บทที่ 59: เพียงผิวน้ำ
บทที่ 59: เพียงผิวน้ำ
“พี่ซุน” ลู่หยวนถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ในเวลานี้ สีหน้าของซุนซือเหวินก็ดูจะไม่ค่อยดีนักในขณะที่เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ไร้สาระ ไร้สาระ มันจะไปมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเช่นนั้นบนโลกใบนี้ได้ยังไง? บินบนฟ้า? ตัดผ่านภูเขา? หยุดน้ำไหล? บ้า นี่มันบ้าไปแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อเรื่องไร้สาระเช่นนี้” ดูเหมือนว่าจิตใจของซุนซือเหวินจะสั่นคลอนเล็กน้อยในขณะนี้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ลู่หยวนก็ได้แต่ส่ายหัว จิบเหล้า และคิดกับตัวเอง
ต่างจากเจ้าของโรงเตี๊ยมที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวอันน่าทึ่งและไม่ได้คิดจะตรวจสอบความถูกต้องของเรื่องราวเหล่านั้น
ในฐานะคนที่ฝึกฝนวรยุทธ์และพัฒนากำลังภายในขึ้นมาได้แล้ว ลู่หยวนก็เชื่อในความมหัศจรรย์ของวรยุทธ์โดยไม่มีข้อกังขา
แต่หากจะให้เขาเชื่อว่าวรยุทธ์สามารถทำให้คนบินได้ ตัดภูเขาได้ และแยกแม่น้ำได้ มันก็จะเป็นการดูถูกสติปัญญาของเขาไปเล็กน้อย
“ถึงอย่างนั้น บางทีปรมาจารย์หรือแม้แต่มหาปรมาจารย์ที่อ้างตนว่าสามารถผ่าภูเขาและแยกแม่น้ำได้นั้นจริงๆ แล้วอาจจะสามารถทำได้แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็คงจะเป็นบุคคลในระดับตำนานอย่างแท้จริง”
ด้วยเหตุนี้เอง การที่จอมยุทธ์ระดับตำนานเช่นนี้มาต่อสู้กันในที่ชนบทเช่นนี้จึงไม่น่าเชื่อเลย
และแน่นอนว่าลู่หยวนก็ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่หลี่เอ๋อพูด
ทักษะฝ่ามือเมฆาที่เขาฝึกฝนมานั้นเป็นทักษะฝ่ามือขั้นสอง ซึ่งสามารถฝึกฝนจนกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฝ่ามือเมฆาจะได้รับการฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว และตัวเขาเองจะกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองแล้ว แต่ลู่หยวนก็ยังตระหนักดีกว่าจนถึงตอนนั้น แม้ว่าเขาจะทุ่มแรงทั้งหมดที่มี แต่เขาก็คงจะสามารถทำลายก้อนหินขนาดเท่าแขนลงได้ภายในหมัดเดียวเท่านั้น
และนั่นก็คือขีดจำกัดของเขาแล้ว
กลับกัน สำหรับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งซึ่งมีระดับสูงกว่าจอมยุทธ์ขั้นสองเพียงขั้นเดียว พวกเขาก็กลับสามารถบินบนอากาศ ผ่าภูเขาและแยกแม่น้ำได้?
“เป็นไปไม่ได้ที่ความแตกต่างระหว่างขั้นทั้งสองจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้”
เป็นเพราะเขาศึกษาและฝึกฝนวรยุทธ์อย่างมุ่งมั่น มันจึงทำให้ลู่หยวนรู้ได้ทันทีว่าคำอธิบายของหลี่เอ๋อนั้นเกินจริงและน่าจะได้รับการเปลี่ยนแปลงเนื้อหามาไกลจากต้นฉบับมาก
มันสมเหตุสมผล
เมื่อข่าวแพร่กระจายมาจากสันเขาเทพธิดา มันก็จะต้องผ่านปากของคนหลายคนและสถานที่ต่างๆ หลายแห่งตลอดทาง
ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงไม่แปลกที่ข่าวลือที่ตกทอดมาถึงพวกเขาจะมีเรี่องแต่งอยู่สัก 70%
“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข่าวจะน่าเหลือเชื่อเกินจริง แต่ข้อมูลก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง และมันก็ยังช่วยให้ฉันสามารถยืนยันบางประเด็นได้”
ลู่หยวนจิบเหล้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และจิตใจของเขาก็เริ่มประมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็ว
“ประการแรก มันเป็นเรื่องจริงที่ฟางเทียนหยิงพ่ายแพ้”
“ประการที่สอง ราชาอินทรีได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น แต่ยังไม่ตาย กลุ่มโจรวายุทมิฬยังไม่ได้ถูกขับออกจากลู่หลิง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าวิกฤตโจรกบฎจะยังดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง”
“ประการที่สาม หลี่เอ๋อกล่าวว่าหวังฉวน แม่ทัพของลู่หลิงเองก็ได้เข้าร่วมในการดักซุ่มโจมตีราชาอินทรีด้วย ทว่าชายสวมหน้ากากลึกลับในชุดดำก็ได้ปรากฏตัวขึ้นซะก่อนและได้หยุดหวังฉวนเอาไว้”
“ด้วยเหตุนี้เอง แผนการดักซุ่มโจมตีแบบสามง่ามจึงกลายเป็นแบบสองง่าม และนั่นก็ทำให้ราชาอินทรีสามารถหลบหนีไปได้”
ขณะที่ลู่หนวนกำลังครุ่นคิดถึงข้อมูลสามชิ้นที่เขาตกผลึกมาได้ เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว “ตามที่คาดไว้ ผู้คนที่อยู่เบื้องหลังฟางเทียนหยิงได้เข้ามาแทรกแซงในการดวลนี้”
และเป็นเพราะฟางเทียนหยิงรู้ว่าเขามีคนคอยสนับสนุน เขาจึงเริ่มการต่อสู้โดยไม่กลัวตาย
จุดประสงค์ของการดวลของเขาคือเพื่อยั่วยุใช่ไหม? หรือเพื่อแสดงพลัง? หรือเพื่ออย่างอื่น?"
ลู่หยวนขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเรื่องราวในโลกยุทธ์ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา มันทำให้ยากต่อการค้นหาความจริงและเบาะแสภายใน
คำตอบนี้ดูเหมือนจะเปิดให้เขาเห็นได้เพียงผิวน้ำเท่านั้น