ตอนที่แล้วChapter 11 ศิษย์หลี่ชิงหยาง คารวะเจ้าสำนัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 13 ยันต์รู้แจ้งขั้นพื้นฐาน

Chapter 12 เขาช่างเป็นคนขี้โม้ใหญ่โตจริง ๆ!


ได้ยินบุตรชายเอ่ย สำนักไท่กู่เจิ้ง ประมุขหลี่ราวกับสายฟ้าฟาดผ่าลงมากลางกบาล ร่างกายที่สั่นเทิ้ม โกรธเกรี้ยวแม้แต่กลายเป็นโง่งม.

หกเดือนที่แล้ว.

หลี่ชิงหยางได้มีการตรวจสอบ ว่ามีรากวิญญาณระดับสูง ทำให้เขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ.

ตระกูลหลี่ได้หน้าไปด้วย กลายเป็นตระกูลที่สามารถยืดได้ ใครจะคาดคิด ว่าตระกูลของเขากำลังจะรุ่งโรจน์รุ่งเรืองในรุ่นต่อไปอย่างแน่นอน.

หลังจากได้รับการยืนยันแล้ว ประมุขหลี่ก็เตรียมทรัพยากรมากมายให้กับบุตรชายของเขา วางแผนอนาคตให้เขา หลังจากที่งานรับศิษย์ร้อยสำนักเริ่มขึ้น จะต้องเลือกสำนักที่รุ่งโรจน์และมีชื่อเสียงให้อีกฝ่าย.

ทุก ๆ คนต่างก็รู้เรื่องนี้ดี วันนี้ขณะที่เขากำลังอาบน้ำเปลี่ยนชุด หลี่ชิงหยางกับแอบออกมาก่อน เขาเสียเวลาให้คนค้นหาอีกฝ่ายในคฤหาสน์ แต่กับหาไม่เจอ.

“เจ้าเด็กเหลือขอนั่น.”

“ค้นหาให้ทั่ว!”

ประมุขหลี่ที่ไม่สามารถหาหลี่ชิงหยางพบ รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก.

ในเวลาเดียวกันนั้น บ่าวรับใช้ก็เร่งรีบวิ่งเข้ามาหา “ประมุข นายน้อยได้ไปยังลานรับสมัครร้อยสำนักแล้ว และมีนิกายเขาชางซานเอ่ยปาก ว่าจะรับเขาเป็นศิษย์ด้วย!”

“อะไรนะ!”

ประมุขหลี่ที่เผยความตื่นเต้นดีใจในทันที.

นิกายเขาชางซานเป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในมนทลชิงหยาง มีสถานะไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าเมืองชิงหยางเลย บุตรชายของเขาถูกนิกายเช่นนี้รับเป็นศิษย์ ถือว่าเป็นเกียรติประวัติสำหรับตระกูลอย่างแท้จริง!

“แต่.....”

บ่าวรับใช้ที่หยุดและกล่าวต่อเสียงอ่อน.“นายน้อยปฏิเสธที่จะเข้าร่วมนิกายเขาช่างซาน.”

“ห๋า!!!!”

ประมุขหลี่แทบล้มทั้งยืน.

เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ กลับทำให้อารมณ์ของเขาที่อยู่บนสวรรค์แล้วตกนรกไปในทันที.

“เจ้าสารเลวนั่นสมองของมันมีแต่ขี้เลื่อยรึอย่างไร? ถึงได้ปฏิเสธนิกายเขาช่างซาน!”

“ไม่ได้การ ไม่ได้การแล้ว!”

“หากไม่คิดถึงตัวเอง ก็ควรจะคิดถึงอนาคตของตระกูลบ้าง มันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้!”

แทบจะในทันที ประมุขหลี่จึงเร่งรีบเดินทางไปยังสถานที่รับสมัครศิษย์.

ประจวบเหมาะ เขาได้มาพบเข้ากับอาวุโสนิกายเขาชางซาน ที่กำลังเก็บข้าวของ เตรียมจากไปโดยบังเอิญ จากนั้นเขาก็เอ่ยปากเพื่อขอให้เขารับหลี่ชิงหยาง.

ทว่าฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยออกมาว่า บุตรของเขานั้นได้ร่วมสำนักอื่นแล้ว ประมุขหลี่ถึงกับสะดุ้งตกใจ ยังมีกองกำลังใดที่เหนือกว่านิกายเขาชางซานอีกอย่างงั้นรึ?

ท้ายที่สุด.

เขาก็รับรู้ว่าบุตรของเขานั้นได้เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง!

ความแข็งแกร่งของตระกูลหลี่นั้นจะดีจะร้ายในเมืองชิงหยางก็ มีพลังเทียบเท่ากับกองกำลังระดับแปดไปแล้ว การที่บุตรชายของเขาเข้าร่วมสำนักระดับเก้า จะให้ประมุขหลี่ยอมรับได้อย่างไร!

ประมุขหลี่ที่ระงับความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ชิงหยาง เจ้าอย่ามาล้อเล่นกับพ่อ.”

“ท่านพ่อ.”

หลี่ชิงหยางกล่าว “ข้าไม่ได้ล้อเล่น ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งแล้ว.”

คำพูดที่ราวกับฟ้า ผ่าโจมตีกระหน่ำมายังประมุขหลี่ ร่างกายของเขา สั่นเทิ้มด้วยความโกรธ จนไม่สามารถยืนตรงได้ ถอยหลังไปสองก้าวอย่างช่วยไม่ได้.

“ประมุข!”

บ่าวรับใช้เร่งรีบเข้าไปพยุงแขนของเขาเอาไว้.

ประมุขหลี่สูดหายใจลึก ยั้งร่างก่อนที่จะยืนตรง ยกมือชี้ไปยังหลี่ชิงหยาง ว่ากล่าวเสียงสั่น “ชื่อเสียงตระกูลหลี่ของข้า วันนี้ถูกเจ้าทำลายไปหมดแล้ว!”

หากบุตรของเขาเข้าร่วมสำนักกองกำลังระดับหก เขาก็ยังพอรับได้ ทว่ากับเป็น สำนักไท่กู่เจิ้ง สำนักระดับกองกำลังระดับเก้า! อ๊าก ๆๆ!

หนำซ้ำ.

นี่คือสำนักขยะ ไม่เพียงแต่ไร้ซึ่งอนาคต ยังทำให้ตระกูลหลี่ตกต่ำ กลายเป็นตัวตลกให้คนหัวเราะเยาะไปทั่ว!

เหล่าชาวยุทธ์จากสำนักต่าง ๆเริ่มจับจ้องมองมาด้วยความสนใจ พร้อมกับเผยยิ้มราวกับว่ากำลังมีเรื่องสนุกกำลังเกิดขึ้นแล้ว.

สมองของพรสวรรค์ลำดับหนึ่งเมืองชิงหยางมีปัญหา แต่บิดาของเขาปรกติ เขาย่อมรับรู้ว่า การเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งเสียเกียรติขนาดใหน.

“นายน้อย!”

บ่าวรับใช้ตระกูลหลี่เร่งรีบเอ่ยกล่าวออกมา “อย่าทำให้ประมุขโกรธไปกว่านี้เลย รีบลาออกจากสำนักขยะ เร็วเข้า!”

“กึก.”

จุนซ่างเซียวที่กำหมัดทั้งสองเข้ามาเล็กน้อย.

แม้แต่คนใช้ตระกูลหลี่ ยังกล่าวหา ว่าสำนักของเขาเป็นสำนักขยะรึ?!

“ท่านพ่อ.”

หลี่ชิงหยางที่เอ่ยกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง “เส้นทางบ่มเพาะยุทธ์ ต้องมีจิตใจที่มั่นคง ในเมื่อข้าเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งแล้ว ก็จะไม่แยกจาก.”

“เจ้า......”

ประมุขหลี่ที่กัดฟันปากสั่นเทิ้ม “เจ้าลูกทรพี!”

อาวุโสนิกายเขาชางซานที่คล้ายกับไม่สามารถทนดูได้ เอ่ยออกมาทันที “นายน้อยหลี่ ความกตัญญูถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของผู้ฝึกยุทธ์ การที่เจ้าขัดคำสั่งบิดา ไม่ต่างจากเป็นคนเนรคุณ.”

ใบหน้าของหลี่ชิงหยางที่เผยท่าทางสั่นไหว รู้สึกผิดขึ้นมาเช่นกัน.

“จบกัน.”

จุนซ่างเซียวที่ลอบคิดในใจ “นกที่จับมาได้ กำลังจะบินหนีไปแล้ว.”

สายตาของหลี่ชิงหยางที่สั่นไหว ก่อนที่จะกลายเป็นมั่นคงและเอ่ยออกมาว่า “ท่านพ่อ ข้าได้ทำตามทุกอย่างที่ท่านสั่งมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เคยบ่นและปฏิเสธ ตอนนี้ข้าโตแล้ว ควรจะสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้แล้ว.”

ประมุขหลี่ที่ชี้ไปยังป้ายสำนักไท่กู่เจิ้ง “เจ้าเลือกสำนักระดับเก้า นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือกอย่างงั้นรึ?!”

“ใช่.”

หลี่ชิงหยางตอบรับอย่างจริงจัง.

ประมุขหลี่ที่โกรธเกรี้ยวแทบกระอักโลหิต นิ้วของเขาที่สั่นไปมาขณะชี้ออกไป “เจ้า หากไม่ลาออกจากสำนักไท่กู่เจิ้ง หลังจากนี้ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพ่อ!”

“นายน้อยหลี่ สำนักไท่กู่เจิ้งไร้ซึ่งอนาคต รีบลาออกเร็วเข้า.”

“มีสำนักมากมายที่โดดเด่น แข็งแกร่งกว่าสำนักไท่กู่เจิ้งทั้งหมด อย่าได้ดื้อรั้น.”

“ประมุขหลี่อายุมากแล้ว หากยังกระทำผิดอยู่อีก ท่านจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต.”

“นายน้อยหลี่ โปรดคิดดูให้ดี.”

ผู้ฝึกยุทธ์ที่เฝ้ามองอยู่เข้าผสมโรง ต่อว่า กล่าวออกมาเสียงดังทันที.

พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อประมุขหลี่ ทว่าพวกเขายอมไม่ได้ที่สำนักขยะ รับศิษย์ที่มีรากวิญญาณระดับสูงไป.

“กลุ่มของความโง่งม.”

จุนซ่างเซียวแค่นเสียงก่อนที่จะกล่าวออกมาเสียงดัง.

“ประมุขหลี่.”

เขาเอ่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “บุตรของท่านตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง ท่านเป็นบิดาก็ควรจะสนับสนุน ไม่ควรทำลายความตั้งใจของเขา.”

“อีกอย่าง.”

เขาที่หยุดและเอ่ยต่อ.“การที่เขายืนกรานเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งด้วยความมุ่งมั่น ในอนาคตข้างหน้าของเขา ข้ามั่นใจว่า จะไม่ต่ำเตี้ยอย่างแน่นอน.”

“ไม่ต่ำอย่างงั้นรึ?”

ประมุขหลี่ที่ระงับความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชา “สำนักไท่กู่เจิ้ง เป็นเพียงแค่สำนักต้นหอม ไร้ซึ่งชื่อเสียงไม่ใช่รึ?”

***คนจีนถือว่า ต้นหอมเป็นของชิ้นเล็กๆ ไม่สำคัญ นัยยะของมันก็คือ คุณไม่ได้มีความสำคัญอะไร***

จุนซ่างเซียวที่ส่ายหน้าไปมา “สำนักไท่กู่เจิ้งของข้าไม่ใช่สำนักต้นหอม แต่เป็นหยกงามที่รอเจียรไนต่างหาก.”

“หืม!”

“สำนักขยะกล้าเทียบตัวเองเป็นหยก เป็นสำนักหน้าไม่อายจริง ๆ!”

“เป็นคนที่มีปากแหลมคมนัก ข้ากังวลว่าจริง ๆ แล้วเขาได้ลวงหลอกคนไปมากเท่าไหร่แล้ว อี้!”

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์รอบ ๆ ต่างก็เอ่ยกล่าวดูแคลนเหยียดหยัน.

ประมุขหลี่ที่โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที “เจ้าหลอกลวงบุตรของข้าเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง ด้วยคำพูดหลอกลวงอย่างงั้นสินะ!”

จุนซ่างเซียวเอ่ยกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “เปิ่นจั้ว เป็นเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้ง รับศิษย์ด้วยวิธีเหมือน ๆ กับสำนักอื่น ๆ ไม่เคยหลอกลวงใคร.”

ประมุขหลี่แค่นเสียงเย็นชา “ลำพังพลังบ่มเพาะที่ต่ำเตี้ยของเจ้า ยังควรค่าที่จะเป็นเจ้าสำนักอีกรึ?!”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “ประมุขหลี่ เปิ่นจั้วแม้จะมีพลังบ่มเพาะไม่สูง ทว่าก็มีความสามารถที่จะสอนนายน้อยหลี่ ให้กลายเป็นยอดฝีมือได้อย่างแน่นอน.”

“เฮ้ย!”

“เขาช่างเป็นคนขี้โม้ใหญ่โตจริง ๆ!”

“ด้วยพรสวรรค์ที่นายน้อยหลี่มี เขายังมีอะไรจะไปสอนอีกรึ?”

“ในความเห็นของข้า นายน้อยหลี่ควรจะเป็นเจ้าสำนักแทน แล้วสอนเขาบ่มเพาะยกระดับความแข็งแกร่งต่างหาก!”

ผู้คนรอบ ๆ ที่เริ่มดูแคลนเหยียดหยันจุนซ่างเซียวมากขึ้นและก็มากขึ้น ไม่มีใครชื่นชม มีแต่คนด่าว่า บอกว่าเขาขี้โม้โอ้อวด กล่าวเกินจริง เป็นสิบแปดมงกุฎ.

ประมุขหลี่ที่โกรธเกรี้ยวมากขึ้นกว่าเดิม ถึงกับชี้นิ้วไปยังจุนซ่างเซียว ต้องไม่ลืมว่าในเมืองชิงหยาง เขาถือว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียง เวลานี้ต้องการจะใช้อำนาจข่มขู่.

“เจ้าสำนักจุน.”

ในเวลาเดียวกัน อาวุโสนิกายเขาชางซานได้เอ่ยกล่าวออกมาทันที “สามารถสั่งสอนศิษย์ให้เป็นยอดฝีมือได้ เช่นนั่น ก็หมายความว่าจะต้องเข้าใจและมีประสบการในวิถียุทธ์อย่างถ่องแท้ เจ้ามั่นใจนะว่าตัวเองนั้นมีประสบการณ์ในการฝึกยุทธ์เป็นอย่างมาก?”

ตาเฒ่า ต้องการจะทำให้ข้าขายหน้างั้นรึ? ต้องการทำให้ข้ากลายเป็นสิบแปดมงกุฎสินะ.

จุนซ่างเซียวได้ยิน หากตัวเขายอมรับว่าเชี่ยวชาญวิถียุทธ์ เขาต้องจงใจที่จะท้าทายและแสดงให้ทุกคนรับรู้ว่าเขาไร้ซึ่งความสามารถ จากนั้นก็ให้ประมุขหลี่นำบุตรชายของเขาจากไป.

เฮ้อ เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก.

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด