ตอนที่แล้วบทที่ 002 - นิวเกมที่เสียเปรียบ (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 004 - นิวเกมที่เสียเปรียบ (3)

บทที่ 003 - นิวเกมที่เสียเปรียบ (2)


บทที่ 003 - นิวเกมที่เสียเปรียบ (2)

ในหัวข้อโพสนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเขียนไว้มากนัก แค่ถามว่า คุณพิชิตปราสาทจอมมารบาอัลได้อย่างไร? ขอให้อธิบายมาด้วย

นั่นคือเนื้อหาโพสทั้งหมดของเขา ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น อ้าวนี่แล้ว  VenusPanties ยังไม่ได้เอาชนะปราสาทจอมมารบาอัลไปแล้วหรือไง?

ผมแอบยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ในใจ

-TekilLatte: เริ่มต้นจาก ผมเอาชนะด้วยปาร์ตี้น้อยสุดคือ สมาชิก4คน มีผม,อัศวิน,อาร์คเมจ และฮีลเล่อ

-VenusPanties: ปาร์ตี้ 4 คนมันไม่เสถียรพอ โดยมาตรฐานแล้วต้องอย่างน้อย25คน

ผมขมวดคิ้ว มาตรฐาน? นี่เขากำลังจะเถียงผมว่า อะไรคือมาตรฐานที่อย่างนั้นเหรอ?

มันไม่มีหรอกอะไรที่เป็นวิธีการพื้นฐานหรือมาตรฐานในเกมนี้ อย่างน้อยมันก็กรณีที่คุณทำแต้มสูงที่สุดในเกม มืออาชีพที่แท้จริงต่างหากที่จะเป็นผู้สร้างมาตรฐานขึ้นมา ไม่มีทางที่VenusPantiesจะไม่รู้เรื่องนี้

อย่างไรก็ตามความจริงที่พูดออกมาเกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานนั้น เขาอาจจะกำลังท้าทายผมอยู่ว่า วิธีการของใครเป็นมาตรฐานกว่ากัน

ผมไม่แคร์หรอกถ้าเขาจะเรียกผมว่า เป็นขยะสดในชีวิตจริง แต่ถึงอย่างนั้นการเรียกผมว่า เป็นเพลเย่อขยะสดในDungeon Attackนี่ ผมทนไม่ไหวจริงๆ

สิ่งต่างๆที่ทำในโลกนี้อยู่ๆก็ระเหิดระเหยไปอย่างไร้ค่าหลังจากทำงานอย่างหนักนั่นมันต่างจากโลกในเกมที่ผมเก็บสะสมรวบรวมมันไว้

มันเป็นโลกใบเดียวที่ผมรู้จักดี และมันเป็นโลกแท้ๆของจริงด้วยตัวมันเอง

-TekilLatte:  เอไอในปราสาทจอมมารมันยิ่งคุ้มคลั่งถ้าคุณเพิ่มจำนวนสมาชิกในปาร์ตี้ จำนวนมอนเตอร์ก็จะมากมายราวกับฝูงแมลงสาบ

พอเป็นอย่างนั้นการกำจัดมอนสเตอร์ที่หลากหลายที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นก็เป็นเรื่องที่ยาก นั่นคือสาเหตุว่า ทำไมจึงเป็นการง่ายกว่าที่จะพิชิตดันเจี้ยน ที่มีฝูงมอนและแพทเทิร์นการต่อสู้ให้น้อยที่สุด

หัวข้อโพสนั้นอยู่ไปสักพักหนึ่ง เราสองคนแลกเปลี่ยนทฤษฏีและโต้แย้งกันไปกันมา  แม้จะไม่ได้สบถพ่นคำหยาบออกมาแต่ก็ไม่ต่างจากการทะเลาะกันนั่นแหละ

แล้วหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นระบบของเกม ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัวเสียอีก

จำนวนยอดผู้ตอบโพสเกิน 200 ในชั่วพริบตาย

‘เจ้าโง่ มันไม่ถูกโว้ย!’

บุคคลที่สามมักจะโผล่มาแทรกแบบนั้น แล้วก็เกิดการโต้เถียงกันใหญ่โต สมาชิกของเว็บก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ฝ่ายนึงเข้าข้างผมอีกฝ่ายเข้าข้างVenusPanties แล้วก็เริ่มทุ่มเถียงกัน

เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงตอนเย็น จำนวนโพสตอบเกือบ 750 โพส และการถกเถียงก็มาถึงข้อสรุป

สมาชิกที่เฝ้าติดตามรับชมกันเงียบๆได้ติดสินผู้ชนะในช่วงครึ่งหลัง

PartenonPillar: ฉันว่า TekilLatte ชนะว่ะ รอบนี้

-PlusBack: แม้แต่ฉันก็ว่า TekilLatte ถูกแฮะ

การต่อสู้นองเลือดก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว จากหนึ่งคนสู่หนึ่งฝูงชน สมาชิกเว็บต่างชูมือขวาขึ้นด้วยการประกาศชัยชนะ

แม้จะรอดจากการประลองในโคลอสเซียมได้ ผมก็ไม่ได้รู้สึกฟินนักหรอก ผมรู้สึกเหมือนเดิมอย่างเคย รู้สึกถึงความกลวงเปล่า ‘นี่เอาเวลาไปโยนทิ้งกับเรื่องแบบนี้สินะ’ ผมเสียดสีตัวเองในหัว

ตอนที่กำลังจะปิดแล็บท็อปแล้ว VenusPantiesก็มาตอบอีกความเห็นนึง

คงอยากจะค้านหรือโต้แย้งอะไรสักอย่างล่ะมั้ง?

พอผมได้อ่านข้อความของเขาเข้า ถึงได้รู้ว่า มันไม่ใช่อะไรแบบนั้น

-VenusPanties: นี่ ได้ยินข่าวเรื่องภาคต่อของ Dungeon Attack ที่จะออกมาไหม?

ห้ะ ภาคต่อเหรอ!?

ผมพิมพ์ตอบไปในทันที

-TekilLatte: เฮ้ย พูดจริงดิ?

VenusPanties: พูดจริงไม่ได้ล้อเล่น โดยพื้นฐานก็เหมือนกันกับDungeon Attackนี่แหละ ยกเว้นอย่างเดียวเท่านั้น

ตาของผมเบิกกว้าง ข่าวลือที่ว่า VenusPantiesเป็นส่วนหนึ่งของทีมพัฒนาเกมนี่เป็นเรื่องจริงสินะ?

ผมถามเขาอย่างร้อนใจว่า ความต่างหนึ่งอย่างที่ว่านั่นคืออะไรกันแน่

-VenusPanties: มันเป็นความลับน่ะ

ล้อเล่นกันหรือไง!? ผมตื่นเต้นมาก และรัวแป้นคีย์บอร์ด  ถ้าผมกดปุ่มไวยิ่งกว่านี้อีกอาจทำมันพัง

-TekilLatte: ยั่วกันเก่งชะมัด ทำเอาฉันตื่นเต้นเลยว่ะ

VenusPanties: ไม่ว่ากรณีไหน เป้าหมายของ Dungeon Attackก็คือ การหยุดจอมมารและปกป้องโลก ต่อจากนั้นเป้าหมายใหญ่ของภาคต่อก็คือ การพิชิตโลก นี่แหละคือ ประเด็นสำคัญที่สุด อย่าลืมซะล่ะ

VenusPanties ยังคงพูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่นั่น ให้แต่เพียงข้อมูลเล็กๆน้อยๆ

แม้ผมจะเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้ถึงกับโกรธขึ้นมาขนาดนั้น แม้เขาจะเป็นผู้พัฒนาจริงๆ แต่มันคงเป็นเรื่องที่ยากที่จะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับภาคต่อ

ถ้าข้ามเรื่องประเด็นสำคัญไป ก็พอจะร่างคร่าวๆได้ถึงข้อมูลเล็กน้อยที่ให้มา เกมภาคต่อไปน่าจะเป็นการไปสวมบทบาทเป็นจอมมารนี่แหละ นั่นคือ สาเหตุว่า ทำไมถึงมีเป้าหมายเป็นการพิชิตโลก

ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนผมยังหมดไฟกับการที่ชนะ Dungeon Attackได้ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า มีใหม่ที่จะใช้ฆ่าเวลา ตรงไหนสักมุมในหัวผมตำหนิที่ตัวเองเป็นพวกติดเกม แต่มันไม่สำคัญต่อไปแล้ว

ใจของผมลอยไปอยู่กับช่วงเวลาที่จะได้เล่นเกมที่กำลังจะมาใหม่

แล้วระเบิดลูกใหม่ก็หย่อนลงมา

-VenusPanties:  นายอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ ว่านายน่ะถูกเลือกให้เป็นเบต้าเทสเตอร์

หัวผมเริ่มหมุนอีกครั้ง นิ้วก็รัวแป้นลงคีบอร์ดราวกับนักดนตรีที่เล่นเปียนโนมาก 20ปี

-TekilLatte: โอ้ พระเจ้า! แกเป็นผู้พัฒนาเกมจริงๆด้วย!

-VenusPanties: ฉันขอแนะนำให้นายเป็นเบต้าเทสเตอร์

-TekilLatte: VenusPantiesคนดีที่รัก ฉันรักแกจริงๆว่ะVenusPanties

-VenusPanties: ไปไ

-VenusPanties: ไปไกลๆไป๊!

ดูการต่อต้านนั้นสิ ถึงขั้นพิมพ์ผิดออกมาโดยไม่ตั้งใจนั่นไหม?

บนใบหน้าของผมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผมดีใจที่ยอมรับคำขับไล่อย่างคำว่า”ไปไกลไป๊’

-TekilLatte: แล้วเมื่อไหร่จะเปิดเบต้าเทสล่ะ?

-VenusPanties: อยากรู้ใช่ไหม? ถ้าต้องการล่ะก็ นายเริ่มการทดสอบวันนี้ได้เลย

-TekilLatte: สุดยอดเลยว่ะ เริ่มกันเถอะ!.

-VenusPanties: ตอนนี้เลย?

-TekilLatte: เริ่มเลยน่า

-VenusPanties: แต่ตอนนี้มันมืดแล้วนะ แล้วชีวิตประจำวันของนายล่ะ?

-TekilLatte: ชีวิตประจำวันอะไรเหรอ? ไม่เห็นรู้จักของพรรค์นั้นเลย

-VenusPanties: แกนี่มันติดเกม ติดบ้านตัวพ่อจริงๆ

เอ็งก็พูดไป

เมื่อรู้ว่า ผมสามารถเริ่มได้วันนี้ เป็นไปได้ว่าพวกทีมพัฒนาอาจส่งอีเมล์ตัวทดสอบมาให้ผม

ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี ผมรู้สึกกลวงเปล่าอีกครั้งเมื่อกลับไปที่เดิม ผมจะลืมโลกใบนั้นแล้วจมจ่อมอยู่กับเกม

-VenusPanties: แน่ใจว่า จะเริ่มการทดสอบตอนนี้ เวลานี้เลย?

-VenusPanties: ไม่เสียใจทีหลังแน่นะ?

-VenusPanties: มันกินเวลาทั้งหมดของแกเลยนะ

ที่ถามมานั้นเป็นเพียงคำถามโง่ๆสำหรับผม

ผมมักเสียใจภายหลังอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้ก็เสียใจ ตอนนี้ก็ยังเสียใจ และต่อจากนี้ก็ด้วย นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมแน่ใจว่า จะรู้สึก

ผมคิดไม่นานก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป

-TekilLatte: ผมไม่สนใจทั้งนั้น

อีกฝั่งนึงตอบรับราวกับเข้าใจคำตอบของผมดี หลังจากนั้นก็ไม่มีการตอบกลับมาอีก

ผมรอพลางนึกไปว่าเขาจะส่งไฟล์มา แต่ผ่านไป30นาทีก็ไม่มีการตอบกลับใดๆ ผมคิดว่าจะเร่งพวกเขาแต่มาคิดดูอีกที พวกเขาน่าจะส่งไฟล์มาให้เองเมื่อพวกเขาพร้อม ดังนั้นผมจึงปิดแล็บท็อป

ตอนที่ผมออกจากคาเฟ่ความคิดที่ว่า เจ้านั่นอาจจะอำผมเล่นก็โผล่เข้ามา

รถวิ่งขึ้นไปวิ่งมาผ่านแยกของถนนแทฮักโร

โดยมากรถพวกนั้นมีพนักงานบริษัทเป็นคนขับ ผู้คนทั้งหลายต่างคนต่างยืนบนทางข้ามพลางคิดถึงบ้านของตัวเอง ผมได้ยินเสียงเพลงยอดนิยมทะลุผ่านหูฟังของผม

ท้องถนนนั้นระยิบระยับไปด้วยแสงสีขาว เหลือง และแดง แสงทั้งหมดสาดเข้ามาในระยะสายตาชั่วขณะก่อนที่จะหายไป

วิถีชีวิตแบบนี้จะยังดำรงอยู่อีกนานแค่ไหน?

หรือทุกอย่างจะจบลงเมื่อหมดปิดเทอมฤดูร้อนและกลับเข้าสู่การเปิดเทอมใหม่?

เมื่อไหร่กันที่ทุกอย่างจะเข้าสู่จุดสิ้นสุดเสียที?

ถ้าเทียบกับคนอื่นๆแล้วผมยังดีกว่า ยังมีผู้คนมากมายที่ต่ำทรามและโรคจิตยิ่งกว่าผมอยู่ทั่วทุกมุมโลก

ดังนั้นอย่างน้อยๆตอนนี้ผมก็สบายใจกับมันได้

ตอนนี้ ตอนนี้ ตอนนี้เท่านั้น ……หลังจากย้ำกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังว่ามีสักวันนึงที่ผมจะไม่ต้องพูดว่า ‘ตอนนี้’ อีกต่อไป

ผมคงจะเสียดายเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันนั้นมาถึง

คำตัดสินอันเที่ยงธรรม(ความตาย)จะเกิดขึ้นเสียที แล้วผมจะได้ไม่ต้องปลอบใจตัวเองว่า ผมนั้นดีกว่าหรือแย่กว่าใคร……

สัญญาณไฟให้คนข้ามเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว ผมปล่อยให้ความคิดนึกทั้งหลายเติมเต็มสมองในขณะที่สาวเท้าเดินไปข้างหน้า

ณ เวลานั้นเองที่ผมจดจำทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

จำได้ว่ามัน เจ็บปวดถึงที่สุด

สมองของผมมืดสนิทไปชั่วขณะ

พอผมลืมตาขึ้นม ก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าปิดตาไปตอนไหน โลกกลับหัวกลับไปหมด

‘อ่า’

แม้จะยังมีเสียงดนตรีเข้ามาผ่านหูฟัง แต่เสียงนั้นก็ดูเหมือนจะมาจากที่ไกลๆ ผมใคร่ครวญอย่างสบายๆ

ผมโดนชนโดยรถบรรทุก มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เสียงดนตรีปิดหูและความคิดก็ปิดการรับรู้ในหัว

ผมเดินออกไปโดยไม่รู้ว่า รถบรรทุกนั้นอยู่ข้างๆและกำลังเร่งความเร็วแซงขึ้นมา ดูเหมือนจะเป็นชั่วขณะสุดท้ายที่ผม ผมถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่สามารถทำอะไรให้กับโลกนี้อีกต่อไป

‘ผมไม่อยากตาย’

‘แม่ครับ’

‘……เจ็บเหลือเกิน’

ภาพทั้งหลายดับวูบไป ผมไม่สามารถสั่งการเปลือกตาตัวเองได้ด้วยซ้ำ มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนเปิดปิดตาแทนผม

แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น มันก็ยังคงมืดสนิทอยู่ดี

* * *

ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเพดานที่กำลังถล่ม

มุมหนึ่งในหัวยังคงหนักอึ้ง แต่พอหินตกกระแทกหน้า สัมชัญญะก็กลับคืนมา

ผมรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แวดล้อมรอบข้างสั่นสะเทือนราวกับมีระเบิดหรืออะไรถล่มลงมา อย่างต่อเนื่อง

“อะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?”

ผมอยู่ในห้องที่เคยไม่เห็นมาก่อนในชีวิต ไม่สิ ไม่ควรจะเรียกมันว่าห้องด้วยซ้ำ มันถ้ำขนาดใหญ่

เพดานนั้นสูงเป็นสองเท่าของถ้ำหินย้อนที่ผมเคยเห็นตอนไปเที่ยวที่เกาะเชจู

ดวงตาของผมมองเข้าไปในความดำมืดที่ปลายถ้ำที่ไม่มีใครรู้ว่า ไกลแค่ไหน

ทำไมผมถึงมาอยู่ในที่แห่งนี้? คำถามนั้นแวบเข้ามาในหัว แต่ผมก็ไม่มีเวลาคิด

กลิ่นเลือดคาวคลุ้ง กลิ่นฉุนของมันโอบล้อมรอบตัวผมราวกับต้องการจะปกคลุมการรับกลิ่นรวมถึงสมองให้มีแต่กลิ่นนั้น

“อ่อก……!”

คำสาปทั้งหลายพวยอุ่นผ่านลำคอของผม

มีศพมากมายกระจัดกระจายรอบตัว

ร่างมนุษย์บวมอืด,ร่างมนุษย์ที่ไร้หัว,ร่างมนุษย์ที่แขนขาหักบิดผิดทิศผิดทาง,ร่างมนุษย์ที่มีธนูปักอยู่มากมาย และมีเครื่องในทะลักออกมา――

ศพพวกนั้นกระจายไปทั่วถ้ำราวกับมีใครบางคนพยายามจัดแสดงผลงานว่า คนๆนั้นมีมากมายหลายวิธีในการฆ่า

นอกจากนี้ยังมีซากของสิ่งมีชีวิตตัวมหึมานอนอยู่ท่ามกลางซากมนุษย์ ถึงอย่างนั้นหัวผมไม่โล่งพอที่จะให้ความสำคัญกับมัน

“อั่ก! อ่วกกก โอ่กกกก!”

ผมอ้วกออกมาสักพักก่อนจะรู้โดยสัญชาตญาณว่า นี่ไม่ใช่เวลามาอ้วกอย่างสบายใจได้ ผมยังคงได้ยินเสียงระเบิดดังก้องสะท้อนอยู่ไม่ไกล แต่ละครั้งที่ส่งเสียงสะท้อนเข้ามาทั้งพื้นถ้ำและเพดานสะเทือนอย่างรุนแรง

“แม่งเอ้ย , อั่ก บ้าชิบ!”

ผมเช็ดปากแล้วเริ่มเดินต่อไปโดยไร้ความลังเล ไม่ว่ายังไงการอยู่ที่นี่ต่อไปมีแต่จะยิ่งอันตราย

ทันทีที่ผมขยับเท้าขวาเพื่อเดินก็ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่า เท้าขวาของผมหัก มันไม่ใช่อาการเท้าแพลง เมื่อตั้งใจมองดูดีๆ ผมแทบจะบอกได้เลยว่า กระดูกเท้านั้นแตกละเอียด เท้าขวานั้นห้อยต่องแต่งโดยไม่สนความตั้งใจของผม

“แม่งเอ้ย! อั่ก!”

หลังจากที่ล้มลงจากการพยายามยืนขึ้นอีก ผมก็เริ่มคลานด้วยแขนทั้งสองข้าง ด้วยการที่จะไปให้ไกลที่สุดจากการระเบิด ผมได้ยินเสียงตะโกนและกรีดร้องสลับกับเสียงระเบิด

แม้ผมจะไม่เคยมีประสบการณ์ในการรบในสงครามมาก่อน แต่สิ่งที่ผมบอกได้ก็คือ มีอะไรบางอย่างที่เหมือนการรบกันอยู่ที่นั่น มันคือ สมรภูมิรบ

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ไม่ใช่ว่าผมตายไปแล้วเหรอ?

ไม่สิ ผมอยู่ที่ไหน?

ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงใครบางคนดังมาจากด้านหลัง เสียงใหญ่แกร่งของชายคนหนึ่ง

“เฮ้ย เขาอยู่นี่! นี่ไง จอมมาร!”

จอมมาร

มันคือ ชื่อที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมโดยสิ้นเชิง แต่ก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่า เสียงนั่นตะโกนใส่ผม

พอผมหันตัวทั้งที่ยังคลานอยู่บนพื้น ผมก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดอะไรบางอย่างขณะที่กำลังเข้ามาใกล้ผม

แม้ผมจะไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่พวกเขาไม่ได้มาอย่างเป็นมิตรแน่

ชั่ววินาทีนั้นเองอะไรบางอย่างปักลงบนพื้นด้วยความเร็วอันน่ากลัวต่อหน้าผม สิ่งนั้นคือ ลูกธนู พวกเขายิงธนูใส่ผม!

ผมคลานไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง

“อย่ายิง! โอย เลิกยิงได้แล้ว! นี่ฉันไง ฉันเอง!”

เสียงของผมนั้นฟังดูอ่อนแรง เสียงร้องนั้นผสมเข้ากับการคร่ำครวญเช่นเดียวกับเสียงหอบ ผมไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้โดยไม่ส่งเสียงร้องอะไรออกไป ดังนั้นผมจึงพูดต่อ

“ฮึก อย่าเลย ได้โปรดอย่ายิงอีกเลย พวกคุณจำคนผิดแล้ว!”

ผมหายใจไม่ออก ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเร็วมาก ธนูยังคงบินใส่ผม ผมหลบมันได้…ผมหลบมันได้… คำพวกนั้นตอกย้ำซ้ำในหัวครั้งแล้วครั้งเหมือนวิทยุพัง

อย่างไรก็ดีโชคของผมก็ถูกใช้จนหมด ธนูพุ่งปักใส่แขน เนื้อของผมฉีกออกอย่างสวยงาม

มันเจ็บ!

มันเจ็บ――จริงๆนะโว้ย!

“ก่า กู่ววว!”

ทัศนวิสัยของผมมีแต่สีขาว สัมผัสได้ถึงน้ำตาที่ไหลออกมาจากตา น้ำตาที่อุ่นร้อนเป็นอย่างมาก

ผมขยับแขนขาคลานไปเหมือนแมลงโดยไม่รู้ทิศรู้ทาง หินคมๆบนพื้นถ้ำนั้นแทงเข้ากับน่อง

อย่างที่รู้แล้วว่า มันเจ็บ แต่จะทำอะไรได้ ผมยังคลานต่อไป มีอะไรบางอย่างกดทับหลังของผมไว้ ดูเหมือนผมถูกเหยียบเต็มแรง

ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักได้ว่า สิ่งที่เหยียบลงมานั้นคือ ตีนคน

“จับมันได้แล้ว! ฉันจับจอมมารได้แล้วว่ะ! ริฟผู้ยิ่งใหญ่ ได้จับตัวจอมมารดันทาเลี่ยนได้แล้ว!”

“ดูมันดิ! อย่างกับหนอนแมลงเลยว่ะ”

“ริฟ นี่แกคงไม่ได้คิดจะเอาหน้าคนเดียวใช่ไหม?”

เหมือนมีสมอหล่นทับกดลงท่อนบนของผม ถึงกระนั้นผมก็ยังคงดิ้นรน พยายามสาวแขนออกมาแล้วคลานต่อไปบนพื้นดิน ผมตีขาเหมือนว่ากำลังอยู่ในน้ำ

คนกลุ่มนั้นหัวเราะใส่ผม

“มันดูเหมือนแมลงชิบหายเลยว่ะ ไม่สินะ จริงๆมันก็เป็นแค่แมลงนั่นแหละ”

“ไอ้นี่มันโง่กว่าลูกหมาซะอีก แม้แต่คนอย่างพวกเราก็สามารถจับตัวจอมมารได้”

“ช้าก่อนทุกคน เย็นไว้ก่อน อย่าเพิ่งตื่นเต้นมากไป เรายังไม่รู้กันเลยว่า ตรงไหนของดันเจี้ยนที่มีสมบัติเก็บไว้ ชีวิตของไอ้ห่านี่อาจไม่ได้สำคัญก็จริง แต่ถ้าเรากลับบ้านมือเปล่านี่ สุดท้ายพวกเราก็จะกลายเป็นแค่ตัวตลก”

“โอ้ สหายข้า เจ้าพูดถูก”

ใครบางคนเตะสีข้างผม ผมไม่สามารถแม้แต่จะร้องออกมาได้ขณะที่ถูกเตะกลิ้ง

แค่ก แค่ก มีเพียงแต่การสำลักไอออกมาเท่านั้นที่ผมทำได้ ดินโคลนพื้นถ้ำจับตัวกับน้ำตาจนเปื้อนเลอะเต็มใบหน้า

ใครบางคนพูดกับผมทั้งที่ผมยังไม่ได้ลืมตาด้วยซ้ำ

“เอาล่ะ ฝ่าบาทจอมมาร ผมขอถามสักคำถาม เก็บเงินไว้ในห้องไหนของดันเจี้ยนกันล่ะ?”

“ไว้ชีวิตผมด้วย…… ไว้ชีวิตผม”

“ริฟ , น่ารำคาญว่ะ หักขามันหน่อยสิ มันจะได้ร้องจิ้บๆเหมือนนกไง”

“ไม่จำเป็นหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว ไซคลอป”

เขาพูดคุยเล่นกันแบบสบายๆ ส่วนผมขอร้องอย่างสิ้นหวัง

“ไว้ชีวิตผมเถอะ……ผมไม่ใช่คนที่คุณกำลังหา ……ไม่ใช่ผม”

“โอเค โอเค ใจเย็นก่อน ฝ่าบาทจอมมาร พวกเราไม่อยากใช้ความรุนแรงเกินจำเป็น เลิกร้องได้แล้วเข้าใจไหม หยุดร้องได้แล้ว!”

“ฟุ ฮ่าฮ่าฮ่า!”

เสียงหัวเราะระเบิดขึ้นรอบตัวผม

ผมกลั้นน้ำตาไว้ ไม่ว่าจะอย่างไรผมต้องถ่วงเวลากับบทสนทนาพวกนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นคือ วิธีที่ผมจะมีชีวิตรอด แม้จะอยากอาเจียน อยากร้องไห้ ผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลืนมันลงคอ

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้กับอาการสะอึก

“ดี อย่างนั้นแหละ ตอนนี้ดูเหมือนแกจะพร้อมเจรจาแล้วสินะ แบบนั้นแหละดี!”

“…ฮิก อึ้ก”

“ขอถามอีกครั้งนะ เงินทั้งหมดของดันเจี้ยนแห่งนี้เก็บไว้ที่ไหน?”

“มยองนันดง—- อึก มันอยู่ที่มยองนันดง”

มยองนันดงนั้นเป็นชื่อเพื่อนบ้านที่ผมเช่าห้องอยู่ ผมแค่หลุดชื่อแรกที่เข้ามาในหัว แล้วยังไงล่ะ? ผมก็แค่พูดไปอย่างนั้นแหละ

คนในปาร์ตี้ที่ได้ยินต่างสับสนและถามกันเอง

“เมอิรัน อะไรนะ?”

“มยองนัน , มยองนัน - ดง”

“คำอะไรวะ เสียงประหลาดดีจัง พวกนายเข้าใจสิ่งที่หมอนี่พูดไหมวะ?”

“มันคงเป็นภาษาปีศาจนั่นแหละ ฟังดูขลังดีนะ”

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทจอมปีศาจ ก็ชอบท่าทางฉลาดๆของแกแหละ ดังนั้นลยคิดว่า เราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่ก่อนอื่น เฮ้”

คนอื่นๆตบแก้มผมและขำไปด้วย

“ไอ้เจ้า เมอิรัน โดว นั่นอยู่ที่ไหน ระบุมาให้ชัดๆซิ”

“ตัวห้องนั้นมันอยู่ใน….ชั้นลับใต้ดิน”

“ในห้องจอมมารงั้นเหรอ? มีห้องลับในห้องจอมมารด้วยเหรอเนี่ย?”

“ใช่ ในห้องจอมมาร……ที่จะเปิดได้เมื่อตรวจสอบแล้วว่า ผมเป็นผู้เปิด……ดังนั้นห้องลับนั้นจะเปิดได้ ถ้าผมเอามือไปวางตรงนั้น…”

“โฮ่ อุปกรณ์เวทย์มนตร์สินะ”

‘เอาล่ะ’ ชายคนนั้นคำรามกับตัวเองก่อนจะดึงแขนผมขึ้นมา ความเจ็บแสบมหาศาลแล่นพุ่งจากเท้าขวา

“อ๊าาาา!”

“โอ้แหม ดูเหมือนขาแกจะโดนหนักนะเนี่ย”

เขาเดาะลิ้นครั้งหนึ่ง

“เฮ้ย ไอ้เด็กใหม่ ดูแลฝ่าบาทจอมมารของเราให้ดีๆ เขาคือ แขกคนสำคัญเลยนะ”

“รับทราบครับ ริฟ!”

หนุ่มน้อยที่ถูกเรียกว่า ‘เด็กใหม่’ วางแขนผมไว้ที่หลังของเขา ผมเดินทั้งที่ยังเจ็บอยู่โดยมีเขาช่วยประคองเดิน

ในที่สุดผมก็สามารถสูดหายใจเข้าได้เต็มปอด ผมเช็ดถูใบหน้าด้วยแขน พอเช็ดคราบน้ำตาออก การมองเห็นก็กลับมา แม้จะยังมีน้ำตาปนกับขี้ดินตรงขอบตาบ้าง แต่ก็เพียงพอที่จะมองเห็นอะไรที่อยู่ข้างหน้าได้

คน15คนล้อมรอบผม พวกเขาทืั้งหมดต่างถืออาวุธในมืออย่างธนูหรือหอก ทุกคนมีใบหน้าถมีงทึงน่ากลัว

“ไปกันเถอะ!”

ชายที่ชื่อ ริฟ นั้นตะโกนขึ้นมา คนอื่นๆกระซิบคุยกันและแลกถุงหนังใส่น้ำขณะที่เดินต่อไป ส่วนผมก็ถูกลากไปโดยเด็กใหม่

นับเป็นโชคดีที่พวกเขารู้ดีว่า ห้องจอมมารอยู่ที่ไหน น่าโล่งใจ เพราะถ้าพวกเขาบอกให้ผมนำพวกเขาไปห้องจอมมาร ก็คงจะรู้ได้ทันทีว่า ผมโกหก

“ฮิก……อึ้ก……”

อย่างไรก็ดี ผมไม่ละความระวังลง สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงยืดการตายของผมออกไปเท่านั้น

ถ้ำใหญ่นั้นเงียบ กลุ่มผู้คนที่พูดคุยกันจึงเกิดเสียงสะท้อนก้องไปมา ราวกับเป็นเพลงสวดส่งผู้วายชนม์ และยังเพิ่มเสียงฮือครางของผมปะปนเข้าไปด้วย

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด