ตอนที่แล้วChapter133 : ฉันแค่จอมเวทย์น้ำแข็งธรรมดาๆเท่านั้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 135 : ด้วยไขกระดูกศิลาในมือข้าคิอเทพอัสนี! (1)

Chapter 134 : ในบรรดานักสู้พลเรือนยังมีคนมากความสามารถ!


“เฮ้อ...”

หลินเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่

เมื่อตอนที่เขาแยกสมาธิเมื่อครู่เขาจำเป็นต้องกระหน่ำโยนหอกยักษ์อัสนีใส่พวกวิญญาณขณะเดียวกันก็ยังต้องควบคุมให้ร่างแยกโคลด์โดเมนของเขาใช้สกิลมหาผนึกเหมันต์อีกด้วย สมาธิที่ต้องใช้นั้นสูงมากจนแทบจะตอบสนองไม่ไหว

“ยังไงก็ตามร่างแยกร่างนี้ของเราค่อนข้างทรงพลังทีเดียว ถึงขั้นสามารถควบคุมวิญญาณเสือดำห้าตัวที่กระโนขึ้นมาบนกำแพงเมืองทิศตะวันตกเอาไว้ได้ทั้งหมดในคราวเดียว ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่รู้เลยว่าจะมีนักสู้ต้องตายเพราะวิญญาณพวกนี้มากมายเท่าไหร่?”

หลินเซวียนรู้สึกพึงพอใจโคลด์โดเมนยิ่งนัก

มหาผนึกเหมันต์เกรดสีทองสามารถแช่แข็งเป้าหมายได้พร้อมกัน6เป้าหมายเป็นเวลา5วินาที

ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเลื่อนขั้นเป็นเกรดสีทองแล้วระยะเวลาการร่ายเองก็สั้นลงมาก

จุดอ่อนเดียวของมันคือมันกินพลังเวทย์ค่อนข้างมหาศาล

ระยะเวลาคูลดาวน์เองก็สูงถึง10นาที

แถมนี่ยังเป็นสกิลที่อยู่ในขั้นเกรดสีทองแล้วด้วยนะ!

ถ้าสกิลนี้เป็นเพียงเกรดสีขาวก็จะสามารถแช่แข็งเป้าหมายได้เพียงหนึ่งเป้าหมาย พลังเวทย์ที่ต้องใช้เองก็สูงถึง90%และระยะเวลาคูลดาวน์เองก็นานถึง30นาที

เห็นได้ชัดเลยว่าเพราะเหตุนี้เองทำให้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เลือกเรียนรู้สกิลนี้เว้นเสียแต่พวกเขาจะได้หนังสือสกิลมหาผนึกเหมันต์ตั้งแต่เกรดสีม่วงหรือสูงกว่า

ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากเหตุผลที่ว่ายังมีสกิลควบคุมอีกมากที่มีค่ายิ่งกว่าสกิลนี้

ดังนั้นหนังสือสกิลมหาผนึกเหมันต์ที่มีขายทั่วทั้งบรรตเสี้ยววิญญาณจึงมีอยู่ไม่น้อยและราคาเองก็ต่ำมาก

หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์แล้ว หลินเซวียนก็เลือกมหาผนึกเหมันต์ให้เป็นหนึ่งในเวทย์มนตร์ท่าไม้ตายของโคลด์โดเมน เขาฝากฝังให้เฟิงจวงไปหาซื้อมาเป็นจำนวนมากและก็ได้มามากมายดังหวัง

หลังจากนั้นเขาก็ทำการอัพเกรดมันจนกลายเป็นเกรดสีทอง

นอกจากมหาผนึกเหมันต์แล้ว อุปกรณ์สวมใส่และเซ็ตรูนที่หลินเซวียนเตรียมเอาไว้ให้โคลด์โดเมนเองก็ยังดีที่สุดอีกด้วย

อุปกรณ์นั้นมีชื่อว่า ‘ชุดเซ็ตแดนหิมะ’ ซึ่งดรอปมาจากแดนเหนือของบรรพตเสี้ยววิญญาณ อุปกรณ์แต่ละชิ้นนั้นเป็นเพียงเกรดสีฟ้าเท่านั้นและต่อให้รวมทั้งเซ็ตก็เป็นได้แค่เกรดสีม่วง

ความสามารถเองก็เรียบง่ายและตรงไปตรงมา นอกจากเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูพลังเวทย์อย่างมหาศาลแล้วก็ยังเพิ่มความเสียหายจากธาตุน้ำแข็งให้สูงถึง80%

หลินเซซียนซื้อคทามาเมื่อตอนที่เขากำลังช็อปปิ้งอยู่ในตลาด คทานี้ไม่ได้ดรอปจากบรรพตเสี้ยววิญญาณหากแต่มาจากโบราณสถานคุนหลุน

ตัวคทานั้นเป็นเพียงเกรดสีม่วงเท่านั้น ความสามารถของมันเองก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าดีเด่อะไรมากมายนักเรียกได้ว่าเป็นเพียงระดับทั่วๆไปเท่านั้น

สิ่งเดียวที่ทำให้ดวงตาของหลินเซวียนเปล่งประกายขึ้นมาได้นั่นก็คือการที่สามารถสลักเวทย์ลงไปในตัวคทาได้!

ตราบใดที่เวทย์มนตร์ถูกสลักเอาไว้มันก็พร้อมใช้งานได้ทันที

ในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายมันก็สามารถปล่อยออกมาได้ในพริบตา นอกจากนี้ยังไม่กินพลังเวทย์และไม่จำเป็นต้องร่ายอีกด้วย สามารถใช้งานได้ทันที

หลังจากปล่อยออกมาแล้วเขาก็จะสามารถสลักเวทย์อื่นลงไปได้อีกเมื่อมีเวลาว่าง

ส่วนเซ็ตรูนที่ใช้นั้นมีชื่อว่า ‘เยือกแข็งพันไมล์’ ซึ่งเป็นเกรดสีทองและเพิ่มค่าความเสียหายธาตุน้ำแข็งให้สูงมากเช่นกัน

แน่นอนว่าหากไม่มีเงินเป็นล้านๆคงไม่อาจซื้อหาเซ็ตรูนนี้มาครอบครองได้

หากแต่หลินเซวียนนั้นใช้จำนวนปริมาณของทรัพยากรที่มีอย่างมหาศาลในการฝืนสร้างจอมเวทย์น้ำแข็งอันทรงพลังซึ่งโดดเด่นด้านการแช่แข็งและควบคุมศัตรูนี้ขึ้นมา

ในเวลาเดียวกัน บนกำแพงทิศตะวันตก

นักสู้ที่ถูกโคลด์โดเมนช่วยเอาไว้ต่างจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาซาบซึ้งใจ

“พี่ชายท่านนี้ต้องขอขอบคุณเวทย์แช่แข็งเมื่อครู่ด้วย!”

“น้องชายสุดยอดมาก! นี่คือเวทย์มหาผนึกเหมันต์สินะ? อย่าบอกนะว่านายได้หนังสือเกรดสีม่วงมา? ไม่คิดเลยว่านายจะสามารถแช่แข็งเป้าหมายได้หลายเป้าหมายขนาดนี้ในคราวเดียว

“น่าประทับใจๆๆ โคโลนี่หมายเลข3ของพวกเรายังมีจอมเวทย์ที่โดดเด่นเช่นนี้อยู่ด้วย! หึๆ ฉันพนันเลยว่าพวกขาใหญ่ในกองพลก่อสร้างเองก็คงตกตะลึงไม่น้อยเลยสินะ? นักสู้พลเรือนที่แข็งแกร่งเองก็มีอยู่เหมือนกัน!”

เหล่านักสู้พากันปลดปล่อยสกิลลงไปด้านล่างกำแพงแต่ปากของพวกเขากลับขยับไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย พวกเขาต่างพากันโห่ร้องตะโกนและชื่นชมโคลด์โดเมน

คำกล่าวเหล่านี้แน่นอนว่าหลินเซวียนย่อมรับรู้เช่นกัน

ไม่รู้เลยว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

นักสู้พวกนี้ประจบเก่งจริงๆ

ภายในหอคอยกลางเมือง

หลี่เหว่ยกั๋วและเหล่าอู๋ยังคงให้ความสนใจกับสถานการณ์ของกำแพงทั้งสี่ด้านอยู่เหมือนเดิม คนทั้งสองพลันจับจ้องไปที่กำแพงทิศใต้และทิศเหนือก่อนจะหยุดชะงักไปด้วยความตกตะลึง

จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็เอ่ยออกมาพร้อมกัน “เฮ้ มีนักสู้ที่ทรงพลังโผล่ออกมาอีกแล้ว”

กล่าวจบคำคนทั้งสองก็ชะงักไปก่อนจะหัวเราะออกมา

หลี่เหว่ยกั๋วพูดขึ้น “บอกฉันมาก่อนซิว่านายเห็นอะไร?”

เหล่าอู๋ชี้ไปที่กำแพงทิศเหนือ “ดูฮีลเลอร์ในชุดขาวที่กำลังร่ายเวทย์นั่นสิ ด้วยกล้ามเนื้อระดับนั้นเดิมทีฉันคิดว่าเป็นนักสู้สายพละกำลังซะอีก ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นฮีลเลอร์!”

หลี่เหว่ยกั๋วมองตามและเห็นชายหนุ่มร่างกำยำดุดัน

กล้ามเนื้อของชายหนุ่มผู้นี้ดูเปี่ยมไปด้วยพละกำลังเหลือล้นเช่นเดียวกับลักษณะของเขา

อย่างไรก็ตามนักสู้ที่ดูดุดันเช่นนี้กลับถือคทาเอาไว้ในมือและคอยสายเวทย์มนตร์สนับสนุนเสียอย่างนั้นตาม็ตา็

เวทย์เดียวที่หลี่เหว่ยกั๋วพอจะมองออกมีเพียงสกิล ‘ฟื้นฟูต่อเนื่อง’ ‘ฟื้นฟู’ และ ‘โล่พลังชีวิต’ เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเวทย์ที่เพิ่มพลังโจมตีกับพลังโจมตีเวทย์มนตร์อีกด้วย

ในบรรดาเวทย์เหล่านี้มีบางเวทย์ที่กระทั่งตัวเขาก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ

ทุกครั้งที่นักสู้หนุ่มร่างกำยำโบกสะบัดคทาจะบังเกิดแสงสว่างมากมายหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของเหล่านักสู้และฟื้นฟูพลังชีวิต พลังเวทย์และเพิ่มพลังโจมตีกับพลังป้องกันให้แก่พวกเขา

หลี่เหว่ยกั๋วสังเกตเห็นว่าแขนของนักสู้คนหนึ่งบังเอิญถูกกรัดกร่อนจนแห้งโดยพวกวิญญาณ แขนทั้งข้างของเขาเกือบจะเหี่ยวไปจนถึงรากและพลังชีวิตเองก็ถูกสูบออกไปจนหมด

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้หากไม่ผ่านไปซักสองหรือสามเดือนแขนของเขาคงไม่มีทางฟื้นฟูได้

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องได้รับเวทย์ฟื้นฟูทุกๆวันเป็นเวลาสองถึงสามเดือนอีกด้วย

เรียกได้ว่าเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรงของนักสู้ผู้นี้เลยก็ว่าได้

หากแต่ภายใต้เวทย์มนตร์ของชายร่างยักษ์ผู้นั้น แขนที่แห้งเหี่ยวของเขากลับเริ่มฟื้นฟูด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

กล้ามเนื้อของเขาเริ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจเองก็สูบฉีดเลือดอย่างร้ายกาจและผิวหนังเองก็เริ่มฟื้นคืนความชุ่มชื้น

นักสู้ผู้นั้นดีใจยิ่งนักและเกือบจะวิ่งเข้ามากอดและจูบฮีลเลอร์ร่างใหญ่แล้ว

“นั่นคือสกิลฟื้นฟูขั้นสูง ระดับของมันอย่างน้อยก็ต้องมีสีม่วงขึ้นไปแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถฟื้นฟูแขนที่ถูกสูบพลังชีวิตออกไปเช่นนั้นได้แน่ๆ” เหล่าอู๋เอ่ยเสียงขรึม

หลี่เหว่ยกั๋วเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจ

“น่าประทับใจมาก ก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าโคโลนี่หมายเลข3แห่งนี้จะเต็มไปด้วยเสือซ่อนมังกรหมอบ นอกจากคนของกองพลก่อสร้างแล้วก็ยังมีนักสู้ฝั่งพลเรือนที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่เหมือนกัน!”

เหล่าอู๋ลูบเคราด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง

แม้เขาจะไม่รู้ว่าฮีลเลอร์หน้าโหดผู้นี้ที่จู่ๆก็โผล่มาคือใครแต่เขาก็ยังรู้สึกภูมิใจกับคำชมของหลี่เหว่ยกั๋วอยู่ดี

ยังไงซะตัวเขาก็เป็นผู้นำของโคโลหนี่หมายเลข3!

“แล้วนายล่ะ? เมื่อกี้เห็นอะไร?” เหล่าอู๋ถามด้วยน้ำเสียงมีความสุข

หลี่เหว่ยกั๋วชี้ไปที่ชายในชุดสีเขียวเข้มกระชับร่างที่ยืนอยู่บนกำแพงทิศใต้

“เมื่อครู่ฉันเห็นว่ามีวิญญาณงูเหลือมกระโจนขึ้นมาบนกำแพงทิศใต้ แล้วชายคนนั้นก็กระโจนขึ้นไปตามก่อนจะสังหารวิญญาณตัวนั้นทิ้งในไม่กี่วินาที!”

เหล่าอู๋จ้องไปที่ชายผู้นั้นด้วยสายตาตกตะลึง “จริงรึ?”

“คิดว่าน่าจะใช้สกิลประเภทพิษแค่ไม่คิดว่าพิษของเขาจะส่งผลต่อวิญญาณด้วยก็เท่านั้น” หลี่เหว่ยกั๋วถอนหายใจเบาๆ

พิษส่วนใหญ่นั้นใช้ได้กับเพียงอสูรปิศาจที่มีร่างกายหยาบเท่านั้น

วิญญาณไร้ซึ่งกายหยาบจึงเป็นธรรมดาที่พวกมันได้รับความสามารถในการต้านทานพิษนานาชนิด

เหล่าอู๋ยิ้มและเอ่ยขึ้น “น่าจะเป็นโนโรท็อกซิน(สารพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท) ยังไงซะพิษก็มีอยู่มากมายหลายชนิด”

หลี่เหว่ยกั๋วขบคิดอยู่แปปนึงก่อนจะเอ่ยออกมา “ถ้าฉันเดาไม่ผิดค่าสถานะหลักของคนผู้นี้น่าจะเน้นไปทางความว่องไวกับพลังจิต นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถโจมตีได้หลายครั้งในหนึ่งวินาที บางทีเมื่อครู่การโจมตีของเขาอาจจะติดคริติคอลด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงไม่อาจสังหารวิญญาณงูเหลือมนั่นได้ในพริบตาหรอก”

เหล่าอู๋พยักหน้ารับเล็กน้อย “การวิเคราะห์ของนายแม่นยำมาก”

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจและพูดต่อ “นักสู้พลเรือนหนนี้มีความสามารถกันไม่น้อยเลย ที่ผ่านมาดูเหมือนฉันจะดูถูกพวกเขาเกินไปหน่อย”

“วิญญาณรูปแบบมนุษย์ทั้งหมดบนกำแพงเมืองทิศตะวันออกตายจนสิ้นแล้ว วิญญาณที่กำลังรุดหน้ามาจากแนวหลังของพวกมันทั้งหมดล้วนเป็นวิญญาณรูปแบบสัตว์ร้ายทั้งนั้น!” สัมผัสอันเฉียบคมของหลี่เหว้ยกั๋วสัมผัสได้ถึงการมาของวิญญาณจำนวนมหาศาล

เหล่าอู๋มองตามและตกตะลึคงยิ่งนักเมื่อเห็นวิญญาณจำนวนมหาศาลกำลังหลั่งไหลเข้ามา

วิญญาณรูปแบบมนุษย์นั้นมีอยู่ไม่มากนัก พวกมันส่วนใหญ่ล้วนเป็นวิญญาณงูเหลือมยักษ์ เต่ายักษ์ เสือดำ สิงโต พยัคฆ์และลิงยักษ์ทั้งสิ้น

ด้วยพลังรบมหาศาลและร่างกายอันใหญ่โตพวกมันย่อมสามารถกระโจนถึงกำแพงเมืองได้ในชั่วพริบตา

ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ทำให้นักสู้หลายคนบนกำแพงทิศตะวันออกถูกวิญญาณเหล่านี้ดึงร่วงลงไป

นักสู้ที่ถูกดึงลงจากกำแพงเมืองจะถูกฝูงวิญญาณด้านล่างกลืนหายในชั่วพริบตาจนเหลือเพียงซากศพแห้งเหี่ยวเท่านั้น

นักสู้คนอื่นๆไม่มีเวลาให้เสียใจหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่พกวเขาสามารถทำได้คือโจมตีแล้วก็โจมตีต่อไปเท่านั้น

หลังจากวิญญาณรูปแบบสัตว์ร้ายจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นทางทิศตะวันออก วิญญาณรูปแบบสัตว์ร้ายจากทั้งสามทิศที่เหลือเองก็ตามมาติดๆ

บนกำแพงเมืองทั้งสี่ทิศมีผู้เสียชีวิตคนแล้วคนเล่าและความถี่ของคนที่เสียชีวิตเองก็เริ่มสูงมากกว่าแต่ก่อน

“อัตราการเผาผลาญพลังงานของหอคอยสายฟ้าบนกำแพงทิศตะวันออกรวดเร็วมาก เดิมทีพวกเราคาดว่าชั่วโมงหนึ่งอย่างมากก็คงกินพลังงานเพียง10%แต่มาตอนนี้ดูจากค่าเฉลี่ยแล้วพลังงานถูกเผาผลาญไปแล้วกว่า16% พลังงานของหอคอยสายฟ้าตรงกลางของกำแพงทิศตะวันออกยิ่งสูงจนน่าตะหนก หลังจากผ่านไปเพียงสองชั่วโมงแต่พลังงานของมันกลับลดลงไปถึง42%แล้ว!”

สีหน้าของเหล่าอู๋เคร่งขรึมจริงจัง

“ได้ไขกระดูกศิลาสายฟ้ามาเท่าไหร่?” หลี่เหว่ยกั๋วถาม

เหล่าอู๋ยิ้มขมขื่นและเอ่ยตอบ “30”

หลี่เหว่ยกั๋วอ้าปากค้าง “แค่30?”

เหล่าอู๋ตอบ “พวกเรายังต้องแบ่งไขกระดูกศิลาทั้ง30ก้อนนี้ให้เท่าๆกันทั้งสี่กำแพงด้วยนะ แต่ละฝั่งยังไงก็ได้ไปเพียงไม่ถึง8ก้อนเท่านั้น! ไขกระดูกศิลาหนึ่งชิ้นเองก็แปลงเป็นพลังงานได้เพียงแค่10%เอง!”

“นายไม่รู้หรอกว่าอัตราการดรอปของมันต่ำขนาดไหน! นักสู้ที่พวกเราส่งไปยังภูเขาอัสนีร่วงเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน วันๆหนึ่งบางทีไม่ได้แม้แต่ก้อนเดียวด้วยซ้ำ!”

หลี่เหว่ยกั๋วถอนหายใจ

หอคอยสายฟ้าเพียงหอเดียวเทียบได้กับนักสู้ขอบเขตที่7ถึง100คน

ตอนนี้ที่เหล่านักสู้สามารถยันพวกวิญญาณเอาไว้ได้ก็เพราะพลังจากหอคอยสายฟ้ายังคงอยู่

เมื่อใดที่หอคอยสายฟ้าหมดสิ้นพลังและไขกระดูกศิลาสายฟ้าถูกใช้จนหมดเกลี้ยงพวกเขาก็จะเริ่มพ่ายแพ้

“มารอดูก่อนเถอะ ถ้าสถานการณ์ไม่ดีจริงๆพวกเราค่อยรวบรวมวัตถุดิบที่มีพลังธาตุสายฟ้าจากเหล่านักสู้โดยแลกเปลี่ยนกับแต้มบุญเอา” เหล่าอู๋เอ่ยเสียงเข้ม

หลี่เหว่ยกั๋วพยักหน้ารับ “นั่นคงเป็นวิธีเดียวแล้ว”

บนกำแพงทิศตะวันอก

หลินเซวียนเองก็ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ

ตอนนี้เป็นเวลา5โมงเย็นแล้ว ตั้งแต่คลื่นอสูรเข้าโจมตีโคโลนี่เวลาพึ่งจะผ่านไปได้เพียงสองชั่วโมงเท่านั้น!

ถ้าอิงว่า6โมงเช้าคือเวลารุ่งอรุณถ้างั้นก็ยังเหลืออีก13ชั่วโมง!

เหล่านักสู้ตอนนี้เริ่มเสียเปรียบแล้วและเริ่มมีผู้เสียชีวิตปรากฏขึ้นไม่น้อย

ถ้าพลังงานของหอคอยสายฟ้าหมดลงย่อมเกิดปัญหาใหญ่แน่

ใต้กำแพงทิศตะวันออก อสูรวิญญาณผสมจับจ้องมองดูหอกสายฟ้าขนาดมหึมาที่ถูกโยนลงมาด้วยสีหน้าอึมครึม

มันชี้ไปที่หลินเซวียนบนกำแพงเมืองก่อนจะกรีดร้องออกมา

พริบตาต่อมาวิญญาณที่กำลังโจมตีอยู่ตรงกลางของกำแพงทิศตะวันออกพลันเปลี่ยนเป้าหมาย พวกมันไม่สนใจหอคอยสายฟ้าอีกต่อไปหากแต่กลับพุ่งตรงเข้าหาหลินเซวียนแทน

วิญญาณที่อยู่ใกล้ที่สุดกระทั่งใช้วิธีการระเบิดตัวเองเลยด้วยซ้ำ!

ตูม!

เหล่านักสู้ที่อยู่เบื้องหน้าไม่ทันได้ตั้งตัวจึงถูกส่งปลิวออกไป หน้าอกของเขายุบเป็นโพลงและพลังชีวิตเองก็ลดฮวบในชั่วพริบตา

หลังจากปลิวออกไปทำให้แนวป้องกันเกิดช่องโหว่ขึ้นอีกครั้งและทำให้มีวิญญาณจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา!

พวกมันจับจ้องเขม็งมาที่หลินเซซียนราวกับต้องการดื่มเลือดกินเนื้อของเขา

ดวงตาของไป๋ชิงเหอหรี่แคบลงและหมายจะพุ่งตรงเข้าหาหลินเซวียนตามสัญชาตญาณ

หากแต่เขาอยู่ห่างจากอีกฝ่ายเกินไป กระทั่งตัวเขาที่ลงแต้มค่าสถานะทั้งหมดไปกับค่าความว่องไวก็ยังไม่อาจเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้ในช่วงสั้นๆ

ไม่ต้องกล่าวถึงหมาป่าเงิน แบล็คและคนอื่นๆเลย

ถ้าพวกเขาพุ่งเข้าไปตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรจากการส่งตัวเองไปตายพร้อมกับหลินเซวียน

นักสู้บางคนที่รู้สึกซาบซึ้งใจหลินเซวียนหมายจะกระโจนเข้าไปช่วย

หากแต่เย่อู่ชิวกลับหยุดพวกเขาเอาไว้

“ไม่จำเป็นต้องเข้าไปหรอก คนที่อยู่ข้างหน้าเขาจะคอยขวางวิญญาณพวกนั้นเอาไว้เอง”

ในฐานะของสหายร่วมรบ เย่อู่ชิวเชื่อใจโล่วิญญาณยิ่งนัก

ก่อนหน้านี้ที่ภูเขาอัสนีร่วงโล่วิญญาณสามารถคุ้มกันระเบิดเพลิงและไล่สังหารไปตลอดทางจนสามารถช่วยพวกไป๋ชิงเหอเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาย่อมสามารถป้อมกันหลินเซวียนจากการระเบิดตัวเองของวิญญาณพวกนี้ได้เช่นกัน!

ถ้าโล่วิญญาณยังหยุดวิญญาณพวกนี้ไม่ได้ถ้างั้นต่อให้นักสู้คนอื่นๆเข้าไปก็ไร้ความหมาย

“ไม่มีใครสามารถผ่านฉันไปได้!”

โล่วิญญาณกระชับโล่ปราการใจสิงฆ์เอาไว้แน่นและยืนขวางอยู่เบื้องหน้าของหลินเซซียนราวกับปราการอันเกรียงไกร!

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด