ตอนที่แล้วChapter 8 ถูกดูหมิ่นจากทุกสำนัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 10 นิกายโบราณ!

Chapter 9 พรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองชิงหยาง


งานรับศิษย์ร้อยสำนักได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว.

สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนกับพื้นที่จัดไว้สำหรับเหล่าสำนักผู้ฝึกยุทธ์ ต้อนรับผู้เยาว์ที่แสวงหาอนาคตทุกคน.

พวกเขาส่วนมากได้เริ่มก้าวไปเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว และเพื่อ กลายเป็นยอดฝีมือ พวกเขาจำเป็นต้องค้นหาสำนักสังกัดเพื่อสั่งสมประสบการณ์และยกระดับพวกเขาขึ้นไปอีก.

การรับสมัครในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาสมัครเข้าสำนักที่มีชื่อเสียงแล้ว มันยังเป็นการกำหนดอนาคตของพวกเขาว่าจะสามารถ ไปได้ไกลเท่าไหร่ด้วย ดังนั้นการจะคัดเลือกสำนักสักแห่งจึงต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง.

เวลาที่ค่อย ๆ ไหลไปช้า ๆ.

ผู้คนเริ่มมากขึ้นและก็มากขึ้น.

บนลานยุทธ์มีซุ้มกระโจมของสำนักต่าง ๆ มากมาย มารวมตัวกัน เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เสาะหาสำนักได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศดูวุ่นวายขึ้นมาในทันที.

อย่างไรก็ตาม.

กับความวุ่นวายเบียดเสียดกันอยู่นั้นได้ทำให้เกิดความเด่นชัดแบ่งแยกชัดเจน ในพื้นที่แห่งหนึ่ง.

สถานที่ระหว่างสำนักดาบใหญ่และสำนักพยัคฆ์คำราม กลายเป็นช่องว่างที่ไม่มีใครเข้าไปถาม ไม่มีแม้แต่แมลงบินผ่านเข้าไปด้วยซ้ำ.

แผนการยืมชื่อเสียงสำนักอื่นสร้างความสนใจ.

มีผู้เยาว์จำนวนมากผ่านไปมา หันมาแลมองด้วยความสงสัยบ้างอยู่เหมือนกัน.

แต่เมื่อมองเห็นป้าย สำนักไท่กู่เจิ้ง พวกเขาถึงกับถอยหลังอย่างไม่ตั้งใจ แม้แต่เร่งรีบหนีไป กลัวว่าจะได้รับความโชคร้ายติดตัวมา.

หลายวันมานี้.

เกี่ยวกับสำนักไท่กู่เจิ้ง กลายเป็นที่พูดคุยไปทั้งเมืองชิงหยาง ว่าพวกเขาเข้าร่วมรับศิษย์ หากแต่ไม่มีแม้แต่ผู้เยาว์คนเดียวเข้าไปสอบถาม ไม่แม้แต่เป็นที่สนใจ อนาคตต้องล่มสลายแทบจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว.

“เฮ้อ.”จุนซ่างเซียวที่เผยท่าทางหมดใจ ถอนใจแรง พร้อมกับกล่าวออกมาว่า “สำนักไท่กู่เจิ้งของข้า มันน่าผิดหวังขนาดนั้นเลยรึ?”

“น่าผิดหวังมาก.”

ลู่เชียนเชียนที่เอ่ยกล่าวออกมาตรง ๆ.

จุนซ่างเซียวที่กุมหน้าอก เอ่ยกล่าวออกมาด้วยเสียงเหนื่อยล้า “เชียนเชียน เจ้าจะไม่ทำร้ายหัวใจอันบอบบางของเปิ่นจั้วสักครั้งได้ไหม?”

“ได้.” ลู่เชียนเชียนกล่าว “เจ้าสำนัก ไม่มีใครมาสอบถามเลย พวกเราเก็บของกลับกันเถอะ.”

จุนซ่างเซียวแทบร่ำไห้ออกมา.

สตรีคนนี้คิดจะส่งข้าขึ้นสวรรค์เลยรึไง นี่จงใจทำร้ายจิตใจเปิ่นจั้วแน่นอน!

ในเวลาเดียวกันสำนักดาบยักษ์และสำนักพยัคฆ์คำราม ที่ผู้เยาว์มากมายเข้ามาสอบถาม พวกเขาที่ลอบมองมายังข้าง ๆ ด้วยแววตาและรอยยิ้มเหยียดหยันเปรียบเทียบ เพราะซุ้มของพวกเขามีคนมากขึ้นและก็มากขึ้นเข้ามาสอบถามนั่นเอง.

ไอ้เด็กน้อย.

รับรู้ความเป็นจริงของชีวิตรึยัง?

......

ซุ้มของสำนักไท่กู่เจิ้งนั้นไม่มีผู้เยาว์แม้แต่คนเดียวเข้าไปสอบถาม ทั้งที่ผู้คนมากมายที่ออกันด้านหน้าสำนักต่าง ๆ ทำให้พื้นที่ใกล้ ๆกันถูกแบ่งแยกออกจากกัน ราวกับว่าเป็นคนละโลกกันเลย.

“เจ้าสำนัก.”

ลู่เชียนเชียนที่เอ่ยออกาอีกครั้ง “ยังไม่เตรียมเก็บของกลับอีกรึ?”

“ไม่กลับ.”จุนซ่างเซียวยังคงนั่งต่อ.

เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีผู้เยาว์เข้ามาถามเลยสักคน จะไม่มีคนหลงเข้ามาเลยรึ?

“หลี่ชิงหยางตระกูลหลี่มา!”

ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ตะโกนออกมาก่อนเพื่อน ทันใดนั้นทำให้ผู้คนมากมายมองเป็นสายตาเดียวกัน จ้องไปยังทิศทางทิศหนึ่งพร้อมกัน.

เพียงคำพูดไม่กี่คำ กับสร้างคลื่นกระทบขนาดนี้เลยรึ?

จุนซ่างเซียวที่ลอบคิด “ข้าขอดูสักหน่อย ผู้เยาว์ที่ร้อยปีจะมีสักคน เผื่อจะมีวิธีนำเขาไปได้!”

“วิ้ง!”เขาที่ก้าวมาหยุดมองไปที่ซุ้ม ๆ หนึ่ง.

พร้อมกับแหวกผู้คนจำนวนมาก จนเกิดเป็นทาง สามารถมองเห็นชุดสีขาวของเขาที่กำลังก้าวตัดผ่านฝูงชนเข้ามาได้.

“หืม?”

จุนซ่างเซียวที่ตกใจเล็กน้อยและเอ่ยออกมาว่า “คน ๆ นี้ดูเหมือนว่า จะเคยเห็นมาก่อน.”

ลู่เชียนเชียนที่มองตาม ก่อนที่จะกล่าวออกมาเสียงเบา “เจ้าสำนัก เขาคือคนที่พวกเราพบระหว่างทาง คนที่ได้รับบาดเจ็บที่พวกเรารักษา และเป็นคนที่หนีไปโดยไม่เอ่ยกล่าวคำขอบคุณ.”

หลังจากที่นางเอ่ย จุนซ่างเซียวก็ จำได้ในทันที “ไม่ผิด เป็นเขา.”

......

หลี่ชิงหยางที่มีรากวิญญาณระดับสูง เมื่อมาถึงลานรับสมัครศิษย์ ก็กลายเป็นที่สนใจของผู้คนมากมายขึ้นมาทันที.

ในทวีปซิงหยุนนั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธ์จะแบ่งแยกพรสวรรค์ออกเป็นระดับรากวิญญาณ ซึ่งประกอบด้วย ระดับต่ำ ระดับสามัญ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับศักดิ์สิทธิ์ และระดับเทวะ.

รากวิญญาณยิ่งสูงเท่าไหร่ พรสวรรค์และความเข้าใจในการฝึกยุทธ์จะมากขึ้นเท่านั้น แม้แต่พลังบ่มเพาะ ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าคนที่มีพรสวรรค์ที่ระดับต่ำกว่ามาก.

สำหรับเมืองชิงหยางแห่งนี้ เหล่าผู้เยาว์ที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปี คนที่มีรากวิญญาณระดับกลาง จะมีเพียงคนเดียวในหมื่นคน.

ทว่าหกเดือนที่แล้ว.

หลี่ชิงหยาง ปีที่หลังจากการทดสอบรากวิญญาณ  เขาได้ถูกทดสอบว่ามีรากวิญญาณระดับสูงอย่างคาดไม่ถึง ทันใดนั้นเขาก็เจิดจรัสส่องประกายแสงขึ้นมาทันที กลายเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองชิงหยางไป.

แม้แต่เจ้าเมืองยังได้กล่าวความยินดีประกาศต่อหน้าทุกคน “หลี่ชิงหยางคือความหวังของเมืองชิงหยาง หากเขาฝึกฝนบ่มเพาะอย่างจริงจัง ในอนาคตข้างหน้าจะต้องก้าวไปถึงระดับกษัตริย์ยุทธ์ได้อย่างไม่มีปัญหา!”

ด้วยชื่อเสียงของหลี่ชิงหยาง ย่อมสร้างความสนใจไปทั้งมนทลชิงหยาง ดังนั้นในงานรับศิษย์ร้อยสำนัก จึงมีสำนักนอกมนทลเข้าร่วมด้วยเช่นกัน.

รากวิญญาณคือตัวกำหนดพรสวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์ เป็นเรื่องทั่วไปที่สำนักต่าง ๆ ล้วนแต่ต้องการคนที่มีพรสวรรค์ระดับสูง.

หลังจากที่หลี่ชิงหยางปรากฏตัว เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มากมายต่างก็จับจ้องมองเป็นสายตาเดียว ทำให้เขากลายเป็นจุดเด่นขึ้นมาในทันที.

“นายน้อยหลี่ หากเข้าร่วมสำนักเถี่ยหยง(อินทรีย์เหล็ก) ท่านจะได้กลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักทันที!”

“ศิษย์พี่ใหญ่ก็ดี นายน้อยหลี่หากเข้าร่วมสำนักชิงอวิ๋น ของพวกเรา ท่านจะได้เป็นอาวุโสสำนักทันที!”

“เพ่ย สำนักชิงอวิ๋นของเจ้ามีอาวุโสกว่า 190 คน ไม่คิดจะรับศิษย์เลยรึไง ข้าคิดว่ามันจะมากกว่ากว่าศิษย์เร็วๆนี้แล้ว ทว่าเจ้ายังคิดจะรับนายน้อยหลี่ไปอีกรึ?”

“นายน้อยหลี่ หากเข้าร่วมกองกำลังจู่หลิง(กงล้อยักษ์) สำหรับเส้นทางการฝึกยุทธ์ ท่านจะได้รับทรัพยากรมากมายอย่างพอเพียง!”

“นายน้อยหลี่ หากท่านเข้าร่วมวิหารหรูอี้ ท่านจะมีศิษย์พี่ศิษย์น้องสตรี คอยบริการเป็นการส่วนตัวทั้งวันทั้งคืน!”

หลากหลายสำนัก หลากหลายสังกัดพยายามเอาชนะใจหลี่ชิงหยาง ด้วยข้อเสนอมากมาย.

ช่างน่าเสียดายที่สุดยอดพรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองชิงหยาง ก้าวผ่านพวกเขาไป ไม่หยุดก้าวเข้าไปในซุ้มของพวกเขาเลย.

ในงานรับศิษย์ร้อยสำนักแห่งนี้ แน่นอนเขาจะต้องหาสำนักสักแห่งเพื่อเข้าร่วม ทว่าภายในใจของเขา สำนักระดับแปดและเก้าไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาเลย.

“นายน้อยหลี่.”

ในเวลาเดียวกันนั้น ชายชราคนหนึ่งที่ก้าวเดินออกไปขวางหน้าเขา เอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สนใจ เข้าร่วมนิกายเขาชางซานของข้าหรือไม่?”

“นิกายเขาชางซานอย่างงั้นรึ?”

เหล่าผู้เยาว์มากมายต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ.

จุนซ่างเซียวกล่าว “เชียนเชียน นิกายเขาชางซานนี้ ร้ายกาจขนาดนั้นเลยรึ?”

ลู่เชียนเชียนพยักหน้ารับและกล่าวออกมาว่า “ในมนทลชิงหยาง นิกายเขาชางซานนั้นเป็นกองกำลังลำดับห้า มีศิษย์มากมาย และมียอดฝีมือนับไม่ถ้วนในนิกาย.”

“ระดับห้า?”

จุนซ่างเซียวที่อุทานด้วยความประหลาดใจ “ร้ายกาจจริง ๆ.”

ในทวีปซิงหยุนนั้นมีการจัดลำดับกองกำลัง ต่ำสุดคือขั้นที่เก้า และสูงที่สุดก็คือระดับหนึ่ง นิกายเขาชางซานเป็นกองกำลังลำดับห้า ถือว่าเป็นยักษ์ใหญ่ในมนทลแห่งนี้.

และระดับกองกำลังขั้นห้าจะไม่ใช้คำว่าสำนักนำหน้าแล้วพวกเขาจะใช้คำว่านิกาย

“หากสำนักไท่กู่เจิ้งก้าวไปถึงระดับห้า จะมีศิษย์กี่คนกัน?”

จุนซ่างเซียวที่ลอบคิดอยู่เงียบ ๆ.

ลู่เชียนเชียนกล่าว “คนผู้นี้มีรากวิญญาณระดับสูง แน่นอนว่ามีพรสวรรค์ที่ไม่เลว การเข้าร่วมนิกายขั้นห้าถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด.”

“หากเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าการจะรับเขาเป็นศิษย์คงหมดหวังแล้ว.” จุนซ่างเซียวที่ส่ายหน้าไปมา.

จวีซีสำนักดาบใหญ่ที่เอ่ยกล่าวออกมาเบา ๆ “พรสวรรค์เช่นนายน้อยหลี่ แม้แต่นิกายลำดับห้ายังต้องการ อย่างสำนักไท่กู่เจิ้งยังกล้าคิดเนอะ”

“จวีซีซุน.”

ศิษย์สำนักพยัคฆ์คำรามที่เผยยิ้มและกล่าวออกมาว่า “อย่าลืม ระหว่างพวกเรามีการเดิมพันอยู่!”

จวีซีซุนที่กล้าวล้อ “การรับศิษย์ยังเหลือเวลาอีกนาน สำนักไท่กู่เจิ้งจะไม่มีคนตาบอดมาสอบถามสักคนได้อย่างไร.”

คนสองคนที่กล้าวเย้ยหยันดูแคลนจุนซ่างเซียว หลี่ชิงหยางที่คล้ายกับตัดสินใจได้ในทันที พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “ขออภัย ข้าไม่สนใจที่จะเข้าร่วมนิกายเขาชางซาน.”

โอ้ว สวรรค์!

เขาปฏิเสธการเชิญจากนิกายขั้นห้า!

สายตาของทุกคนที่ตื่นตะลึงดวงตาเบิกกว้าง ทำไมพวกเขาไม่มีรากวิญญาณเช่นเดียวกับทายาทตระกูลหลี่นะ

โอ้ย โอย!

อาวุโสนิกายเขาชางซานเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าหลี่ชิงหยางจะปฏิเสธ ถึงกับเสียความมั่นใจไปเหมือนกัน “นายน้อยหลี่ นิกายเขาชางซานคือกองกำลังที่ดีที่สุดในมนทลชิงหยาง ไม่คิดดูหน่อยรึ?”

“ไม่คิด.”

หลี่ชิงหยางที่ก้าวเดินต่อไป.

เขาปฏิเสธนิกายเขาชางซาน ก้าวข้ามผ่านกองกำลังระดับเจ็ด ก้าวต่อไปเรื่อย ๆ ไปยังช่องว่างที่เปิดโล่งอยู่.

การเลือกสำนักของหลี่ชิงหยาง ทุก ๆ ก้าวทุก ๆเส้นทางที่เขาก้าวไป กลายเป็นที่น่าสนใจต่อทุกสำนักและผู้เยาว์ทุกคน.

ในงานรับสมัครร้อยสำนักครั้งนี้ กองกำลังสูงสุดคือขั้นห้า ในเมื่อเขาไม่เข้าร่วม แล้วเขาเลือกสำนักอะไร จะเป็นใครที่เป็นผู้โชคดี?

จากนั้นไม่นาน.

หลี่ชิงหยางก็ไปหยุดอยู่ที่ด้านหน้าสำนักไท่กู่หยาง.

จวีซีซุนและเหล่าศิษย์ของสำนักพยัคฆ์คำรามเร่งรีบเผยยิ้มโบกไม้โบกมือต้อนรับ.

กับผู้เยาว์ที่มากพรสวรรค์ แม้นว่าแทบเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะเข้าร่วมสำนัก ทว่าเวลานี้การที่เขาก้าวเข้ามาใกล้ แล้วหลงเข้ามายังซุ้มสำนักของพวกเขาก็เป็นไปได้.

หลี่ชิงหยางที่มองผ่านสำนักดาบใหญ่ ก้าวตรงไปยังช่องว่าง เขามองไปยังจุนซ่างเซียว จ้องมองป้ายสำนักและกล่าวออกมาว่า “ท่านคือเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งอย่างงั้นรึ?”

กริบ วี่ วี่!

ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน ผู้เยาว์รอบ ๆ และคนของสำนักต่าง ๆ กลายเป็นโง่งมขึ้นมาในทันที.

ทุกคนในลานแห่งนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักสุดยอดพรสวรรค์ลำดับหนึ่งของมนทลชิงหยาง คาดไม่ถึงอย่างรุนแรงว่าเขาจะเข้าไปสอบถามสำนักขยะอย่างคาดไม่ถึง!

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด