ตอนที่แล้วบทที่ 7: กำลังสนับสนุนกำลังมา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9: ข้าเชื่อชิงชิง

บทที่ 8: ช่วยทำหน้ากากให้หม่อมฉันหน่อย


เมื่อซือคงหรูซวนได้ฟังดังนั้นก็เหลือบมองไปยังเหล่าสนมทำให้เห็นว่าพวกนางทั้งหมดกำลังพยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ

ถึงแม้ว่าฮองเฮาหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยประเด็นสำคัญ แต่สิ่งที่พระนางพูดออกมาก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง

นี่ไม่ควรถือว่าเป็นการรังแกกันหรอกใช่หรือไม่?

ท้ายที่สุดแล้ว พวกนางไม่ได้คิดอยากจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ เลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าหลังจากนี้พวกนางก็ยังคงต้องพบเจอกับฮองเฮาอยู่เรื่อย ๆ ฉะนั้นการจะหักหน้าฮองเฮาย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ

“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ท่านเห็นหรือไม่ว่า… เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของฮองเฮา”

ทันทีที่ซือคงหรูซวนพูดจบ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนว่ามีหนามแหลมกำลังทิ่มแทงมาจากด้านหลัง ทำให้เขาไม่กล้าที่จะมองหน้าจวินหรูเย่

“ชิงชิง เจ้าอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”

ทันใดนั้น เฟิ่งมู่ชิงที่เฝ้ามองดูอยู่ข้างสนามด้วยความสนุกสนานก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินจวินหรูเย่เอ่ยเรียกนางอย่างสนิทสนม

ชิงชิง?

เขากลายเป็นคนที่น่าขนลุกขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

แต่เนื่องจากชายหนุ่มต้องการช่วยเหลือนาง ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะเพิกเฉยต่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

ถัดมา เฟิ่งมู่ชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่ดวงตาของนางจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า

“ฮองเฮาทรงมีพระราชประสงค์ให้หม่อมฉันคุกเข่าถวายความเคารพพระนางเพคะ”

หลังจากหญิงสาวพูดจบ นางก็รีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับไหล่บางที่สั่นไหวราวกับว่านางกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น

เมื่อจวินหรูเย่เห็นท่าทางดังกล่าวของหญิงสาวตรงหน้า เขาก็กระตุกยิ้มมุมปากพลางนึกขัน อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ว่าคุณหนูน้อยคนนี้กำลังแสดงละครบทโศกแต่แท้จริงแล้วกลับแอบหัวเราะด้วยความสนุกสนานอยู่

หากไม่ใช่ว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางเป็นแบบนั้น ท่าทางที่นางทำอยู่ตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสตรีที่ดูน่าสงสารมากทีเดียว

ทันทีที่เฟิ่งมู่ชิงพูดจบ จวินหรูเย่ก็ขยับมือของเขาอย่างกะทันหัน แล้วพลังลมลูกใหญ่ก็พุ่งเข้าไปปะทะกับร่างของฮองเฮาโดยตรง

“อ๊าาาา!!”

ก่อนที่ใครจะทันได้ตอบโต้ ฉับพลันร่างของผู้ที่โดนโจมตีก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับกระอักเลือดออกมากองใหญ่

“ผู้-สำ-เร็จ-ราช-การฯ!”  ซือคงหรูซวนที่เห็นดังนั้นก็คำรามด้วยความโมโห

ไม่มีใครคาดคิดว่า จู่ ๆ จวินหรูเย่จะลงมือต่อหน้าผู้ปกครองแคว้นในที่สาธารณะเช่นนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกอยู่ในภวังค์

ดูเหมือนว่าผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินเป่ยอี้ ไม่เว้นแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจทัดเทียมผู้สำเร็จราชการฯ 

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เมื่อลี่เฟยเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า นางก็แอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของนางสนมคนอื่นโดยหวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นตน

ก่อนหน้านี้นางและฮองเฮาเคยพูดจาหยาบคายกับพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ นางจึงได้แต่หวังว่าเฟิ่งมู่ชิงจะไม่นึกถึงเรื่องดังกล่าวขึ้นมา

แต่น่าเสียดายที่เฟิ่งมู่ชิงเป็นคนอาฆาตพยาบาท และนางก็จำในสิ่งที่ลี่เฟยกระทำในช่วงเช้าได้ พอเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามที่จะหลบเลี่ยง หญิงสาวจึงกล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ยังมีลี่เฟยอีกด้วยเพคะ เพราะใบหน้าของหม่อมฉันนั้นอัปลักษณ์มากจนทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว” หญิงสาวแกล้งทำเป็นใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงจากหางตาของนาง

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น ริมฝีปากของพวกเขาก็อดที่จะกระตุกไม่ได้ พวกเขาก้มหน้าลงก่อนจะแอบบ่นในใจ ทว่าสีหน้าของแต่ละคนยังคงแสดงให้เห็นถึงความกลัว

นางก็รู้นี่ว่าใบหน้าของนางน่าเกลียด!

“ฮองเฮาและลี่เฟยไม่เคารพพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ นับจากนี้ไปให้ทุกคนกักตัวสำนึกตนอยู่ในตำหนักเป็นเวลา 3 เดือน และต้องคัดลอกพระคัมภีร์ 100 จบ ท่านผู้สำเร็จราชการฯ พอใจกับคำตัดสินนี้หรือไม่?”

เนื่องจากซือคงหรูซวนกลัวว่าเรื่องราวตรงหน้าจะบานปลาย เขาจึงรีบเอ่ยขึ้นด้วยความอดกลั้นก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความโกรธที่กำลังจะปะทุออกมา

ครั้นจวินหรูเย่ได้ยินคำตัดสินเช่นนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฝ่าบาท ดูเหมือนพระองค์จะทรงลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ฮองเฮาต้องการจะสังหารพระชายาของกระหม่อม”

ฮ่องเต้หนุ่มที่เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมรามือก็กัดฟันแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้น ฮองเฮาจะถูกถอดจากตำแหน่งและจะถูกส่งไปที่ตำหนักเย็น”

“ฝ่าบาท!”

เมื่อฮองเฮาได้ยินบทลงโทษก็รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดเข้าที่กลางศีรษะของตน นางมองไปยังชายผู้อยู่ในชุดคลุมลายมังกรด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

“ทำไมกันเพคะ?” นางเอ่ยปากถามผู้ปกครองแคว้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“เพราะว่านางคือพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์!” ชายหนุ่มตอบเสียงดัง

“ฮ่องเต้ผู้ล่วงลับทรงมีพระราชกฤษฎีกาให้ผู้สำเร็จราชการฯ และครอบครัวได้รับการยกเว้นจากการคุกเข่าถวายความเคารพ” ซือคงหรูซวนเอ่ยอธิบายก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ แล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่มองฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย

พอเห็นฮ่องเต้จากไป จวินหรูเย่กับเฟิ่งมู่ชิงต่างเห็นพ้องต้องกันว่าไม่มีประโยชน์ที่พวกตนจะอยู่ต่อ ทั้งสองจึงเดินจากไปเช่นกัน

ปัจจุบันอารมณ์ของเฟิ่งมู่ชิงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มบนใบหน้าของนางสดใสจนเหมือนกับแสงสว่างที่สาดกระทบส่วนลึกในจิตใจของจวินหรูเย่

“ชิงชิงพอใจหรือไม่?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“แน่นอนเพคะ!”

หญิงสาวเผยรอยยิ้มกว้างที่ไม่อาจจะหุบลงได้พร้อมกับดวงตาอันแสนเจ้าเล่ห์ของนางที่พราวระยับประหนึ่งมีดวงดารานับพันอยู่ในนั้น

ชายหนุ่มได้บอกกับนางตั้งแต่ตอนอยู่บนรถม้าก่อนที่จะเข้าไปในวังหลวงแล้วว่านางไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ใคร ซึ่งเรื่องนี้มีเพียงขุนนางชั้นสูงกับซือคงหรูซวนเท่านั้นที่รับทราบ ส่วนนางสนมในวังหลังที่มัวแต่แข่งขันกันเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากฮ่องเต้หนุ่มตลอดทั้งวันย่อมไม่ได้รับรู้เรื่องราวแต่อย่างใด

โดยไม่คาดคิด ฮองเฮาตั้งใจที่จะปะทะกับนางตั้งแต่แรกเห็น อีกทั้งยังกัดนางไม่ยอมปล่อยด้วย

“หม่อมฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าสตรีเช่นนั้นจะสามารถจัดการกับวังหลังได้อย่างไร หรือเพราะเหล่าสนมในวังหลังล้วนอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยมโดยไม่สร้างเรื่องอะไรให้นางต้องวุ่นวายใจนัก?”

จวินหรูเย่ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อไขข้อข้องใจของอีกฝ่าย “แม้ว่าฮองเฮาจะไม่ฉลาดนัก แต่ตระกูลฝั่งมารดาของนางนั้นมีอำนาจมาก ตราบใดที่นางไม่คิดจะก่อกบฏ ฮ่องเต้ก็จะไม่ทำลายนาง”

“แล้ววันนี้เหตุใดนางถึงถูกลงโทษ ทำไมฮ่องเต้ยอมตัดแขนขาของตัวเองออกเพื่อพระองค์?”

เฟิ่งมู่ชิงนึกเหตุผลไม่ออกจึงมองไปยังจวินหรูเย่ด้วยสายตาว่างเปล่า

เมื่อชายหนุ่มสบเข้ากับดวงตาสดใสของหญิงสาว หัวใจของเขาก็เต้นแรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในขณะที่ความเห่อร้อนบนใบหน้าเพิ่มสูงขึ้นย้อมใบหูของเขาจนกลายเป็นสีแดงระเรื่อ

แต่เพียงชั่วครู่ ชายผู้สูงศักดิ์ก็ได้สติแล้วอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้สตรีที่อยู่ข้างกายตนฟังอย่างอดทน

ปรากฏว่าตัวเขานั้นมีอำนาจมากเกินไป ถึงแม้ว่าชื่อเสียงที่ผ่านมาของเขาจะไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าหากเขาต้องการที่จะลงมือก็สามารถโค่นล้มตระกูลซือคงได้อย่างง่ายดาย

มิหนำซ้ำเขายังมีกองทัพเงาซึ่งอดีตฮ่องเต้ได้มอบไว้ให้เขาดูแลอีกด้วย ตราบใดที่ชายหนุ่มคิดจะยึดอำนาจขึ้นมาจริง ๆ ฝ่ายของซือคงหรูซวนก็คงไม่สามารถต่อกรกับเขาได้เลยแม้แต่น้อย

“แล้วทำไมฮองเฮาต้องมุ่งเป้ามาที่หม่อมฉันขนาดนั้นด้วย? นางดูเหมือนอยากจะให้หม่อมฉันตายเสียเต็มประดา นางคงไม่ได้มีหนี้รักกับพระองค์หรอกใช่หรือไม่?”

เมื่อเฟิ่งมู่ชิงนึกถึงท่าทีของฮองเฮา นางก็รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นค่อนข้างซับซ้อน

นางทำเพื่อระบายความโกรธให้กับซือคงหรูซวนงั้นหรือ?

หากแต่เหตุผลดังกล่าวดูจะไม่เข้าท่านัก แม้ว่าฮองเฮาผู้นี้จะเหมือนสตรีไร้สมองก็ตาม แต่นางก็ไม่น่าจะทำอะไรโจ่งแจ้งได้ถึงเพียงนี้

ครั้นพอเฟิ่งมู่ชิงหันไปมองใบหน้าที่หล่อเหลาของจวินหรูเย่ นางก็รู้สึกเหมือนจะเข้าใจได้ว่าทำไมเรื่องเลวร้ายในวันนี้จึงเกิดขึ้นกับตน

ทางด้านจวินหรูเย่ที่เห็นความเข้าใจผิดของอีกฝ่ายก็รู้สึกขบขันอยู่ชั่วครู่พลางส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้

“คนทั่วแคว้นต่างก็รู้ว่าข้าเป็นคนที่โหดร้ายเพียงใด คนพวกนั้นไม่กล้าที่จะยั่วยุข้าอย่างแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นเป็นเพราะเหตุใดกันเพคะ?”

เฟิ่งมู่ชิงมีทีท่าอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก นางมองชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นด้วยดวงตาที่สดใสจนทำให้เขาต้องหันหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อหลบสายตากระตือรือร้นของนางก่อนจะแกล้งทำเป็นกระแอมในลำคอ

“อะแฮ่ม… อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เจ้ามีสัญญาหมั้นหมายกับซือคงหรูหลาง”

“หา? ซือคงหรูหลางคือใครหรือเพคะ?” หญิงสาวอุทานขึ้นด้วยความตกใจ

เรื่องนี้มันซับซ้อนขนาดนั้นเลยหรือ?

แถมยังมีชายที่ชื่อ ‘ซือคงหรูหลาง’ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็ตาม แต่ทำไมนางถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับชายผู้นี้เลย?

ในขณะเดียวกัน จวินหรูเย่พยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาสีเข้มของเขามืดลงเมื่อคิดถึงการหมั้นหมายระหว่างเฟิ่งมู่ชิงกับซือคงหรูหลาง

ย้อนกลับไปในอดีต หลานจิ้งโหรวผู้เป็นภรรยาของมหาเสนาบดีเฟิ่งเคยช่วยชีวิตพระมารดาของซือคงหรูหลางไว้ จึงทำให้มารดาของทั้งสองเอ่ยสัญญาหมั้นหมายระหว่างสองครอบครัว แต่หลังจากนั้นไม่นานแม่ของเฟิ่งมู่ชิงก็เสียชีวิตลงเนื่องจากการคลอดบุตร ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หญิงสาวจะไม่รู้เรื่องนี้

เดิมทีฮองเฮาตกหลุมรักซือคงหรูหลาง แต่ในขณะนั้นมีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์ ด้านซือคงหรูซวนที่อยากได้อำนาจของตระกูลฝั่งมารดาของฮองเฮามาเกื้อหนุนตนจึงวางแผนทำให้นางเสียความบริสุทธิ์จนนางต้องตกล่องปล่องชิ้นอภิเษกสมรสเข้าวังเพื่อเป็นฮองเฮา

หลังจากที่เฟิ่งมู่ชิงได้รับรู้เรื่องราวเบื้องลึกของผู้เป็นมารดาของแคว้น นางก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ

หญิงสาวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับซือคงหรูหลาง อีกทั้งยังไม่เคยพบหน้ากันเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วทำไมฮองเฮาถึงต้องมุ่งเป้าหมายมาโจมตีนางด้วย?

สิ่งเหล่านี้ทำให้นาง… รู้สึกพูดไม่ออก

เมื่อเฟิ่งมู่ชิงกลับมาถึงจวน นางก็ขังตัวเองอยู่ในห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทำให้จวินหรูเย่ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้แต่จ้องมองไปยังประตูที่ปิดอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ

เวลาผ่านไปไม่นานนัก ประตูที่เคยปิดสนิทก็เปิดออกพร้อมกับหญิงสาวที่เดินถือกระดาษ 2 แผ่นออกมาด้วย จากนั้นนางก็ยื่นมันให้กับชายหนุ่ม

“พระองค์ช่วยสั่งให้คนของพระองค์เตรียมของพวกนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

จวินหรูเย่มองดูกระดาษ 2 แผ่นในมือก่อนจะพบว่าบนกระดาษเต็มไปด้วยรายชื่อสมุนไพร

“นี่คือ…?”

“กระดาษแผ่นบนเป็นรายชื่อสมุนไพรที่ใช้ล้างพิษในร่างกายของหม่อมฉัน ส่วนอีกแผ่นเป็นรายชื่อสมุนไพรที่ใช้ทำยาชะลอพิษในร่างกายของพระองค์”

พอจวินหรูเย่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าทำความเข้าใจ ก่อนจะส่งต่อกระดาษให้กับโม่อิ๋ง ด้านเฟิ่งมู่ชิงที่เห็นว่าชายหนุ่มจัดการเรื่องสมุนไพรเรียบร้อยแล้ว นางก็ถามอีกฝ่ายขึ้นว่า

“พระองค์รู้จักช่างทำอาวุธที่เก่งเรื่องการตีเหล็กบ้างหรือไม่?”

“ข้าพอจะรู้จักอยู่”

ครั้นพอเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนจะช่วยตนได้ หญิงสาวก็หยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้เขาพร้อมกับเอ่ยขอความช่วยเหลือ “หม่อมฉันอยากให้เขาช่วยทำหน้ากากให้หม่อมฉันหน่อย”

จวินหรูเย่ที่ได้ยินจุดประสงค์ของนางจึงถามกลับว่า “แล้วเจ้าต้องการมันเมื่อใด?”

“ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเพคะ”

“ได้”

ชายหนุ่มตกปากรับคำในทันที ซึ่งเฟิ่งมู่ชิงมีความสุขกับคำตอบรับของเขามาก แต่แล้วจู่ ๆ นางก็คิดอะไรบางอย่างออกจึงเอ่ยถามคนตรงหน้าอีกครั้ง

“อย่างไรก็ตาม พระองค์ให้หม่อมฉันยืมตำราในห้องเก็บตำราของพระองค์มาอ่านได้หรือไม่?”

จวินหรูเย่พยักหน้าอนุญาตโดยไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย มันทำให้หญิงสาวเผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยหยอกล้ออีกคนว่า “พระองค์ไม่กลัวว่าหม่อมฉันจะขโมยความลับของพระองค์ไปขายหรือเพคะ?”

เนื่องจากห้องเก็บตำราของผู้คนส่วนใหญ่นอกจากจะเก็บตำราไว้มากมายแล้ว บางครั้งยังใช้เก็บข้อมูลสำคัญบางอย่างไว้ด้วย ซึ่งนางไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะไว้ใจตนเองขนาดนี้

“เจ้าจะไม่มีวันทำเช่นนั้น” ชายหนุ่มตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

จวินหรูเย่ไม่รู้ว่าจะอธิบายเหตุผลออกไปอย่างไร เขารู้เพียงแค่ว่าตนเชื่อในตัวของเฟิ่งมู่ชิงมากและเขามั่นใจว่านางจะไม่มีวันหักหลังตนอย่างแน่นอน

คืนนั้น หลังจากโม่อิ๋งเตรียมสมุนไพรครบแล้ว เขาก็ส่งสมุนไพรทั้งหมดที่เตรียมไว้ไปให้เฟิ่งมู่ชิง จากนั้นหญิงสาวก็ขังตัวอยู่ในห้องโดยกำชับว่าอย่าให้ใครมารบกวนนาง

ท่ามกลางแสงจันทร์ในยามค่ำคืน กิ่งของต้นหลิวที่โบกไปมาตามแรงลมก็ทอดเงาไปยังหน้าต่างจวน

ปัจจุบันเฟิ่งมู่ชิงกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาเพื่อทำสมาธิ ภายในเวลาไม่นานร่างกายของนางก็ถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มแสงสีขาว

และทันใดนั้นเมื่อนางลืมตาขึ้น พลังบางอย่างที่คอยกดทับร่างกายก่อนหน้านี้ก็พลันมลายหายไปราวกับว่าไม่เคยมีมาก่อน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด