ตอนที่แล้วChapter 215 ได้รับเชิญจากประมุขอ้ายเพื่อเปิดหูเปิดตา.
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 217 กลุ่มกากบัตรทอง.

Chapter 216 ขจัดอันตรายล่วงหน้า


จุนซ่างเซียวที่ตัดสินใจเข้าร่วมงานประมูลในครั้งนี้ เขาได้คิดเอาไว้ว่าอย่างน้อยจะได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับเหล่าเจ้าสำนักใหญ่ ๆ การออกไปเปิดหูเปิดตา ก็ถือว่าเป็นการหาประสบการณ์อย่างหนึ่งเช่นกัน.

ส่วนเจ้าวัง วังเมี่ยวฮัวนั้น.

อืม สตรีผู้งดงามที่ยากจะเห็นในหมื่นปี จะมีความงามแบบใดกัน.

บุรุษทั้งหลาย.

การจะได้เห็นสาวงามเป็นเรื่องธรรมดา.

หากจุนซ่างเซียวกล่าวอย่างเที่ยงธรรมว่าตัวเองไม่ต้องการเห็นหญิงงามดูเหมือนว่าจะหลอกลวงไปหน่อย ...ความจริงมันควรจะเป็นจุดหมายหลักเลยก็ว่าได้.

“เจ้าสำนักจุน.”

ก่อนที่ประมุขอ้ายจะจากไป เขาได้ส่งแหวนมิติมาหลายวง กล่าวออกไปว่า “นี่คือสมุนไพรที่อ้ายโหมวรวบรวมมาเมื่อเร็ว ๆนี้.”

“ขอบคุณ.”

หลังจากจุนซ่างเซียวรับมา ได้ยกมือประสานเอ่ยออกมาว่า “พรุ่งนี้จุนโหมวจะเข้าร่วมอย่างแน่นอน.”

อืม.

สมุนไพรที่อัดแน่นเต็มอยู่ด้านในแหวนมิติอย่างครบครัน..

ดังนั้น สิ่งที่เขาต้องการซื้อเพิ่มจึงไม่มี สามารถนำมาใช้ได้เลย.

สมุนไพรที่ประมุขอ้ายมอบให้นั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก จุนซ่างเซียวที่เปิดฟังก์ชันหลอมยาขึ้นมาในทันที.

กล่าวตามตรง เม็ดยาฟื้นฟู บูรณะร่างกายและเม็ดยาเปิดชีพจรตลอดจนเป็นยาผสานวิญญาณเขามีอยู่เป็นอย่างมาก.

ทว่าเม็ดยาที่ต้องการที่สุดตอนนี้คงจะเป็นเม็ดยารวมวิญญาณพันกว่าเม็ด ทว่าศิษย์กว่าห้ารอยคน ถือว่ามันยังไม่เพียงพอ.

“เฮ้อ.”

จุนซ่างเซียวถอนหายใจ “ทรัพยากร อ๊าก ทรัพยากร ข้าต้องการทรัพยากร!”

ในคืนนั้น เขาที่จัดแจงงานให้กับหลี่ชิงหยาง จากนั้นก็เข้าหอคอยเก็บประสบการณ์สี่ชั่วโมง เช้าวันต่อมา กินข้าวเสร็จก็เตรียมเดินทางไปยังเมืองฮู่หยาง.

อย่างไรก็ตาม.

ขณะที่ก้าวเดินลงเขา ก็เห็นลู่เชียนเชียนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้.

จุนซ่างเซียวที่เอ่ยสอบถามออกไป “เจ้ามาอยู่นี่ทำอะไรอย่างงั้นรึ?”

ลู่เชียนเชียนเอ่ย “ได้ยินจากน้องรองว่าเจ้าสำนักจะเข้าร่วมการประมูล ข้าจึงต้องการไปเปิดหูเปิดตาด้วยเช่นกัน.”

“ฝึกฝนอยู่แต่ในสำนัก การไปผ่อนคลายบ้างก็นับเป็นเรื่องดี”จุนซ่างเซียวเอ่ย ”เช่นนั้นก็เดินทางไปยังเมืองฮูหยางพร้อมกับเปิ่นจั้วก็แล้วกัน.

จากนั้น ทั้งสองก็เดินทางลงจากเขาไท่กู่เจิ้งพร้อมกัน.

เป็นเรื่องปรกติของเทือกเขาไร้นาม เมื่อมีสำนักมาตั้งอยู่ แทบทุกแห่งจะถูกเรียกตามชื่อของสำนักที่มาตั้งเป็นเรื่องธรรมดา.

......

ในเวลาเช้า พื้นที่ทุกแห่งยังคงเงียบสงบ.

แดดเรื่อ ๆ แสงแดดที่ส่องมา ทำให้ท้องฟ้าค่อย ๆ เข้มสว่างขึ้น ดูสดใสราวกับดอกไม้ที่ค่อย ๆ ผลิบาน.

ภูเขาเขาและพื้นที่รอบ ๆ ยังดูสลัว ๆ หมอกที่หนาเข้มกำลังจางลง.

จุนซ่างเซียวและลู่เชียนเชียนออกเดินทางในเวลาเช้า สัมผัสได้ถึงความสดชื่นของบรรยากาศของอากาศที่สดใส.

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ทั้งสองเดินทางไปด้วยกันเพียงลำพัง ครั้งแรก ก็เมื่อครั้งเดินทางไปยังเมืองชิงหยาง เข้าร่วมงานรับศิษย์ร้อยสำนัก.

ในเวลานั้น จุนซ่างเซียวที่ยังคงมือใหม่ท่าทางเหมือนอันธพาล ส่วนลู่เชียนเชียนที่เป็นเหมือนกับนางเซียนทั้งคู่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง.

ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับอาจารย์ยุทธ์ขั้นที่ห้า ร่างกายที่แผ่กลิ่นอายดูน่าเกรงขามของเจ้าสำนักออกมา และมีสตรีผู้งดงามเคียงข้าง ดูเหมาะสมกันเป็นอย่างมาก.

ที่จริงตลอดหลายเดือนมานี้ ความคิดของลู่เชียนเชียนที่มีต่อเจ้าสำนักเปลี่ยนไปมาก ทว่าก็ยังคงคุยกันน้อยมาก.

“เชียนเชียน.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “ก่อนหน้านี้พวกเราเดินทางเข้าร่วมงานรับศิษย์ร้อยสำนักที่เมืองชิงหยางมีเพียงเจ้ากับข้าสองคน ตอนนี้มีศิษย์กว่าห้าร้อยคนแล้ว คิดแล้วน่าเหลือเชื่อจริง ๆ.”

ลู่เชียนเชียนเอ่ย “มีอะไรให้เหลือเชื่อกัน อย่างน้อยควรจะมีขนาดสำนักที่มีศิษย์หลายพันคนแล้ว เส้นทางยังอีกยาวไกล.”

กล่าวตามตรง ปากกับใจของนางไม่ค่อยจะตรงกันนัก.

สำนักไท่กู่เจิ้งที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว.

ครั้งหนึ่งนางเคยกล่าวไว้ว่าต้องการเป็นเจ้าสำนัก จะสามารถทำให้สำนักยิ่งใหญ่ที่สุดในมนทลชิงหยางได้แน่ ทว่าอีกฝ่ายเวลานี้กลับจวนจะทำสำเร็จแล้ว ซ้ำยังเกิดขึ้นด้วยเวลาอันรวดเร็ว

ส่วนการกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในทวีปชิงหยุน.

ลู่เชียนเชียนคงบอกได้ว่า ทำได้แค่ฝันเท่านั้น.

“เหนื่อยใหม? จะพักสักครู่ดีหรือไม่?”

“ไม่เหนื่อย.”

“หิวใหม? กินอะไรดีหรือไม่?”

“ไม่หิว.”

สตรีผู้นี้ก็ยังเย็นชาเหมือนเดิม จุนซ่างเซียวที่ไม่ใสใจนัก ทว่าก็เอ่ยออกมาว่า “เจ้าเคยได้ยินเรื่องวังเมี่ยวฮัวหรือไม่?”

ลู่เชียนเชียนเอ่ย “นิกายระดับสี่ เจ้าวังมีนามว่า ซีจิงเสวียน เป็นสตรีผู้งดงามที่สุดในโลก.”

จุนซ่างเซียวเผยท่าทางประหลาดใจ “แม้แต่ชื่อเจ้าวังเจ้ายังรู้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับนิกายต่าง ๆดี.”

ลู่เชียนเชียนเอ่ย “เหล่ากลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ เจ้าสำนักควรจะรับรู้เรื่องนี้ให้แจ่มแจ้ง ยกตัวอย่างนิกายใดไม่ควรยั่วยุ นิกายใดที่มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง.”

“เปิ่นจั้วไม่เคยคิดที่จะก่อปัญหาให้ใคร เข้าใจเรื่องราวนิกายอื่น ๆ เพื่ออะไร”จุนซ่างเซียวที่หยุดและกล่าวต่อ “แล้วทำไมไม่มีใครเข้าใจสำนักไท่กู่เจิ้งของข้าบ้าง?”

เพียงแค่สำนักเล็ก ๆ ต้องการให้นิกายใหญ่เข้าใจรึ?

หากมีคนได้ยิน จะต้องกล่าวเหยียดหยัน อย่างแน่นอน.

“ไม่ก่อปัญหาอย่างงั้นรึ?”

ลู่เชียนเชียนเอ่ย “รองเจ้าหอเหยี่ยวดำและศิษย์มากมายถูกสังหารจนสิ้น เจ้าสำนักยังบอกไม่ได้สร้างปัญหารึ? หากมีคนรู้ว่าเป็นฝีมือสำนักไท่กู่เจิ้ง ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมรามือแน่.”

“คนก็สังหารไปแล้ว ศพก็เผาไปจนหมด จะมีคนรู้ได้อย่างไร.”

จุนซ่างเซียวเอ่ยกล่าวอย่างมั่นใจ.

ด้วยการใช้เพลิงประณีตเผาไป ย่อมไม่มีร่องรอยอะไรให้สืบ.

ลู่เชียนเชียนเอ่ย “ไม่ดูแคลนสำนักระดับเจ็ดหน่อยรึ? อีกทั้งยังเป็นสำนักมาร พวกเราไม่รู้ว่าพวกเขา มีวิธีที่แปลกประหลาดอะไรบ้าง บางทีพวกเขาอาจจะรับรู้แล้วก็ได้.”

“หนำซ้ำ.”

“หอเหยี่ยวดำที่ขวางพวกเรานั้น ได้พบเข้ากับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัด.”

“ขอเพียงสอบถาม หรือใช้วิธีทรมาน ย่อมได้ข้อมูล และมุ่งเป้าสงสัยมายังพวกเราแน่.”

แม้นว่านางจะพูดน้อย ทว่าก็กล่าวย้ำเตือนเจ้าสำนักได้ดี.

“พูดมีเหตุผล.”

จุนซ่างเซียวสีคางไปมา เอ่ยออกมาว่า “หอเหยี่ยวดำ ควรจะต้องจับตามอง เพื่อป้องกันพวกเขามุ่งร้ายต่อพวกเรา.”

ลู่เชียนเชียนเอ่ย “ศิษย์เชื่อว่า เพื่อหลีกเลี่ยงพวกเขาก่อปัญหา เจ้าสำนักสามารถนำพวกเรา ไปทำลายองค์กรมารเหล่านั้นได้.”

จุนซ่างเซียวที่ตกใจเอ่ยออกมาว่า “ดูน่ากลัวเล็กน้อยหรือไม่?”

ลู่เชียนเชียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงคมหอกคมดาบในที่มืด พวกเราควรจะโจมตีออกไปเอง ก่อนที่ภัยอันตรายจะมาถึง!”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “เรื่องนี้ไว้การประมูลจบค่อยคุยกันอีกครั้ง.”

เขายอมรับคำแนะนำของลู่เชียนเชียน หอเหยี่ยวดำก็คือสำนักมาร ดำเนินสำนักไม่ต่างจากตึกฝนพรำ หากเขาจะลงมือโจมตี ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก.

จุนซ่างเซียวย่อมไม่กลัวการสร้างปัญหาอย่างตรงไปตรงมา แต่หากอีกฝ่ายใช้วิธีสกปรกลอบโจมตีในที่มืด ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือเช่นกัน.

สำนักหลิงชวนเป็นตัวอย่างที่ดี.

หากไม่ลงมือจัดการอย่างเด็ดขาด ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะวางแผนลอบกัดเวลาใด.

“สำนักมาร.”

จุนซ่างเซียวที่เดินทางไปยังเมืองฮู่หยางครุ่นคิดในใจ “หากทำลายให้สิ้นคงไม่มีปัญหาใด.”

เขายอมรับคำแนะนำของลู่เชียนเชียน เพื่อป้องกันภัยร้ายที่ซ่อนเร้น เขาควรจะลงมือจัดการอีกฝ่ายก่อน.

นี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง.

หากว่าตำหนักเหยี่ยวดำของมนทลฮวยหยิง ไม่เห็นรองเจ้าหอและศิษย์กลับสำนัก อาจจะเริ่มสืบแล้วก็ได้.

หากว่าพวกเขาสืบสวนจับศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งไปสอบสวนด้วยวิธีที่โหดร้าย คงไม่ใช่เรื่องดีแน่.

สำนักมารนั้นย่อมไร้เหตุผล ไม่พูดจากันด้วยหลักฐาน หากมีความแค้นมีแต่ตัดสินใจกันด้วยความตาย ไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายให้อยู่รอดปลอดภัย.

อย่างไรก็ตาม.

การสืบสวนเองก็คงต้องใช้เวลาเช่นกัน.

ในเมื่อจุนซ่างเซียวตัดสินใจจะทำลายหอเหยี่ยวดำ เขาก็ควรจะลงมือก่อนอีกฝ่ายจะได้เตรียมตัวทำอะไร.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด