีกองเนื้อและรอยคราบเลือดตรงนี้และตรงนั้น คุณอาจจะคิดว่า ชาวบ้านกำลังออกไปทำงาน

สิ่งนี้กลับยิ่งทำให้บรรยากาศน่าขนลุกขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึง ก็อบลินได้กัดกินศพมนุษย์โดยไม่เหลืออะไรทิ้งไว้เลย

หนึ่งในนักผจญภัยเหล่านั้นเดาะลิ้น

“ดูความโหดร้ายที่ก็อบลินมันกินสิ ไม่เหลือแม้แต่ศพเดียวที่ดูได้เลย”

“เหลือไว้แต่กระดูก ทั้ง 50 กว่าคนนี่ โดนกินไปหมดเลยสินะ?”

“ไม่น่าจะใช่ พวกมันจะเอามนุษย์ที่กินไม่ไหวกลับไปที่เผ่ามันด้วย…….”

“โอ้ พระเจ้า!”

หลังจากยืนยันแล้วว่า ไม่มีผู้รอดชีวิตกลุ่มของริฟก็กลับหมู่บ้าน

หัวหน้าหน่วยทหารอาสาพูดกับริฟ

“เออนี่ ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมจอมมารถึงบุกโจมตีหมู่บ้านนี้?”

“ข้าคิดว่า……หึ ไม่ได้มีคนทรยศหรอก หรืออย่างน้อยๆก็ทุกหมู่บ้านที่มีทหารอาสานั่นแหละ ฉันต้องขอโทษที่ทำให้ต้องเปลืองสมอง”

มันดูเหมือนสองหมู่บ้านแรกที่ถูกโจมตีเป็นหมู่บ้านของทหารอาสานั้นจะเป็นความบังเอิญ

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ พี่ชาย นี่เป็นโอกาสแล้ว!”

“โอกาสอะไร?”

หัวหน้าทหารอาสากำลังหดหู่หลังจากเป็นพยานที่เกิดเหตุของการฆ่าล้างหมู่บ้าน พอจู่ๆริฟกลับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใส คนอื่นๆจึงมองเป็นเชิงถาม

ความจริงที่ว่า ริฟไม่เคยพูดล้อเล่นทำให้พวกเขามีความหวังขึ้นมา พวกเขาเชื่อในตัวริฟ เขาคงจะทำอะไรบางอย่างได้

“นี่มันไม่ได้แปลว่า จอมมารนั้นช่างโง่เง่าเสียจนโจมตีหมู่บ้านมั่วๆโดยที่ไม่รู้ว่า ใครเป็นศัตรูใครเป็นพันธมิตรเลยไม่ใช่หรือไง? นี่คิดว่า พวกหมู่บ้านอื่นจะตอบกลับยังไงหากข่าวนี้แพร่ออกไปล่ะ?”

“เอ้อใช่ๆ!”

หัวหน้าทหารอาสาและนักผจญภัยคนอื่นๆต่างเปล่งเสียงออกมาราวกับพึ่งนึกออกว่าริฟนั้นพยายามจะพูดอะไร

“โอ้ ถูกต้องแล้ว”

ริฟฉีกยิ้ม

“พวกเขาจะเข้าร่วมกองกำลังกับฝ่ายเราในทันที ใช่ไหม? แล้วพวกเราก็จะสร้างพันธมิตรให้มากขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ความสัมพันธ์ระหว่างเราก่อนหน้านั้นไม่ดีนักเนื่องจากเราไปบังคับให้เขาเอาเสบียงให้พวกเรา แต่เรื่องนั้นจะไม่สำคัญทันทีที่ชีวิตพวกเขาตกอยู่ในอันตราย”

“ใช่ๆ เขาพูดถูก ถ้าหากเรามีศัตรูร่วมกัน พวกเราก็จะสู้ไปด้วยกัน!”

คนอื่นๆต่างตื่นเต้นดีใจ

“คิคิ ช่างเป็นจอมมารที่โง่ชะมัด!”

“สุดท้ายที่เขาทำกลับกลายเป็นช่วยเราเฉย!”

“มันคงไม่รู้จักมองการณ์ไกลมั้ง ไอ้ปีศาจระยำนั่น”

ริฟเกือบจะเดาะลิ้น มันกวนใจเขาเหมือนกันที่พวกเขาตื่นเต้นโดยไม่รู้ว่า คนที่ช่วยให้คิดออกนั้นคือเขา แต่มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ต้องคิดถึง และอีกอย่างริฟไม่อยากเข้าไปขัดทำลายอารมณ์ตอนนี้

ข่าวได้แพร่กระจายออกไปผ่านแต่ละปาร์ตี้ว่า จอมมารบ้าคลั่งได้โจมตีหมู่บ้านมนุษย์โดยไม่มีข้อยกเว้น

และเป็นไปตามที่ริฟหวัง ชาวหมู่บ้านอื่นตอบรับอย่างแข็งขัน พวกเขาเริ่มเรียกร้องขอให้ช่วยกันโค่นล้มอำนาจจอมมาร และเข้าร่วมกลุ่มกับริฟ

“ถ้ากลุ่มเดียวหยุดเขาไม่ได้ พวกเราก็ต้องไปหยุดเขาด้วยกัน!”

“อาจจะน่าเสียดายไปสักหน่อย ที่ต้องทิ้งหมู่บ้านแล้วไปรวมตัวกันในที่เดียวแต่ขอให้นายคิดเสียว่า การถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเดินไปข้างหน้าสองก้าวก็แล้วกัน”

หัวหน้าหมู่บ้านทุกคนสัญญาว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของทุกคนในปาร์ตี้ของริฟ มันไม่เคยมีเงื่อนไขอะไรหอมหวานเท่านี้อีกแล้ว แต่ก็มีสองหมู่บ้านที่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม ริฟไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก

‘พวกนั้นแหละ คนทรยศ!’

ริฟคาดเดาไว้แล้วว่า กองทัพจอมมารจะต้องบุกจากทางตะวันตกของแนวภูเขาไปสู่ทิศตะวันออก มันต้องไม่ใช่ความบังเอิญแน่ที่อยู่ๆมีสองหมู่บ้านไม่เข้าร่วมกับทางตะวันออกตรงจุดสิ้นสุดรอยต่อภูเขา

ทุกอย่างกระจ่างชัดราวกับเป็นกลางวัน จากทั้งหมด 12 หมู่บ้านในเขตภูเขา มี 2หมู่บ้านทรยศ และกองกำลังจอมมารก็ตั้งใจกรีฑาทัพมาจากทางตะวันตก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เผยตนเองว่า เป็นผู้ทรยศ

‘แกรุกฆาตตัวเองแล้วว่ะ ไอ้ขี้ขลาด’

ริฟเยาะเย้ยดันทาเลี่ยน

หากเขาเป็นดันทาเลี่ยน เขาจะปล่อยผ่านหมู่บ้านที่ไม่มีกองทหารอาสาไป เขาจะให้ผู้คนจมอยู่ในความสิ้นหวังอย่างมืดมนโดยที่ไม่รู้ว่า ใครกันแน่เป็นผู้ทรยศ

และหากเขาทำอย่างนั้นแล้ว 7หมู่บ้าน━

มี3 หมู่บ้านจาก12หมู่บ้านที่ถูกทำลายไป และ2 หมู่บ้านทรยศดังนั้นจึงเหลือแค่ 7 หมู่บ้าน ━ จึงไม่อาจรวมตัวกันสร้างพันธมิตรขึ้นมาได้ ป้อมปราการที่ไม่มีวันถูกตีแตกของมนุษย์ทั้ง 400 คนนั้นก็ไม่มีวันสร้างขึ้นมาได้!

ริฟได้รวมทุกคนไปยังหมู่บ้านที่สี่ โดยให้เรียงแถวกัน เรียงตัวจากตะวันตกสู่ตะวันออก ล้อมรั้วหนาแรงไว้เป็นชั้นๆ ขุดคูน้ำรอบป้อมไว้เป็นอย่างดี

‘ตอนนี้แผนค้อนและทั่งก็เสร็จสมบูรณ์!’

ค้อนคือ นักผจญภัยและทหารอาสาที่มีรวมกันราว 70 คน พวกเขาทุกคนต่างติดอาวุธหนัก พวกเขาไม่เคยหวั่นกลัวกับก็อบลินไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองร้อยตัว จุดสำคัญของค้อนคือ ความสามารถในการจู่โจม และพวกเขาก็เชี่ยวชาญชำนาญเรื่องนี้เป็นอย่างดี

ส่วนทั่งนั้นคือ กลุ่มขนาดใหญ่ของชาวบ้าน ราว 400 คน แม้อาวุธยุทโธปกรณ์จะห่วยโทรมไปหน่อย แต่พวกเขาจะมีรั้วที่ทนทานและคูน้ำ

เมื่อดูให้ดีถึงจุดสำคัญของกลศึก ‘ทั่งตั้งรับป้องกันเป็นอย่างดี ในขณะที่ค้อนทุบโจมตีจากข้างหลัง’

มนุษย์ 400 คน , รั้ว และคูน้ำก็เพียงพอแล้ว

ก็อบลิน 400ตัว เหรอ? พวกเขาสามารถป้องกันได้อีกหลายวันเลยล่ะ!

ริฟมองดูรั้วรอบๆ มีรั้วสี่แถวที่แข็งแกร่งพอที่จะปิดกั้นกองทัพธรรมดาได้

ความรู้สึกพึงพอใจ ตื่นเต้น รวมไปถึงเศร้าเสียใจ อยู่ในอกเขา

“……เดเนฟ ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าเร็วๆนี้แหละ”

(TTL :  แล้วไซคลอปส์ล่ะ? บ่นเสียดายไซคลอปส์…รำพันถึงแต่เดเนฟ ( ;A;) )

สหายจากหมู่บ้านของเขานั้นต้องเสียสละไปจากการหลอกลวงของจอมมารสุดเจ้าเล่ห์

นานแค่ไหนแล้วที่เขากระหายการแก้แค้น?

“หัวของจอมมารดันทาเลี่ยน……ข้าจะเอามันมาเซ่นที่ใจกลางหมู่บ้านเจลเซ่น!”

ริฟกำหมัดแน่น

เช้าวันต่อมา ริฟได้นำหน้าชาย 70 คนไปก่อนที่พระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาตั้งใจไปพิชิตดันเจี้ยนโดยไม่มีการรั้งรอใดๆอีก และเป็นไปตามที่ริฟคาดไว้ ไม่มีมอนสเตอร์แม้แต่ตัวเดียวเหลืออยู่เพื่อปกป้องดันเจี้ยน พวกเขาปล้นชิงข้าวของในห้องจอมมารได้ตามที่เขาต้องการก่อนจะออกจากดันเจี้ยนไปอย่างสบายๆโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย

ริฟตะโกนออกมาด้วยความจิตใจที่ยินดี

‘พวกเราชนะแล้ว!’

* * *

“พวกเขาคงกำลังคิดอยู่ว่า พวกเขาชนะแล้ว”

รอยยิ้มเย็นชาปรากฏบนริมฝีปากของลอร่า

“ฝ่าบาท ท่านจำบทเรียนที่ท่านสอนตัวฉันเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ไหม?

‘หากเจ้าปรารถนาจะลวงหลอกศัตรู เจ้าต้องลวงหลอกเพื่อนของเจ้าก่อน

และหากเจ้าปรารถนาจะลวงหลอกเพื่อนของเจ้า  เจ้าต้องลวงหลอกตนก่อน.......

ด้วยการแสดงออกถึงการกระทํา อันไร้จุดหมาย สิ่งเหล่านั้นจะก่อรวมบีบตัวอัด

กัน กลั่นกลายเป็นยุทธวิธีเพียงหนึ่งเดียว.......’ ”

ผมพยักหน้า

ในวันนั้นผมได้เลเวลอัพขึ้นมาอย่างมากเพราะลอร่า วันนั้นผมได้พูดไร้สาระออกไปเพื่อจะกลบเกลื่อนความอับอายขายขี้หน้าตอนนั้น

แต่ถึงอย่างนั้นลอร่ากลับค้นพบความจริงน่าประทับใจจากเรื่องนี้

“ ‘หลังจากที่พวกเขาคลายความระวังลง และกว่าจะตระหนักได้ถึงความหมายเบื้องหลังการกระทําในช่วงสุดท้ายมันก็สายเกินไปแล้ว.......’

ฝ่าบาทได้มอบความรู้นี้ให้กับตัวฉัน หญิงสาวผู้นี้ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ ได้เพียงแต่อึ้งกับความหยั่งรู้ของฝ่าบาท”

เธอมองตรงไปข้างหน้า ผมก็มองตามเธอ

ฉากเบื้องหน้าที่เหมือนส่งตรงมาจากนรกคลี่ออกต่อหน้าพวกเรา

“คุอ๊ากก! แขนข้า แขนข้าาาาา!”

“ไว้ชีวิตข้าเถอะ! ได้โปรด ไว้ชีวิตข้า! ข้าจะให้ทุกอย่างที่ต้องการ ได้โปรด━”

“แม่จ๋า! อ๊ากกก!แม่จ๋า! แม่จ๋า!”

ความโกลาหลครั้งใหญ่

ผู้คนนับร้อยกำลังถูกฆ่าล้างโดยก็อบลินนับร้อย ก็อบลินนั้นประพฤติตัวเยี่ยงฝูงหมาป่านักล่าที่พยายามไล่ตามผู้คนที่พยายามหนีออกจากหมู่บ้านอย่างสิ้นหวัง แม้แต่ชายที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจหนีทันหลังจากน่องถูกทิ่มแทง, แขนถูกฟัน,คอถูกกัด

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนต่างลงกองอยู่กับพื้นในสภาพครึ่งตาย เสียงร้องของผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่าดังก้องในเวลาเดียวกัน และผืนโลกก็กลายเป็นสายธารแห่งเลือด

ลอร่าและผมต่างยืนอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านและเฝ้าดูนรกที่หล่นใส่มนุษยชาติ บางคนที่ใจกล้ามากพอก็พยายามที่จะวิ่งตรงมาทางเรา แต่สุดท้ายก็จบลงตรงที่เสียขาไปหลังจากถูกบล็อคโดยโกเลมและก็อบลิน รางวัลสำหรับผู้กล้าคือ ฟันเบี้ยวๆของก็อบลิน

กัดง่ำ กัดง่ำลงไป

━ ก็อบลินหลายตัวลากศพออกไปเคี้ยวเนื้อราวกับว่าอยากจะกินจนถึงกระดูก

“นักผจญภัยนั้นตัดสินใจที่จะพ่ายแพ้มาตั้งแต่เริ่ม”

ลอร่าพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

มันเหมือนกับว่า เสียงเนื้อฉีกกระดูกหักสำหรับเธอนั้นไม่ต่างจากเสียงนกร้อง

“ตั้งแต่เริ่มต้นอย่างนั้นรึ? เจ้าหมายถึงตอนไหน?”

“ชั่วขณะที่นักผจญภัยบังคับให้หมู่บ้านอื่นส่งเสบียงให้ พวกเขาระดมสรรพกำลัง กันแต่ผลสุดท้าย มนุษย์ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม

กลุ่มหนึ่งเข้าร่วมกับนักผจญภัยและอีกกลุ่มหนึ่งถูกขู่เข็ญโดยพวกเขา พวกเขาสร้างเหตุความขัดแย้งตั้งแต่เริ่มแล้ว”

นั่นคือ สิ่งที่สร้างฉากปัจจุบันให้เราเห็นตรงหน้า

แน่นอนว่า รั้วหนา 4 แถว และคูน้ำที่เรียงรายนั้นจัดการได้ยาก แม้ผมจะเรียกโกเลม พวกมันก็คงติดคูน้ำและไม่สามารถพุ่งเข้าไปกระแทกชนได้ ผมไม่สามารถใช้โกเลมได้ ดังนั้นมีอีกสิ่งที่ใช้งานได้คือ กองกำลังทหารก็อบลิน 400 ตัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจเจาะป้อมปราการใหญ่ขนาดนี้ได้อยู่ดี

กองกำลังของผมก็คงติดแหงกไปต่อไม่ได้ ตามความสามารถในการป้องกันของเหล่ามนุษย์ และพวกเราก็คงจะบุกช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งปาร์ตี้ของริฟนั้นกลับมาถึง

แต่ถึงอย่างนั้นภายใต้เงื่อนไขที่กองกำลังของผมสามารถทะลวงการป้องกันได้

การโจมตีนั้นง่ายดายมาก พวกเราส่งก็อบลินไปข้างหน้า พอถึงเวลาที่กองกำลังของเราแตะแนวรั้ว ━ ประตูใหญ่ของพวกเขาก็จะเปิดขึ้นทันทีจาก ‘ข้างใน’

หรือที่เรียกกันว่าเป็นผู้ทรยศที่ซ่อนอยู่ในหมู่บ้านนั่นเอง

‘อะ-อะไรวะ!?’

‘ชิบหาย ทำไมประตูมันเปิดวะ!?’

‘มีคนทรยศ!’

ฝ่ายป้องกันกลับตกอยู่ท่ามกลางความสับสน

ด้วยการนำของพาร์ซิ มีชาวบ้านสองหมู่บ้านรับผิดชอบดูแลรั้ว โดยเส้นแนวรั้วนั้นเชื่อมต่อกับประตูหลัก มอนสเตอร์ก็ผ่านเข้าไปในประตูใหญ่ในเวลาเดียวกัน

เมื่อไม่สามารถแยกออกว่าใครเป็นผู้ทรยศ มนุษย์ก็ถูกมอนสเตอร์โถมกระหน่ำใส่โดยไม่รู้เลยว่า ควรจะสู้กลับหรือควรจะหนีดี

ผลที่ได้ก็ชัดเจนเหมือนกำลังดูไฟลาม

การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว จนยากจะเชื่อว่า ชาวภูเขาที่เข้มแข็ง 400คน ━ หนึ่งร้อยคนนั้นเป็นผู้ทรยศ ━ ได้ตั้งรับที่ป้อมปราการแห่งนี้

“ฝ่าบาทจอมมาร! ฮ่าฮ่า!”

พาร์ซิเดินลงมาทางถนนสายหลัก เขาได้รับการคุ้มครองจากชาวบ้านหลายคน ที่เอวเขามีเชือกผูกไว้เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกก็อบลินว่า พวกเขาคือ ‘มนุษย์ที่ห้ามกิน’ พวกเขาลากกลุ่มคนแก่ตามหลังมาด้วย

“ดูนี่! นี่แหละไอ้พวกหัวหน้าหมู่บ้านที่หันหัวหอกไปหาฝ่าบาท! พวกมันโดนปลุกเร้าจากนักผจญภัยเพื่อหวังจะขโมยความร่ำรวยของฝ่าบาทอยู่ในมือพวกมัน! ไอ้ลูกกะหรี่ที่มันขโมยข้าวสาลีของพวกเราไป! ไอ้ชั่ว!”

พาร์ซิทุบหลังพวกเขา หัวหน้าหมู่บ้านแก่ๆที่ร่างกายดูแข็งแรงกว่าที่คิดกลับถูกมัดแขนแล้วถูกทุบให้ล้มลง เมื่อเขาเห็นผม พวกเขาก็เริ่มร้องออกมาอย่างน่าสังเวช

“อะ-โอ้ ตัวตนอันยิ่งใหญ่! ให้อภัยพวกเราด้วย!”

“พะ-พวกเราหลงผิดไปชั่ววูบ! พวกเราไม่มีทางที่จะกล้า━!”

มันไม่เหตุผลที่ต้องฟังพวกมันอีกต่อไป ผมวาดนิ้วชี้ผ่านคอตัวเอง พอทำแบบนั้น กลุ่มของพาร์ซิก็เงื้อขวานและหอกราวกับรอโอกาสนี้อยู่แล้ว ก่อนที่จะแทงฟันเข้าที่หลังของหัวหน้าหมู่บ้าน

หัวหอกนั้นแทงทะลุอกอีกฝ่าย ชายชรากระอักเลือดออกมาก่อนที่หัวจะตกถึงพื้น แล้วราตรีนิรันดร์ก็มาปกคลุมนัยน์ตาของพวกเขา

ผมส่ายหัวด้วยความรังเกียจ

“ช่างโง่อะไรอย่างนี้ นี่พวกเขาละทิ้งเส้นทางแห่งการร่วมมือกัน แล้วเลือกเส้นทางแห่งหายนะได้อย่างไร?”

“อย่ากังวลไปเลยฝ่าบาท ตัวฉันจะทำให้ผู้เย้ยหยันความกรุณาของฝ่าบาทได้รับการตอบแทนอันสาสม”

น้ำเสียงไพเราะของลอร่าได้ทำนายอนาคตอันเลวร้ายโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย

“ทุกสิ่งเป็นไปดั่งที่ฝ่าบาทปรารถนา พวกเขากลับมาพร้อมกับความหมายที่แฝงเร้นเบื้องหลังการกระทำของพวกเรา แต่มันก็เป็นชั่วขณะสุดท้าย กว่าพวกเขาจะตระหนักถึงมันได้ ก็สายไปเสียแล้ว”

ผมมองไปยังหมู่บ้านที่ตอนนี้กลายเป็นทะเลเลือดราวกับผมมองไปที่ไหล่เขาในฤดูใบไม้ร่วง

พระอาทิตย์นั้นอยู่บนจุดสูงสุด ต้องใช้เวลามากกว่านี้เพื่อให้เสียงกรีดร้องจางหายไปจากท้องฟ้าสีคราม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด