ตอนที่แล้วบทที่ 13: นางคือว่าที่พระชายาหนิงอ๋อง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15: ต่อจากนี้ไปนางจะเป็นของเจ้า

บทที่ 14: เจ้ายังมีข้า


“แต่ตอนนี้หวานหว่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าเกรงว่านางจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากการโดนโบย 30 ไม้ได้” ซือคงหรูหลางกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาเว้าวอน

เขารู้ว่าหากอีกฝ่ายออกตัวพูดให้ เฟิ่งหวานหว่านจะสามารถรอดชีวิตได้อย่างแน่นอน

ทางด้านหญิงสาวที่ถูกชายตรงหน้าตั้งความหวังไว้กับตัวเองก็หันมองไปทางอื่นด้วยท่าทีสงบโดยแสร้งว่านางไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

จวินหรูเย่ใจดีพอที่จะสนับสนุนนาง ดังนั้นนางจึงไม่อยากขัดความต้องการของเขามากไปกว่านี้ อีกทั้งนางก็ไม่อยากให้เลือดของนางหลั่งออกมาโดยเปล่าประโยชน์

ยังไงนางก็ต้องถูกโบย 30 ไม้ ความเป็นและความตายล้วนถูกโชคชะตากำหนดไว้แล้ว

“ข้าลดโทษเหลือเพียงเท่านี้ก็เพื่อเห็นแก่หน้าหนิงอ๋อง ท่านไม่ควรได้คืบจะเอาศอก เพราะไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะส่งนางลงนรก”

สตรีน่าชังผู้นั้นกล้ามาทำร้ายชิงชิงของเขาจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่คนพวกนี้กลับพยายามหาเหตุผลเพื่อให้นางพ้นโทษ พวกเขาไม่คิดง่ายเกินไปหน่อยหรือ?

แม้ว่าจวินหรูเย่จะไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้เฟิ่งมู่ชิงถึงเปลี่ยนใจไม่เอาเรื่องนางแล้วก็ตาม แต่เขาจะไม่ปล่อยสตรีนางนั้นไปง่าย ๆ แน่นอน และเขาคิดว่าเฟิ่งมู่ชิงก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เฟิ่งหวานหว่านใช้ชีวิตต่อไปอย่างสบายใจด้วยเช่นกัน

“ทั้งที่วันนี้เป็นวันที่ข้าต้องกลับบ้านเดิมหลังจากเข้าพิธีสมรส แต่จากที่เห็น คนของจวนมหาเสนาบดีเหมือนจะไม่อยากต้อนรับข้าสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังเกือบจะทำให้ข้าต้องเสียชีวิต หากการที่ข้ากลับมาทำให้ทุกคนต้องลำบากใจถึงเพียงนี้ ข้าก็จะไม่ขออยู่ที่นี่ต่อให้ทุกคนต้องขุ่นเคืองใจ” เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจก่อนจะเอ่ยกับคนข้าง ๆ ว่า “ท่านผู้สำเร็จราชการฯ พวกเรากลับจวนกันเถิดเพคะ”

จวินหรูเย่ที่ได้ฟังคนข้างกายพูดเช่นนั้นก็ตอบรับอย่างสงบ ก่อนจะหันไปสั่งโม่อิ๋งที่ยืนอยู่ข้างหลังว่า “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ ดูการลงโทษตั้งแต่ต้นจนจบ อย่าให้ขาดแม้แต่ไม้เดียว”

“ขอรับ”

หลังจากชายหนุ่มพูดจบ เฟิ่งมู่ชิงก็เข้ามาผลักรถเข็นของเขาเบา ๆ แล้วพากันจากไปทันทีโดยไม่บอกลาเฟิ่งเทียนหลิงผู้เป็นเจ้าของจวนเลยด้วยซ้ำ

ในห้องเก็บตำรา ณ จวนผู้สำเร็จราชการฯ

ยามนี้จวินหรูเย่กำลังนั่งเงียบ ๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามของผู้เป็นพระชายาพลางจ้องมองนางนิ่ง ๆ จนทำให้คนที่ถูกมองรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางจึงเอ่ยถามชายหนุ่มด้วยความสงสัย

“เหตุใดท่านถึงจ้องข้าเช่นนี้?”

“เจ้าเรียกข้าว่าผู้สำเร็จราชการฯ อีกแล้ว ชิงชิง ไม่ใช่ว่าเราตกลงกันแล้วหรือว่าเจ้าจะต้องเรียกข้าว่าหรูเย่? หรือแท้จริงแล้วเจ้าไม่เคยนับข้าเป็นสหาย?” จวินหรูเย่พูดขึ้นพร้อมกับทำหน้าเศร้าหมอง

เขานึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่ตอนขึ้นรถม้าก่อนไปถึงจวนสกุลเฟิ่ง สตรีที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็เอาแต่เรียกตนว่าผู้สำเร็จราชการฯ มาตลอด นั่นทำให้หัวใจของชายหนุ่มรู้สึกห่อเหี่ยวทุกครั้งที่นางเรียกตนแบบนั้น ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมีอารมณ์เช่นนี้

พอเฟิ่งมู่ชิงได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็รู้สึกประหลาดใจ นางจึงเงยหน้ามองผู้เป็นสามีด้วยสายตาเหลือเชื่อก่อนจะสบตากับเขาโดยตรง และเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม นางก็พบกับแววตาเศร้าเสียใจของเขา

ทันใดนั้นหญิงสาวก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นรัวจนทำให้นางต้องรีบก้มศีรษะลงเพื่อซ่อนความตื่นตระหนกในใจ

เขารู้สึกเสียใจงั้นหรือ?

นางส่ายหัวเบา ๆ เพื่อสลัดความคิดไร้สาระออกไป

มันเป็นภาพลวงตา ข้าตาฝาดไปเองแน่ ๆ

เขาเป็นดั่งยมทูตที่น่าสะพรึงกลัว เป็นเทพสงครามที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ แล้วความคับข้องใจเช่นนี้จะปรากฏอยู่ในตัวของเขาได้อย่างไร?

หลังจากเฟิ่งมู่ชิงคิดอยู่ชั่วครู่ นางก็กระแอมไอเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านยังต้องรักษาภาพลักษณ์ของท่านเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น”

จวินหรูเย่ที่จ้องมองหญิงสาวไม่วางตาก็ไม่พลาดการกลบเกลื่อนร่องรอยในดวงตาคู่สวยของนาง ซึ่งเป็นผลให้อารมณ์ที่ค่อนข้างหดหู่ของเขาก่อนหน้านี้หายไปในทันที จากนั้นชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มจาง ๆ ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาอยู่แล้วดูสดใสขึ้นมาทันตาจนสตรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง

ฟืด—

เฟิ่งมู่ชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว พลางกรีดร้องในความหล่อเหลาของคนเป็นสามีในใจ

ครั้นพอจวินหรูเยว่เห็นท่าทีแปลก ๆ ของภรรยาสาวก็มีความสุขมาก เขาจึงเอ่ยเสียงทุ้มว่า

“ชิงชิง ชื่อเสียงของข้าได้มาจากการต่อสู้ในสนามรบ หากต้องถูกสหายเรียกเช่นนั้น ข้าคงรู้สึกไม่สบายใจ”

หญิงสาวได้ยินดังนี้ก็พยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นจึงตอบกลับอีกฝ่ายว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

ในเมื่อชายตรงหน้าไม่ได้สนใจอะไร นางก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกินกว่าเหตุ เฟิ่งมู่ชิงแอบถอนหายใจเงียบ ๆ ก่อนจะรู้สึกขำขันเล็กน้อย

ข้าไม่เคยคาดคิดว่าผู้สำเร็จราชการฯ ที่ถูกลือกันว่าเป็นเสือยิ้มยากและไร้ความปรานีจะมีด้านที่น่ารักเช่นนี้

ใช่แล้ว มันน่ารักดี

หญิงสาวคิดในใจพลางมองจวินหรูเย่อีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

มันจบแล้ว หลังจากนี้นางคงไม่สามารถมองชายตรงหน้าให้เป็นผู้สำเร็จราชการฯ ที่แสนป่าเถื่อนได้อีกแล้ว

“ชิงชิง ทำไมเจ้าถึงปล่อยเฟิ่งหวานหว่านไป?” พอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนมหาเสนาบดี จู่ ๆ จวินหรูเย่ก็มีท่าทีจริงจัง

เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นท่าทางของอีกฝ่าย นางก็หยุดล้อเล่นทันที

“แล้วเหตุใดท่านจึงแสดงความเมตตาต่อเฟิ่งหวานหว่านในการโจมตีนางครั้งแรก?”

แม้ว่าขาของจวินหรูเย่จะพิการ แต่พลังของเขานั้นนางไม่อาจหยั่งถึง หากเขาสามารถทำให้ผู้คนกล่าวขานไปทั่วทั้งแคว้นเป่ยอี้ว่าเป็นเทพสงครามได้ เหตุใดเขาจะไม่สามารถรับมือกับเฟิ่งหวานหว่านซึ่งอยู่ในขั้นแรกของขอบเขตสร้างรากฐานได้ล่ะ?

“ข้า… ชิงชิง ข้าขอโทษ” ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ภาพที่นางได้รับบาดเจ็บสาหัสปรากฏขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง ทำให้ในตอนนี้หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าว

สตรีตรงหน้าเพิ่งล้างพิษในร่างกายของนางได้สำเร็จ อีกทั้งนางเพิ่งฝึกไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 เท่านั้น หากเขาไปถึงช้ากว่านี้แค่นิดเดียว นางอาจจะตายด้วยน้ำมือของเฟิ่งหวานหว่านไปแล้ว

ในครั้งแรกที่จวินหรูเย่โจมตีสตรีชั่วร้าย เขายังคงแสดงความเมตตาต่อนาง แต่ไม่กี่อึดใจเขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ทำให้การโจมตีหลังจากนั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะเอาชีวิตเฟิ่งหวานหว่านทุกครั้ง แต่สิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดคือผู้หญิงคนนั้นมีอาวุธวิญญาณป้องกันระดับ 5 ซ่อนอยู่

สิ่งที่เหนือความคาดหมายกว่านั้นก็คือ กระดิ่งทองคำดันต้านทานพลังการโจมตีของเขาได้จริง ๆ ไม่เช่นนั้นเฟิ่งหวานหว่านอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่านี้

ชายหนุ่มไม่อยากให้พระชายาของตนเข้าใจผิด แต่เขาก็พูดอะไรไม่ออก เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็แสดงความเมตตาต่อศัตรูในการโจมตีครั้งแรกจริง ๆ

เมื่อเฟิ่งมู่ชิงสังเกตเห็นถึงความไม่สบายใจของเขา นางจึงยิ้มออกมาก่อนจะปลอบใจอีกฝ่ายว่า

“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจความกังวลของท่าน แม้ว่าท่านจะเป็นผู้สำเร็จราชการฯ ที่ทรงอำนาจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสังหารเฟิ่งหวานหว่านต่อหน้าเฟิ่งเทียนหลิงได้ นอกจากนี้แล้ว หลังจากการโจมตีครั้งแรกท่านเองก็คิดที่จะสังหารนาง เพียงแต่ว่าพวกเราไม่คิดว่านางจะมีอาวุธระดับสูงไว้ในครอบครอง”

“แล้วเหตุใดในตอนท้ายชิงชิงถึงปล่อยเฟิ่งหวานหว่านไป? หรือเป็นเพราะ…” จู่ ๆ คำพูดของจวินหรูเย่ก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

เป็นเพราะซือคงหรูหลางใช่หรือไม่ที่ทำให้นางไว้ชีวิตสตรีผู้นั้น?

เขาอยากจะถามคำถามนี้แต่ไม่กล้าเอ่ยมันออกมา เพราะเขากลัวจะได้ยินคำตอบที่เขาไม่ได้อยากได้ยิน

บัดนี้ชายหนุ่มผู้ถูกขนานนามว่าเป็นเทพสงครามที่เหี้ยมโหดกลับกำลังรู้สึกประหม่าในยามที่อยู่ต่อหน้าภรรยาของตน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเพิ่งรู้จักกันได้เพียงแค่ 3 วัน

อาจเพราะเฟิ่งมู่ชิงเป็นหนึ่งในสหายเพียงไม่กี่คนที่ไม่หวาดกลัวในตัวตนของเขา ดังนั้นเขาจึงกังวลว่านางจะตีตัวออกห่างจากตนเอง

จวินหรูเย่ครุ่นคิดกลับไปกลับมานับพันครั้ง แต่มันก็เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น

“เพราะ… เพราะอะไรหรือ?” หญิงสาวเอียงศีรษะพลางทำหน้าสับสน

ชายหนุ่มที่เห็นท่าทีของคนตรงหน้าก็ส่ายหัวแล้วพึมพำเบา ๆ “ไม่มีอะไร”

เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ต้องการที่จะพูดถึงมัน เฟิ่งมู่ชิงเลยไม่สนใจที่จะหาคำตอบอีกต่อไป นางหันกลับมาอธิบายให้ผู้เป็นสามีฟังว่า “หากเฟิ่งหวานหว่านตายด้วยน้ำมือของท่าน มันจะไม่เป็นประโยชน์ต่อคนที่รอฉวยโอกาสจัดการท่านหรอกหรือ? นอกจากนี้ยังมีโทษโบย 30 ไม้อยู่ ถึงเวลานั้นก็ไม่รู้ว่านางจะมีชีวิตรอดหรือไม่?”

เฟิ่งมู่ชิงมีลางสังหรณ์บางอย่างว่า ถึงแม้เฟิ่งหวานหว่านจะได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังโดนโบยหลายไม้ แต่ผู้หญิงคนนั้นจะต้องสามารถรอดชีวิตออกมาได้อย่างแน่นอน

พอจวินหรูเย่ได้รับคำตอบก็เข้าใจในทันที ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มขบขัน

ชายหนุ่มคิดไว้อยู่แล้วว่าชิงชิงของเขาไม่ใช่คนที่สามารถล้อเล่นด้วยได้ นางจะปล่อยเฟิ่งหวานหว่านที่รังแกนางมาตั้งแต่เด็กไปได้อย่างไร เขาเกรงว่าหลังจากนี้จวนมหาเสนาบดีจะต้องถูกเอาคืนอย่างแสนสาหัส

เมื่อจวินหรูเย่นึกถึงชีวิตที่น่าสังเวชของเฟิ่งมู่ชิงตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ความสงสารก็แล่นเข้ามาในจิตใจของเขา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นพร้อมกับสายตาที่แสดงถึงความเจ็บปวดขณะมองดูท่าทางที่สงบของนาง “ชิงชิง เจ้ายังมีข้าอยู่”

ชิงชิงของเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และบิดาของนางยังทุ่มเททุกอย่างให้กับลูกสาวอีกคนซึ่งมันคงทำให้นางโศกเศร้ามาก

หญิงสาวที่ได้ยินคนตรงหน้ากล่าวเช่นนั้นก็อยู่ในอาการตกตะลึง แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็เข้าใจความหมายที่ชายหนุ่มพูดถึง นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า

“ข้าไม่ได้เปราะบางอย่างที่ท่านคิด วันนี้เฟิ่งหวานหว่านบอกกับข้าว่าข้าไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงของเฟิ่งเทียนหลิง ดูเหมือนว่าข้าจะต้องสืบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ละเอียดเสียแล้ว”

ครั้นจวินหรูเย่ได้ยินคำบอกเล่าจากผู้เป็นภรรยาก็ตกใจมาก เขาใช้เวลาเพียงชั่วครู่ในการทำความเข้าใจเรื่องดังกล่าว

ด้วยเหตุนี้หรือ เฟิ่งเทียนหลิงจึงใจร้ายกับชิงชิงขนาดนั้น?

ชายหนุ่มเคยได้ยินมาว่า ในสมัยก่อนชายผู้นั้นทำงานอย่างหนักก็เพื่ออดีตภรรยาเอก และแม้ว่านางจะเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะเลื่อนขั้นภรรยาคนไหนขึ้นมาแทนที่นางเลย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สตรีนับไม่ถ้วนต่างอิจฉาอดีตภรรยาเอกของเขา

สรุปแล้วมีความลับอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กันแน่?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด