ตอนที่แล้วChapter 263 ชีวิตของข้าที่ถูกกำหนดให้ต้องตาย ไม่มีอะไรสามารถทำได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 265 ตัดผ่านไปยังอาจารย์ยุทธ์ขั้นเจ็ด

Chapter 264 เมื่อรับศิษย์เต็มจำนวน ภารกิจสำนักก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง.


เพราะว่าเสียเวลาระหว่างทาง จุนซ่างเซียวจึงใช้เวลาสองชั่วยามจึงเดินทางถึงเมืองซุนหยาง.

“ปู่ลู่...”เด็กสาวยังคงสะอื้นบนไหล่ของหลิงหยวนเสวี๋ยเบา ๆ นางร้องไห้จนเหนื่อยล้าแล้วหลับไปช้า ๆ.

“เจ้าสำนัก.”

หลี่ชิงหยางจ้องมองไปยังนาง กล่าวออกมาว่า “เด็กสาวคนนี้น่าสงสารนัก.”

จุนซ่างเซียวส่ายหน้าไปมา กล่าวออกไปว่า “ในโลกนี้มีคนน่าสงสารมากมาย ที่ไม่มีคนเห็นและยื่นมือเข้าไปช่วย.”

“ทราบแล้ว.”

หลี่ชิงหยางรู้ดีว่าเจ้าสำนักนั้นปากร้ายแต่ใจดี.

ทั้งที่เคยช่วยเขา ช่วยศิษย์น้องเซียว แม้แต่เด็กสาวคนนี้ แม้นว่าจะพูดเช่นนั้นแต่ในใจกลับมีเมตตา.

ศิษย์หลายคนย่อมรู้หากแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา.

หากลู่เชียนเชียนอยู่ในเหตุการณ์ บางทีคงกล่าวเหน็บแนมเขาไปเรียบร้อยแล้ว.

“ไปเถอะ.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “เข้าไปในเมือง.”

เหมือนกับก่อนหน้านี้.

หลังจากเข้ามาในเมืองซุนหยาง ก็เดินทางไปยังตำหนักเจ้าเมือง บอกกล่าวแจ้งว่าจะขอรับศิษย์ในเมืองแห่งนี้.

เจ้าเมืองซุนหยางที่รับรู้ว่าศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งที่ได้ชัยชนะเลิศต่างมนทลมา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ขัดข้อง.

เขาและเจ้าเมืองอ้าวคิดเหมือนกัน เรื่องนี้เป็นปัญหาของกลุ่มสำนัก ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา.

ลานเมืองซุนหยาง.

สำนักไท่กู่เจิ้งที่มาตั้งซุ้มที่นี่.

ในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น พันธมิตรร้อยสำนักไม่มาหาเรื่องเลย หลังจากลั่นกลองแจกแผ่นปลิวโฆษณา ก็รับศิษย์ 110 คน สมาชิกจาก 602 เพิ่มเป็น 712 คะแนนสนับสนุนเพิ่มจาก 104 เป็น 214.

“ดูเหมือนว่า ยังเหลืออีกสี่เมือง ควรแบ่งแยกศิษย์ออกไปรับสมัครหรือไม่?”จุนซ่างเซียวที่กล่าวเสียงเบา.

“เจ้าสำนัก.”

ในเวลานั้น หลี่ชิงหยางที่เดินเข้ามา ที่ด้านหลังมีบุรุษคนหนึ่งก้าวเดินตามมา.

แน่นอนว่าเขาก็คือนายน้อยสองของตระกูลซ่ง นามซ่งเสวียนโจว.

ในเมืองซุนหยางแห่งนี้เขาคือพรสวรรค์อันดับหนึ่ง ที่กลับมายืนได้อีกครั้ง หลังจากที่บาดเจ็บหนักมา.

“เจ้าสำนักจุน.”

ซ่งเสวียนโจวที่ยกมือประสานเอ่ยออกมาว่า “ได้ยินชื่อมานานแล้ว โชคดีที่ได้พบ เป็นวาสนาจริง ๆ!”

เกี่ยวกับเรื่องของสำนักไท่กู่เจิ้ง เขาได้ยินมาบ้าง.

และยิ่งรู้ว่าเพื่อนของเขาหลี่ชิงหยางร่วมสำนักดังกล่าว ทำให้เขาสนใจเป็นอย่างมาก ไม่แม้แต่ฟังการห้ามปรามของตระกูลแม้แต่น้อย.

“นายน้อยซ่ง.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “ชิงหยางคงจะบอกเจ้าแล้ว สนใจที่จะเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งหรือไม่?”

“ฟิ้ว!”

ซ่งเสวียนโจวที่ยกมือประสานหน้าอกกล่าวออกมาว่า “หากเจ้าสำนักไม่รังเกียจว่าซ่งโหมวเคยเป็นคนพิการลุกไม่ได้มาก่อน ข้าก็ยินดีที่จะเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง!”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “เปิ่นจั้วเอ็นดูเหล่าพรสวรรค์ มีหรือที่จะไม่ยินดี.”

“ปั๊บ!”

เขาที่ประทับตราลงยังใบสมัคร.

คะแนนสนับสนุนที่เพิ่มหนึ่งคะแนน แต่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือเขาได้ศิษย์พรสวรรค์ระดับสูงอีกคนมา.

“ศิษย์ซ่งเสวียนโจว.”

ซ่งเสวียนโจวที่ยกมือประสานพลางโค้งคารวะ “คารวะเจ้าสำนัก!”

“ตอนนี้เจ้ามีพลังบ่มเพาะเท่าใดแล้ว?”

“เปิดชีพจรขั้นที่ 10”

หากไม่เพราะว่าต้องนอนซมหลายปี บางทีตอนนี้เขาคงจะก้าวไปถึงระดับศิษย์ยุทธ์แล้ว.

จุนซ่างเซียวที่คิดในใจ “ด้วยระดับพลังบ่มเพาะดังกล่าว สามารถใช้วิชาบ่มเพาะเปลี่ยนเส้นเอ็น ในการบ่มเพาะหลักได้.”

“กลับไปบ้านเพื่อบอกลาครอบครัวของเจ้าเถอะ.”

“ก่อนจะมาพบกับเจ้าสำนัก ข้าได้กล่าวลาบิดามารดาของข้าแล้ว.”

รวดเร็วขนาดนี้เลยรึ?

หลี่ชิงหยางเอ่ย “ก่อนมาพบเจ้าสำนัก ข้าได้รับปากเขาด้วยคำพูดมาก่อนแล้ว จึงได้ให้ศิษย์น้องเสวียนโจวกล่าวลา เตรียมเดินทางไปยังสำนักไท่กู่เจิ้งของพวกเราเลย.”

เป็นเช่นนี้นะเอง.

จุนซ่างเซียวกล่าวเสียงเคร่งขรึม“เตรียมกลับสำนัก.”

ภายใต้สายตาของคนเมืองซุนหยางหลายคน สำนักไท่กู่เจิ้งก็ค่อย ๆ นำศิษย์จากไป.

....

“เฮ้อ.”

ที่ห้องโถงของตระกูลใหญ่แห่งหนึ่ง มีใครบางคนกำลังทอดถอนใจ.

ซ่งเสวียนโจวที่ได้รับยาฟื้นฟูและกลับมายืนได้อีกครั้ง มีคนมาหาเขามากมาย ต้องการรับไปเป็นศิษย์.

ทว่าประมุขซุนได้ประกาศให้ทุกคนได้รู้ก่อนแล้ว บุตรชายของเขาเพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บ จำเป็นต้องการเวลาสักพักในการฟื้นตัวให้ร่างกายสมบูรณ์ ดังนั้นจึงได้ปฏิเสธทุกคนไป.

ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นสำนักไท่กู่เจิ้งที่ได้บุตรของเขาไป!

......

“ประมุข!”

อาวุโสคนหนึ่งที่ใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ “เสวียนโจวเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งแล้ว จะไม่เป็นปัญหารึ?”

“ใช่แล้ว.”

อาวุโสอีกคนที่กล่าวสนับสนุน “จุนซ่างเซียวไม่เพียงล่วงเกินฉินเห่าหราน ทว่ายังล่วงเกินนิกายเซิ่งชวนด้วย การที่เสวียนโจวเข้าร่วมสำนักเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก.”

อาวุโสตระกูลซ่งต่างก็ไม่เห็นด้วย ที่ซ่งเสวียนโจวเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง.

พวกเขาไม่ต้องการให้ลูกหลานใช้ชีวิตอย่างประมาท เข้าร่วมกับสำนักที่หาเรื่องผู้คนไปทั่ว.

ประมุขช่งเอ่ยออกมาว่า “เสวียนโจวเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง เป็นการตัดสินใจของเขา ข้าที่เป็นบิดา มีแต่ต้องสนับสนุนเท่านั้น.”

ประมุขซ่งนั้นก็เหมือนกับประมุขหลี่ในครั้งนั้นนั่นเอง.

แน่นอน.

สำนักไท่กู่เจิ้งที่มีชื่อเสียงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล.

หากเป็นเหมือนเมื่อครั้งงานร้อยสำนัก เขาก็คงเหมือนประมุขหลี่ ที่ต้องปฏิเสธห้ามบุตรของตัวเองอย่างหนัก.

เวลานี้อาวุโสตระกูลซ่งทำได้แค่เงียบ.

ในเมื่อประมุขตัดสินใจเช่นนี้ พวกเขาจะโต้แย้งอะไรไปก็ไร้ประโยชน์.

หลังจากเลิกประชุม.

ประมุขซ่งที่ยืนอยู่ในห้องหนังสือ มองลอดผ่านหน้าต่าง จ้องมองออกไปด้านนอกเงียบ ๆ “โจวเอ๋อ เจ้าตัดสินใจเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งด้วยตัวเอง ไม่ว่าเส้นทางจะยากลำบากเพียงใด ก็อย่าได้ยอมแพ้ง่าย ๆ.”

......

สำนักไท่กู่เจิ้ง.

จุนซ่างเซียวที่นำศิษย์กลับสำนัก และหลี่ชิงหยางจัดแจงทุกอย่างต่อ.

มีเพียงคนหนึ่งที่เขาต้องกังวล เด็กหญิงที่ยังคงเศร้าสร้อย หลบอยู่ที่มุมหนึ่ง ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ เขาจะลงทะเบียนศิษย์ได้อย่างไร?

“เจ้าสำนัก!”

หลิวหว่านซี่ที่ขันอาสา “ข้าจะถามเอง!”

“อืม.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.

ในเวลานี้ เขาคงทำได้แค่ให้โลลิใหญ่ไปจัดการโลลิเล็กแล้ว.

หลิวหว่านซี่ที่ทำอาหาร เตรียมไว้ที่ตึกข้าง ๆ.

“กึก.”

จากนั้นไม่นาน ได้ยินเพียงเสียงวางตะเกียบ.

จุนซ่างเซียวที่มองลอดหน้าต่างออกไป เห็นเพียงเด็กหญิงกินอาหารอย่างอร่อย กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “อาหารของพี่หลิว หอมและอร่อยมาก!”

เป็นความจริง อาหารของนางนั้นยากจะมีคนต้านทานมันได้.

“เจ้าสำนัก.”

ผ่านไปพักหนึ่งหลิวหว่านซี่ที่อุ้มเด็กหญิงออกมา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นางชื่อว่าเหยาเมิ่งหยิง ยินดีที่จะเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งของพวกเรา.”

เขาที่จัดแจงเอกสารและปั้มตราสำนักลงไป.

“ตู้ตู้.”

จุนซ่างเซียวเอ่ยเสียงผ่านวิญญาณ “เด็กน้อยคนนี้กำลังเสียใจอยู่ เจ้าดูแลต่อก็แล้วกัน.”

“อืม.”

หลิวหว่านซีเอ่ย “เจ้าสำนัก ข้าและเมิ่งหยิงอยู่ในห้องเดียวกันได้หรือไม่?”

“ไม่มีปัญหา.”

......

หลังจากรับศิษย์สองเมืองแล้ว จุนซ่างเซียวก็มุ่งหน้าไปยังเมืองเหยาหยาง.

เหล่ากลุ่มพันธมิตรของเมืองหยางหยางไม่เป็นมิตรนัก.

ต้องไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่งในพื้นที่แห่งนี้มีสำนักหลิงชวนที่ถูกเขาทำลายไป ดังนั้นการมาตั้งซุ้มรับสมัครที่นี่ จึงมีคนเข้ามาสร้างปัญหา.

“ไม่ยอมรับอย่างงั้นรึ?”

จุนซ่างเซียวเอ่ยกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล“เช่นนั้นก็ต่อสู้กับศิษย์ข้า หากว่าชนะเขาได้ล่ะก็ ข้าจะจากไปทันที ไม่ลงเขามารับศิษย์ที่นี่อีก.”

จากนั้น เย่ซิงเฉินก็ก้าวขึ้นเวที.

เพียงเวลาไม่นาน ก็เอาชนะเจ้าสำนักกว่า 30 คนให้หงายเก๋งไร้สภาพไป.

อดีตราชันย์รัตติกาลไม่ใจดีเหมือนกับเซียวจุ้ยจื่อ คนที่ล้มหมอบไปนั้น คงต้องใช้เวลาพักฟื้นสามถึงห้าเดือนเป็นอย่างต่ำ.

หลังจากจัดการพวกตัววุ่นว่ายเสร็จแล้ว การรับศิษย์ก็เริ่มขึ้น ซึ่งพวกเขาได้รับศิษย์กว่า 110 คน เพียงเวลาหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น.

วันถัดมาพวกเขาก็เดินทางไปยังเมืองอื่น ๆ อีก.

ไปยังเมืองฮัวหยาง เจิ้นหยางและโซวหยาง.

หลังจากพบความปราชัยที่หนักหนาสองครั้ง พันธมิตรร้อยสำนักก็ไม่กล้ามาหาเรื่องพวกเขาอีกต่อไป.

“ปั๊บ!”

ตราสำนักที่ประทับลงบนใบรับสมัครคนสุดท้าย ก็ได้ยินเสียงระบบดังขึ้น.

“ติ๊ง! สมาชิกสำนัก 1000 / 1000.”

“ติ๊ง! คะแนนสนับสนุนสำนัก : 502 / 1000.”

ศิษย์ทุกคนที่จุนซ่างเซียวนำกลับสำนักอย่างพร้อมเพรียง วันถัดมา ระบบได้แจ้งเตือน ภารกิจสำนักเริ่มเปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว.

“มีระดับดาวบอกความยากง่าย ขอเพียงศิษย์ทำสำเร็จทั้งหมด ก็น่าจะยกระดับสิ่งก่อสร้างระดับสี่ได้.”

จุนซ่างเซียวที่ถูมือไปมา.

ฟังก์ชันเลเวลสี่ก็คือ หอยันต์อักขระนั่นเอง.

นี่คือสิ่งที่เจ้าสำนักจุนต้องการ เพราะว่ามียันต์รู้แจ้ง ยันต์ป้องกันและยันต์แห่งความเร็ว ควรจะสามารถหลอมขึ้นมาใช้งานเองได้!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด