ตอนที่แล้วChapter 66 ถางเกอก็คือถางเกอของเจ้าตลอดกาล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 68 จับมือกันก้าวหน้า แล้วเบ่งบานออกมาพร้อมกัน.

Chapter 67 กลุ่มของขยะ


กล่าวโดยสังเขป.

มีศิษย์จากสำนักต่าง ๆ เข้าร่วม 200 กว่าคน แต่ละคนอยู่ในพื้นที่สี่แห่ง แยกโซนสี่มุมรอบ ๆ เวที.

เมื่อการแบ่งกลุ่มเสร็จสิ้น ผู้เข้าร่วมแข่งขันที่ประจำตำแหน่งต่าง ๆ.

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์บนที่นั่งอารีน่าต่างก็ส่งเสียงเชียร์คนที่ตัวเองรู้จักเสียงดังสนั่น.

ในวันนี้ คนที่มาร่วมแข่งขันเป็นเหล่าศิษย์ที่โดดเด่น และมีคนรู้จักอยู่ไม่น้อย.

“แค๊ก ๆ.”

เจ้าเมืองลี่หยางที่ปรากฏขึ้นที่กลางเวที เสียงตะโกนก็เงียบลงช้า ๆ.

“เปิ่นเฉิงจู่(เจ้าเมือง) เป็นตัวแทนเมืองลี่หยาง ยินดีต้อนรับเหล่าศิษย์ที่โดดเด่นทุกคน ที่เข้าร่วมงานประลองยุทธ์สำนักในครั้งนี้.”

“หวังว่างานประลองยุทธ์สำนักในครั้งนี้ ทุกคนที่เข้าร่วม จะสามารถได้รับความสำเร็จที่ดี และสามารถสร้างชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ให้กับสำนักของตัวเองได้.”

หลังจากกล่าวเปิดงานเสร็จ เจ้าเมืองก็เริ่มเอ่ยนามผู้เข้าร่วมแข่งขัน.

“สำนักดาบปฐพี ถางเป่าหลาน!”

“อยู่นี่แล้ว!”

“หมู่บ้านเทือกเขามังกรจันทรา เฉิงเหมี่ยนจิง!”

“อยู่นี่แล้ว!”

“กองกำลังเหยี่ยวโลหะ หวังซิตู!”

“อยู่นี่แล้ว!”

“กองกำลังปู่ซิง โจวโหม่ว!”

“อยู่นี่แล้ว!”

เจ้าเมืองลี่หยางที่เอ่ยชื่อนามของแต่ละคน ก็จะเป็นที่จับจ้องของทุกคนและขณะก้าวขึ้นมาบนเวที เสียงเชียร์ก็จะดังกระหึ่มในทุก ๆ ครั้ง.

“สำนักไท่กู่เจิ้ง เถียนซี.”

“อยู่นี่แล้ว!”

กึก.

ทุกคนกลายเป็นเงียบไปในทันที แม้แต่มีเสียงหัวเราะเล็ดรอดออกมา.

“เถียนซี? เป็นต้นไม้ที่มีสามกิ่งเจ็ดใบ ใช้เป็นยารักษาอาการเจ็บปวดนะรึ?”

“ก็สมแล้วที่เป็นสำนักระดับเก้า เพียงแค่ชื่อของศิษย์ก็กินขาดแล้ว.”

เหล่าผู้ชมแม้แต่ผู้เข้าร่วมแข่งขันต่างก็จดจ้องมองไปอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่กล่าวล้อเลียนชื่อของอีกฝั่งอีกด้วย.

ในเวลานั้นสายตาของผู้ชมและผู้เข้าแข่งขันจ้องมองมาด้วยความเหยียดหยัน เถียนซีที่กำหมดแน่น พร้อมกับเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงคับแค้น “ศิษย์พี่ ข้าต้องการทุบคน.”

หลี่ชิงหยางเอ่ย “ทนเอาไว้ งานประลองกำลังจะเริ่มแล้ว.”

“ฟู่!”

เถียนซีที่สูดหายใจลึก ทำให้จิตใจสงบลง กวาดตามองเหล่าผู้ฝึกยุทธ์บนเวที กล่าวในใจ “เจ้าสำนัก ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”

......

การเรียกขานชื่อยังคงดำเนินต่อไป.

เมื่อเสียงเรียกขานเหล่าศิษย์ที่โดดเด่น เสียงตะโกนชื่นชมก็ดังสนั่นก้องสนามแข่งขัน เสียงเชียร์เทิดทูนแม้แต่แสดงความอิจฉาออกมา.

“สำนักไท่กู่เจิ้ง ซูเซียวโม่(ฟองน้อย)!”

“อยู่นี่แล้ว!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ชื่อไม่เลว.”

“ช่างน่าสงสารคงน้อยตามชื่อ เพียงแค่เริ่มการแข่งขันสงสัยจะตกรอบทันที.”

มีหลายสายตาที่เผยความสุข ยินดีในคราวเคราะห์ของคนอื่น แต่ก็มีบางคนที่ดูจะรังเกียจ เผยออกมาทางสายตาเช่นนั้น.

เหล่าผู้ชมบนที่นั่ง แม้นว่าจะมีคนที่เหยียดหยันดูแคลนสำนักไท่กู่เจิ้ง แต่ก็มีหลายคนที่เผยความชื่นชมในความกล้า หลากหลายคนหลากหลายมุมมอง หลากหลายนิสัยและจิตใจ.

ชายชราที่เต็มไปด้วยความระวังคนหนึ่งที่เผอิญอยู่ที่ประตูเมืองในครั้งนั้น ถึงกับสะดุ้งตกใจกล่าวออกมาว่า “คน ๆนั้นไม่ใช่หลี่ชิงหยางอย่างงั้นรึ?”

เขาและศิษย์ ต่างก็คิดตลอดว่าซูเซียวโม่นั้นคือพรสวรรค์ลำดับหนึ่งเมืองชิงหยาง.

ชายชราที่ขมวดคิ้ว ลอบคิดอยู่ในใจ “ไม่ใช่หลี่ชิงหยาง ที่มีท่าเท้าที่ร้ายกาจ ดูเหมือนว่าสำนักไท่กู่เจิ้งจะเป็นพยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบหรือไม่?”

“สำนักไท่กู่เจิ้ง หลี่ชิงหยาง!”

“อยู่นี่แล้ว.”

เหล่าผู้ชมที่เงียบสงบลงในทันที.

สายตาของทุกคนที่จับจ้องมองไปยังหลี่ชิงหยางสุขุม เป็นอย่างมาก ต่างก็คิดว่าคู่ควรที่จะเป็นพรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองชิงหยางเป็นอย่างมาก มีจิตใจที่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ!

แต่กระนั้นก็นับว่าตาบอดไปแล้วจริง ๆ ถึงได้เข้าร่วมสำนักขยะไท่กู่เจิ้ง.

“เฮ้อ.”

บนที่นั่ง เหล่าอาวุโสสำนักต่าง ๆ ที่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “เมล็ดพันธ์ชั้นดี หากเข้าร่วมนิกายเขาซางซาน ในเวลานี้คงก้าวไปถึงระดับศิษย์ยุทธ์แล้ว.”

“เห็นผลอย่างชัดเจน เข้าร่วมสำนักระดับเก้า พรสวรรค์มีเสียเปล่าชัด ๆ.”

“หากเป็นสำนักอื่นคงกระตือรือร้นสอนสั่งอย่างใส่ใจ เจ้าสำนักจุน ช่างเป็นนักทำลายพรสวรรค์จริง ๆ.”

ไม่มีใครกล่าวหยันหลี่ชิงหยาง เพียงแค่แสดงความเสียดาย เวลานี้พวกเขาต่างก็ด่าว่าเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งที่ทำให้พรสวรรค์ศิษย์เสียเปล่า.

จุนซ่างเซียวที่ฟังเงียบ ๆ ไม่กล่าวอะไรออกมา.

ต้องกล่าวอะไรอย่างงั้นรึ? กับคนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เขาคร้านที่จะโต้เถียงด้วย.

ไม่มีความหมายที่จะแย้งออกไป รอให้ศิษย์ของเขาแสดงพลังออกมา ก็จะสามารถหุบปากคนเหล่านี้ได้เอง.

......

การเรียกขานชื่อยังคงดำเนินไป.

ในเวลานั้น เมื่อชื่อของเซียวจุ้ยจื่อถูกเรียก ผู้ชมทั้งสนามก็เงียบลงอีกครั้ง.

ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากต้องชะเง้อคอ กวาดตามองไปยังเวทีฝั่งตะวันออกด้วย ที่นั่นเป็นที่นั่งของอาวุโสตระกูลเซียว พวกเขาต่างก็ต้องการเห็นใบหน้าท่าทาง อีกฝ่ายจะแสดงออกมาอย่างไร.

“เคร้ง.”

อาวุโสใหญ่ที่บดถ้วยชาแตกละเอียด กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไอ้ขยะ แกไม่ควรมาปรากฏตัวที่นี่ แกไม่ควรมาสร้างความอัปยศที่นี่.”

เป็นอะไรที่บังเอิญ จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักจากที่นั่งดังกล่าว สายตาที่โกรธเกรี้ยวเต็มไปด้วยจิตสังหารนั่นเขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน “คนของตระกูลเซียวอย่างงั้นรึ?”

อาวุโสตระกูลเซียวที่ราวกับตระหนักได้เช่นกัน ก่อนที่จะหันหน้ามามอง.

ทั้งสองที่จดจ้องมองสบตาโดยไม่หลบแม้แต่น้อย.

จุนซ่างเซียวที่หาได้หวาดหวั่น เขาที่ถือปืนเอาไว้ในมือ พร้อมกับเผยยิ้มเยาะอีกฝ่าย.

คิดจะขู่ข้ารึ? แต่อย่าได้ลงมือกับศิษย์ข้าก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นเหล่าจื่อคงยิงหัวเจ้าแน่.

ช่างน่าเสียดาย อาวุโสใหญ่นั้นหาได้ใส่ใจ เขาที่เห็นท่าทางแปลก ๆ ก่อนที่จะคิดอยู่ในใจ “ไม่สงสัยรับขยะเข้าสำนัก แท้จริงแล้วคนผู้นี้ ก็สติไม่ดีนี่เอง.”

......

หลังจากขานชื่อเสร็จ เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมกว่าสองร้อยคนก็ขึ้นบนเวที เจ้าเมืองลี่หยางที่ไม่มีพิธีการอะไรอีก เขาประกาศกฎการแข่งขันในทันที.

กฎนั้นเป็นอะไรที่ง่ายเป็นอย่างมาก.

คนทั้งสองร้อยแยกออกจากกัน พร้อมกับจับฉลากหาคู่ต่อสู้ คนที่ชนะก็จะเข้ารอบ ส่วนคนพ่ายแพ้ก็ตกรอบ.

เพื่อหลีกเลี่ยงที่ศิษย์สำนักเดียวกันจะเจอกันก่อนกำหนด เหล่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันสามารถกระจายออกไปยังโซนต่าง ๆ ได้.

ลู่เชียนเชียนและเหล่าศิษย์น้อง ต่างก็แยกไปยังโซน 1 2 3 4และ5.

ก่อนที่พวกเขาจะแยกไปยังโซนต่าง ๆ นั้น หลี่ชิงหยางได้กล่าวกับทุกคนอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ศิษย์น้องทุกคน เจ้าสำนักกำลังมองพวกเราอยู่ พวกเราอย่าได้ทำให้เขาต้องผิดหวัง.”

“ฮึ”

ลู่เชียนเชียนที่ก้าวตรงไปยังโซนต่อสู้ที่หนึ่งทันที.

“ศิษย์พี่ พวกเราทราบแล้ว!”ซูเซียวโม่และเถียนซีต่างก็ยืดอก ก่อนที่จะก้าวตรงไปยังโซนการต่อสู้ของตัวเอง.

เหลือเพียงเซียวจุ้ยจื่อที่ยังคงยืนอยู่ จ้องมองไปยังที่นั่ง สบตากับเจ้าสำนัก แววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น.

ในเวลานี้ ยกเว้นลู่เชียนเชียน ศิษย์ทั้งสี่ รู้สึกร้อนรุ่ม กระสันที่จะต่อสู้ให้เร็วที่สุด!

จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่บนที่นั่ง เขาพิงร่างพร้อมกับมีหมอนหนุนด้านหลัง ลอบคิดในใจ “เอาเลย ศิษย์ของข้า.”

......

ศิษย์จากสำนักต่าง ๆ กว่าสองร้อยคน จากนั้นก็เริ่มแยกย้ายไปยังโซนต่อสู้ของตัวเอง.

“รอบแรก สำนักไท่กู่เจิ้งเถียนซี ปะทะ สำนักต้าหง ซุนไค!”

“เจี๊ยก ว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า.”

บนที่นั่งของเหล่าอาวุโส อาวุโสสำนักต้าหงที่อ้วนท้วม ที่ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความดีใจ “เจ้าสำนักจุน รอบแรกศิษย์ที่ทรงเกียรติของท่านต้องพบกับศิษย์ของข้า เขาช่างโชคร้ายจริง ๆ.”

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักอื่น ๆ ต่างก็จดจ้องมองมาด้วยความอิจฉา.

การพบกับสำนักไท่กู่เจิ้ง แทบจะเป็นการรับประกันเข้ารอบสองแล้วแน่ ๆ มีใครไม่อิจฉากัน.

จุนซ่างเซียวไม่เอ่ยกล่าวอะไรออกมา.

การจับฉลาก จับคู่ต่อสู้ ในเวลานี้ทุกคนต่างก็เริ่มจับและได้รู้คู่ต่อสู้ของตัวเองแล้ว.

ยกเว้นหลี่ชิงหยาง เหล่าศิษย์จากสำนักอื่นต่างก็ปรารถนาที่จะพบกับศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้ง ทันทีที่จับฉลากได้ ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะราวกับถูกหวย รู้สึกราวกับว่าได้เข้ารอบเป็นที่แน่นอนแล้ว.

“การประลองยุทธ์สำนักเริ่มขึ้นแล้ว ขอให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกท่านเข้าประจำที่ของตัวเอง.

เถียนซีและซุนไคก้าวขึ้นไปบนเวทีการแข่งขัน ทั้งสองที่ยกมือประสานพร้อมกับแสดงความเคารพ กันและกัน เป็นธรรมเนียมก่อนการต่อสู้จะเริ่ม.

“ศิษย์ของสำนักต้าหง คาดว่าน่าจะมีระดับเปิดชีพจรขั้นที่สิบสอง คงจัดการอีกฝ่ายได้ในทันทีเลย.”

“งานประลองยุทธ์สำนัก ศิษย์ส่วนมากแล้วจะมีระดับเปิดชีพจรขั้นที่สิบ ระดับเปิดชีพจรขั้นที่สิบสองได้พบกับศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้ง จะโชคดีเกินไปแล้ว.”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่เป็นใครก็ล้วนแล้วแต่กลายเป็นคนโชคดีไม่ใช่รึ?”

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เอ่ยกระซิบกระซาบกัน พร้อมกับหัวเราะเสียงดังสนั่น.

อาวุโสสำนักต้าหงที่เผยยิ้ม กล่าวออกมาว่า “เจ้าสำนักจุน ศิษย์ของข้าเป็นคนอารมณ์ร้อนสักหน่อย ไม่ค่อยฟังที่ข้าพูดนัก หากว่าทำร้ายศิษย์ของท่านจนเจ็บหนัก คงต้องขออภัยด้วย.”

“อืม.”

จุนซ่างเซียวที่กล่าวตอบรับคำเดียว เขาที่ค่อนข้างสงบปากสงบคำ.

“เริ่มการต่อสู้ได้!”เสียงกรรมการ การแข่งขันที่ตะโกนเสียงดัง.

สิ้นเสียงกรรมการ เถียนซีพุ่งเข้าไปราวกับลูกศร หมัดที่หนักหน่วงรุนแรงกระแทกไปยังท้องของซุนไค อีกฝ่ายที่ทรุดเห็นตาขาวสิ้นสติไปในทันที.

อาวุโสต้าหงที่กล่าวว่าศิษย์ของตัวเองอารมณ์ร้อน ทว่าการแข่งขันที่เพิ่งจะเริ่ม ยังไม่มีเวลาให้เขาได้ทำอะไรด้วยซ้ำ ก็ล้มลงไปนอนกองบนพื้นแล้ว.

อาวุโสอ้วนสำนักต้าหงถึงกับแข็งค้าง ดวงตาเล็ก ๆ ที่เบิกกว้างแทบถลนหลุดออกจากเบ้า.

จุนซ่างเซียวกล่าวออกมาเบา ๆ “โคตรอ่อน.”

เถียนซีที่ล้มอีกฝั่งเพียงแค่หมัดเดียว ถึงกับเกาศีรษะไปมา กล่าวออกมาว่า “ไม่แม้แต่มีปัญญารับหมัดของข้า ขยะชัด ๆ.”

ซานชี หรือ เถียนชี (จีน: 三七 หรือ 田七 ; ชื่อวิทยาศาสตร์: Panax pseudoginseng) เป็นพืชสมุนไพรอยู่ในตระกูล "โสมคน" ซานชีเป็นภาษาจีน แปลว่า "สามเจ็ด" เป็นไม้ยืนต้น แต่ละต้นมีกิ่ง 3 กิ่ง แต่ละกิ่งมีใบไม้ 7 ใบ เลยตั้งชื่อว่า สามเจ็ดกิ่ง

ประโยชน์

มีสรรพคุณช่วยสร้างเลือดและห้ามเลือด และฟื้นฟูเลือดโดยสลายพิษภัยในเลือด แก้อักเสบและบรรเทาอาการเจ็บปวด เป็นส่วนประกอบสำคัญของยาจีนสำเร็จรูปหยุนหนาน ไป๋เย่า หรือยาขาวยูนนาน

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด