ตอนที่แล้วบทที่ 48 : สำแดงพลังวิชากระบี่เจ็ดสังหาร!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 50 : พรรคบัวขาว หนึ่งดาบ สามสังหาร

บทที่ 49: ตัวละครลับ ศาลาเมฆขาว  


บทที่ 49: ตัวละครลับ ศาลาเมฆขาว

ตามที่คาดไว้ วิชากระบี่เจ็ดสังหารนั้นน่ากลัวมาก และหมาป่าทมิฬก็ตายลงโดยไม่ทันได้ต่อต้าน

“เราเข้าไปดูกันเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มหมาป่าทมิฬกันแน่”

ลู่หยุนซึ่งไม่แม้แต่จะมองหมาป่าทมิฬที่ตายไปแล้วค่อยๆ สลายออร่าหยางและเจตนาฆ่าที่ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขาลง

ไม่มีผู้รอดชีวิต มีเพียงแต่ซากศพและโครงกระดูกที่กระจัดกระจายและแตกหักไปทั่วทุกที่ บ้านเรือนและอาคารถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ แต่กระนั้นมันก็กลับไม่มีร่องรอยของการต่อสู้เลย

“เหตุการณ์ในครั้งนี้น่าจะเป็นผลมาจากหมาป่าทมิฬใช่ไหม?” หลังจากตรวจสอบไปรอบๆ หัวหน้าหวังก็ได้ข้อสรุปดังกล่าว

“นั่นก็สมเหตุสมผล แต่สิ่งต่างๆ ก็ไม่น่าจะง่ายอย่างที่เราเห็นอย่างแน่นอน”

ลู่หยุนแสดงความสงสัย

ไม่มีซากสัตว์อสูรตัวที่สองอยู่ที่นี่ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหมาป่าทมิฬที่เขาฆ่าไปข้างนอกนั้นเป็นสัตว์อสูรของหัวหน้ากลุ่มหมาป่าทมิฬ

พูดตามหลักเหตุและผลแล้ว หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานาน หัวหน้ากลุ่มหมาป่าทมิฬและสัตว์อสูรที่เชื่อมต่อกับวิญญาณของเขาก็จะไม่มาแตกหักกันง่ายๆ แน่

มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ยังไม่ทราบสาเหตุเฉพาะ

ในเวลานี้ เสี่ยวเฉินซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นเบาๆ “อสูรและมนุษย์เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ เราไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ กลุ่มหมาป่าทมิฬใช้วิธีการบางอย่างเพื่อควบคุมสัตว์อสูรไว้ชั่วคราวเท่านั้น แต่วิธีการของพวกเขานั้นก็หยาบและมีข้อจำกัดมากมาย ดังนั้นมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการแก้แค้นเมื่อถึงเวลาที่กรรมตามทัน!”

“หมาป่าทมิฬตัวนี้ได้เลื่อนระดับจากขั้นสองไปสู่ขั้นสาม ความแข็งแกร่งของมันได้พัฒนาเกินกว่าหัวหน้ากลุ่มหมาป่าทมิฬไปมาก ดังนั้นมันจึงหลุดพ้นจากการเป็นทาส และได้ระบายความโกรธที่สะสมมานานหลายปีลงต่อเหล่ามนุษย์”

“อืม คำอธิบายนี้สมเหตุสมผล แต่เนื่องจากหัวหน้ากลุ่มหมาป่าทมิฬรู้ว่ามีข้อบกพร่องในวิธีการของเขาอยู่แล้ว งั้นทำไมเขาถึงปล่อยให้มันเติบโตมาถึงจุดนี้และปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปได้?”

ลู่หยุนยังคงวิเคราะห์ต่อไป “ความบังเอิญที่อสูรหมาป่าทมิฬจะพัฒนาขึ้นเองได้นั้นมีน้อยมาก บางทีมันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกองกำลังภายนอกก็ได้”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเสี่ยวเฉินก็สว่างขึ้นและเขาก็อดไม่ได้ที่จะตอบว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่าสาเหตุที่หมาป่าทมิฬสามารถพัฒนาไปสู่ขั้นสามและหลุดพ้นจากการเป็นทาสได้นั้นอาจเป็นผลมาจากการกระทำของบุคคลปริศนาใช่ไหม?”

“ถูกต้อง แต่มันก็ยังน่าคิดว่าใครเป็นคนทำ และอะไรคือเหตุผลที่พวกเขาต้องอยากทำลายกลุ่มหมาป่าทมิฬลงด้วยการจัดฉากให้สัตว์อสูรขั้นสองพัฒนาไปเป็นขั้นสามและหลุดพ้นจากการเป็นทาส? สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความลับที่เรามิอาจรู้ได้”

ในเวลานี้ หัวหน้าหวังก็พูดแทรกขึ้นมาในที่สุด “เป็นไปได้ไหมว่ากลุ่มหมาป่าทมิฬจะเป็นฐานทัพของพรรคบัวขาวในมณฑลเมฆาเขียว และพวกเขาก็จงใจทำให้สัตว์อสูรทำลายทุกสิ่งในกลุ่มหมาป่าทมิฬลงเพื่อที่จะลบล้างร่องรอยบางอย่าง?”

เสี่ยวเฉินส่ายหัวเบาเล็กน้อย “อันที่จริง พรรคบัวขาวก็มีความสามารถนี้จริง แต่พวกเขาก็ไม่เห็นมีแรงจูงใจจะต้องทำอะไรแบบนี้เลย และไม่ว่ากลุ่มหมาป่าทมิฬจะเป็นฐานของพรรคดอกบัวขาวหรือไม่ ตอนนี้เราก็ไม่เหลือหลักฐานแล้ว”

ลู่หยุนพยักหน้าเห็นด้วยกับมุมมองของเสี่ยวเฉิน

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ เขาก็จำรอยเท้าที่พวกเขาเห็นบนถนนก่อนหน้านี้ได้ รอยเท้านั้นใหญ่เกือบเมตรและใหญ่กว่าอสูรหมาป่าทมิฬสี่เท้าอย่างเห็นได้ชัด

การคาดเดาหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเขา แต่เขาก็รีบระงับมันไว้ เขาพบว่าการคาดเดาของเขานี้น่าเหลือเชื่อมากเกินไป

“บางทีฉันอาจจะกังวลเกินเหตุไปเองก็ได้!” ลู่หยุนส่ายหัวเบาๆ

เมื่อจบจากกลุ่มหมาป่าทมิฬแล้ว มันจึงมีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่สำหรับลู่หยุนและเสี่ยวเฉิน ซึ่งนั่นก็คือศาลาเมฆขาว

พวกเขาทั้งสามค้นหารอบๆ กลุ่มหมาป่าทมิฬอีกครั้งและได้รับกำไรมาไม่น้อย

หลังจากแจกจ่ายส่วนแบ่งกันเสร็จสิ้น ทั้งสามคนก็เริ่มออกจากเทือกเขาเมฆาเขียวและมุ่งหน้าไปยังศาลาเมฆขาว

ไม่นานหลังจากที่ลู่หยุนและคนอื่นๆ สังหารหมาป่าทมิฬลง ลึกเข้าไปในเทือกเขาเมฆาเขียว ร่างขนาดใหญ่ก็ลืมตาขึ้นมาโดยทันที ดวงตาของมันสงบนิ่งราวกับดาวเคราะห์สองดวงที่กำลังเปล่งแสงอันนุ่มนวลออกมา มันลึกล้ำและกว้างใหญ่ดุจท้องทะเล

“มันไม่สำคัญ มันก็แค่เบี้ยตัวเล็กๆ ที่ข้าใช้เดินเล่นเท่านั้น!”

ไม่นานเขาก็กลับเข้าสู่สภาวะหลับลึก

...

ศาลาเมฆขาวตั้งอยู่บนยอดเขาอีกฟากหนึ่งของมณฑล

เมื่อถึงเวลาที่ลู่หยุนและคนอื่นๆ มาถึงตีนเขา พระอาทิตย์ก็ได้ตกดินแล้ว

หัวหน้าหวังแนะนำว่า “มันมืดแล้ว เราลองหาบ้านไร่ที่ตีนเขาแล้วพักค้างคืนที่นั่นกันก่อนเถอะ”

ลู่หยุนและเสี่ยวเฉินพูดขึ้นแทบจะพร้อมกัน “ไม่ เราจะขึ้นไปบนภูเขาเลย!”

จากการสืบสวนของพวกเขา ตอนนี้ผู้ต้องสงสัยคนเดียวที่เหลืออยู่ก็คือศาลาเมฆขาว

อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาค่อนข้างแน่ใจว่าศาลาเมฆขาวนั้นจะต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ฐานที่มั่นของพรรคบัวขาว แต่มันก็ยังต้องมีความเชื่อมโยงกับพรรคบัวขาวไม่มากก็น้อยแน่

ที่ตีนเขา แสงไฟจากบ้านไร่ส่องเลือนลาง แต่หลังจากขึ้นไปบนภูเขาได้ครึ่งทาง มันก็ไม่มีวี่แววของการอยู่อาศัยของมนุษย์เลย

อย่างไรก็ตาม จากครึ่งทางขึ้นไปบนภูเขา มันก็มีการปลูกพืชสมุนไพรแปลกๆ และหายากหลายชนิด และพวกมันก็เติบโตได้ดีมาก

ลู่หยุนจงใจเก็บพวกมันสองสามอย่างมาลองกิน แต่น่าเสียดายที่คะแนนพลังงานของเขาบนหน้าจอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย

สิ่งนี้ทำให้ลู่หยุนรู้สึกหงุดหงิดอยู่พักหนึ่ง

เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาปีนขึ้นไปบนภูเขาและเห็นเงาของศาลาเมฆขาวจากระยะไกล ดวงอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว

ในตอนกลางคืน ศาลาเมฆขาวซึ่งควรจะคึกคักและสว่างไสวกลับดูเหมือนเงียบงันและมืดมิด โดยมีแสงสลัวๆ เพียงไม่กี่ดวงที่กระจัดกระจายไปตามทางบนท้องถนน

“ศาลาเมฆขาวมีคนน้อยงั้นหรอ?” ลู่หยุนถามหัวหน้าหวัง

ก่อนหน้านี้ หัวหน้าหวังเพิ่งแนะนำเจ้าศาลาคนที่สองหยุนเฟยหยานให้กับพวกเขาฟังคร่าวๆ

“ก็ไม่มาก แต่มันก็ไม่น่าจะต่ำกว่าสองถึงสามร้อยคนอยู่ดี” เขาตอบ แต่ในขณะที่ตอบ หัวหน้าหวังก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าเขาค้นพบปัญหาบางอย่างด้วยเช่นกัน

มันเป็นช่วงพลบค่ำ และตามหลักแล้ว ศาลาเมฆขาวที่มีคนอยู่ก็ควรจะมีแสงสว่างจ้า แต่กระนั้นสิ่งที่พวกเขาเห็นกลับตรงกันข้าม ซึ่งนั่นก็ทำให้มันดูผิดปกติมาก

“มีบางอย่างผิดปกติกับศาลาเมฆขาว นายน้อยเสี่ยว นายน้อยลู่ เราต้องระวังให้มากขึ้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป!” เมื่อหัวหน้าหวังเตือนพวกเขา เขาก็เริ่มสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวัง

อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายสนิท ดังนั้นหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกในครั้งต่อไป มันก็จะเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับเขา

“เราก็ระวังกันเป็นปกติอยู่แล้ว”

แตกต่างจากคำเตือนของหัวหน้าหวัง ลู่หยุนและเสี่ยวเฉินดูค่อนข้างพึงพอใจและตื่นเต้น

หากศาลาเมฆขาวเป็นฐานของบรรคบัวชาวจริง งั้นจุดประสงค์ในการมาเยือนของพวกเขาก็สำเร็จไปเกือบครึ่งแล้ว ตราบใดที่พวกเขาลบมันออกไปได้ พวกเขาก็จะสามารถกลับไปที่สถาบันศึกษาวรยุทธ์ได้อย่างเชิดหน้าชูตา

ส่วนเรื่องที่ว่าทั้งสองจะลบมันออกไปได้หรือไม่นั้น..

แน่นอน พวกเขาต้องทำได้อยู่แล้ว และเหตุผลก็คือพวกเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลู่หยุนที่เพิ่งสังหารสัตว์อสูรขั้นสามลงไป ความมั่นใจนี้ยิ่งทวีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น

“ข้าตระหนักดีว่าท่านทั้งคู่มีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกัน แต่ศาลาเมฆขาวนั้นแตกต่างจากค่ายโจรอย่างหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬ พวกเขามีพลังมากมาย…”

ก่อนที่หัวหน้าหวังจะพูดจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นในค่ำคืนอันเงียบสงบ...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด