ตอนที่แล้วบทที่ 1: ใครส่งพวกเจ้ามา?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3: เจ้าสาวที่ถูกกักขังไว้ในที่มืด

บทที่ 2: เขาจำพระชายาของเขาไม่ได้จริง ๆ งั้นหรือ?


เมื่ออวี้ชิงเฟิงสังเกตเห็นท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าของเฟิ่งมู่ชิง เขาจึงพูดขึ้นว่า

“ยังอีกไกลกว่าจะถึงเมืองหลวง คุณหนูใหญ่เฟิ่งสามารถพักผ่อนได้สักพัก”

หญิงสาวที่ได้ยินดังนั้นก็เปิดม่านหน้าต่างรถพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะถามกลับว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึง?”

หวังว่าจะทันเวลานะ

“ประมาณ 2 เค่อ*” ชายหนุ่มตอบ

*1 เค่อ = 15 นาที

เฟิ่งมู่ชิงพยักหน้ารับก่อนจะเอนตัวพิงผนังแล้วหลับตาลงเพื่อแยกแยะความทรงจำที่วุ่นวายในหัวของนาง

สถานที่ที่นางอยู่ ณ ตอนนี้เรียกว่า ‘ดินแดนซิงหยุน’ โดยมีแคว้นเป่ยอี้เป็นเมืองศูนย์กลาง และมีแคว้นอื่น ๆ อีกมากมายอยู่ล้อมรอบ

ในวัยเด็กของผู้คนที่นี่จะใช้หินทดสอบพลังวิญญาณในการทดสอบรากวิญญาณของพวกเขาเพื่อเฟ้นหาเด็กที่มีความสามารถจากแต่ละครอบครัว จากนั้นจึงส่งพวกเขาไปยังสำนักศึกษาต่าง ๆ

รากวิญญาณในโลกนี้แบ่งออกเป็น 5 ธาตุ ได้แก่ โลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟ และดิน นอกจากนี้ยังแบ่งระดับพลังออกเป็นขอบเขตกลั่นลมปราณ, ขอบเขตสร้างรากฐาน, ขอบเขตสร้างแก่นพลังทองคำ, ขอบเขตก่อกำเนิด, ขอบเขตผันวิญญาณ, ขอบเขตคืนสู่ความว่างเปล่า และสุดท้ายคือขอบเขตมหายาน ซึ่งแต่ละขอบเขตก็แบ่งออกเป็นอีก 7 ขั้น

ความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่นี่ค่อนข้างสูง แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่ากับโลกที่นางจากมา แต่สำหรับโลกนี้ที่ยังไม่มีผู้มีพลังที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตผันวิญญาณก็ถือว่าไม่ได้แย่นัก

และด้วยเหตุผลบางประการทำให้ที่แห่งนี้มีผู้มีพลังเพียงไม่กี่คนที่สามารถไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดได้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงขอบเขตผันวิญญาณเลย

เรื่องราวชีวิตของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ได้ราบรื่นดังเช่นคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป และในความทรงจำของร่างเดิมมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น

ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหาคนมาสอบถามเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียแล้ว

เมื่อคิดว่าในชีวิตก่อนนางยังสามารถก้าวขึ้นเป็นเซียนอันดับต้น ๆ ของสวรรค์ชั้นฟ้าได้ ตอนนี้นางก็แค่ต้องกลับมาฝึกฝนอย่างหนักอีกครั้ง

เวลาต่อมา หญิงสาวลองใช้พลังวิญญาณตรวจสอบเส้นลมปราณของร่างนี้ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น

ในความทรงจำตอนที่ร่างเดิมทดสอบรากวิญญาณนั้น นางพบว่าตัวเองไม่มีรากวิญญาณจึงไม่สามารถฝึกฝนเหมือนกับเด็กคนอื่นได้ แต่ตอนนี้เฟิ่งมู่ชิงกลับรู้สึกถึงมวลก้อนเล็ก ๆ สีขาวในร่างกาย

นี่คือ?...

จากนั้นหญิงสาวจึงใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางวางลงบนจุดชีพจรเพื่อตรวจดูร่างกายของตนเงียบ ๆ

นี่มันอาการของคนถูกวางยาพิษชัด ๆ

แถมพิษยังอยู่ในร่างกายมาเกือบ 10 ปี!

ความจริงที่ปรากฏทำให้เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ร่างเดิมเป็นเพียงสตรีอ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ด้วยซ้ำ แล้วใครกันที่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ลงคอ!

ในขณะที่หญิงสาวกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด อวี้ชิงเฟิงที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามก็แอบมองสำรวจนางลับ ๆ

เห็นทีวันนี้ในจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินจะมีเรื่องตื่นเต้นมากมาย แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นแค่เพียงตัวประกันต่างแคว้น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าร่วมความสนุกได้อย่างเปิดเผย

ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าเฟิ่งมู่ชิงเป็นเพียงคนไร้ค่า แต่จากที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นในวันนี้ ดูเหมือนว่าชื่อเสียงเหล่านั้นมิคู่ควรกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนี้เมืองหลวงอาจจะไม่สงบอีกต่อไป

เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เสียงอึกทึกครึกโครมก็บอกให้รู้ว่ารถม้าได้เดินทางเข้าสู่เขตเมืองหลวงแล้ว ซึ่งมันปลุกให้เฟิ่งมู่ชิงที่หลับตาอยู่ลืมตาขึ้น นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดกับชายหนุ่มเจ้าของรถม้าด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวาว่า

“ท่านช่วยไปส่งข้าที่จวนผู้สำเร็จราชการฯ ได้หรือไม่?”

ร่างเดิมของนางไม่รู้ว่าจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ที่ไหน ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากชายตรงหน้าเท่านั้น เพราะยามนี้นางกำลังแข่งกับเวลา ครั้นจะให้ตามหาเองก็อาจจะไม่ทันกาล

อวี้ชิงเฟิงไม่ได้แปลกใจกับคำขอร้องของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เขาหันไปส่งเสียงบอกบ่าวรับใช้ที่กำลังบังคับรถม้าทันที “ไปที่ถนนตะวันออก”

ประตูบานสูงใหญ่ถูกประดับประดาด้วยผ้าไหมสีแดงบอกเล่าถึงงานมงคลที่กำลังจัดขึ้น แม้แต่รูปปั้นสิงโตหินคู่บารมีที่ตั้งอยู่ด้านหน้าจวนก็ยังถูกแขวนด้วยดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ 2 ดอก

แขกเหรื่อมากมายที่ถูกเชิญมาร่วมงานมงคลต่างก็ส่งเสียงหัวเราะหัวไห้ซึ่งบ่งบอกถึงความคึกคักของภายในงานได้เป็นอย่างดี

เจ้าพิธีมองดูคู่บ่าวสาวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าก่อนจะตะโกนขึ้นด้วยความกระตือรือร้น

“หนึ่งคำนับฟ้าดิน”

“สองคำนับบิดามารดา”

“สามคำนับซึ่งกันและกัน”

“ส่งตั–”

“ช้าก่อน!!”

ในขณะที่พิธีกำลังจะเสร็จสิ้น พลันมีเสียงปริศนาเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

เมื่อทุกคนหันไปมองตามเสียงก็พบว่ามีสตรีที่อยู่ในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงยืนอยู่หน้าประตู ประกอบกับผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงทำให้สภาพของนางดูน่าขายหน้า

พอเหล่าแขกในงานเห็นสภาพของผู้มาใหม่ พวกเขาต่างก็ส่งเสียงเซ็งแซ่

คนบ้าคนนี้เป็นใครกันถึงได้กล้าบุกเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการฯ แถมยังกล้ามาขัดขวางพิธีสมรสอีก

ผู้มาเยือนที่เหล่าแขกกำลังพูดถึงไม่ใช่ใครอื่น นางคือเฟิ่งมู่ชิงที่รีบร้อนวิ่งเข้ามาในงานนั่นเอง

โชคดีที่ข้ามาทัน!

หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ในตอนนั้นเอง เจ้าบ่าวที่กำลังเข้าพิธีก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตู โดยที่เครื่องประดับผมบนหัวของนางขาดหายไปด้วยเหตุผลบางประการ แม้ว่าตอนนี้นางจะอยู่ในสภาพน่าสังเวชเพียงใด แต่ดวงตาที่สดใสคู่นั้นกลับดึงดูดใจเขาเป็นพิเศษ

ถัดมา เฟิ่งมู่ชิงก้าวเข้าไปหาผู้เป็นเจ้าบ่าวด้วยท่าทางสง่างาม

ชายที่อยู่เบื้องหน้าของนางมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาราวกับสวรรค์ปั้นแต่ง ดวงตาเฟิ่งหวงที่เรียวยาวเมื่ออยู่ภายใต้คิ้วดาบได้รูปยิ่งทำให้เขาดูเย็นชาและน่าเกรงขาม ประกอบกับจมูกและริมฝีปากก็มีสัดส่วนที่พอเหมาะรับกับใบหน้าคมคายได้เป็นอย่างดี

แม้ว่ายามนี้ชายหนุ่มจะอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงแต่ก็ไม่สามารถซ่อนรัศมีแห่งความองอาจและความเย่อหยิ่งในตัวของเขาได้ มีเพียงขาที่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหากับรถเข็นสีเข้มเท่านั้นที่อาจจะมองแล้วขัดตาไปบ้าง

“เจ้าโจรชั่ว! กล้าดียังไงถึงบุกเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต ยอมให้จับตัวเสียดี ๆ !” องครักษ์ของผู้สำเร็จราชการฯ ก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวผู้บุกรุกพร้อมกับแผ่จิตสังหารออกมาอย่างชัดเจน

“เหตุใดผู้สำเร็จราชการแผ่นดินผู้สง่างามจึงจำพระชายาของพระองค์ไม่ได้?”

เฟิ่งมู่ชิงยืนนิ่งไม่ไหวติง นางมองไปยังชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม

ชายคนนี้คือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้มีชื่อเสียง ‘จวินหรูเย่’!

ตราบใดที่นางดึงจวินหรูเย่ผู้ทรงอิทธิพลให้มาอยู่ฝั่งเดียวกันได้ นางก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีกต่อไป และในอนาคตไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ย่อมง่ายดายมากขึ้น

แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลามากพอที่จะหาวิธีดึงเขาให้มาเป็นคนของข้า

คำพูดของหญิงสาวที่พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้แขกเหรื่อในงานต่างก็ตะลึงงัน สายตาของพวกเขามองสลับไปมาระหว่างจวินหรูเย่กับเฟิ่งมู่ชิง

เกิดอะไรขึ้น!?

นี่ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังล่วงรู้ความลับสุดยอดอยู่หรอกหรือ?

แล้วแบบนี้ผู้สำเร็จราชการฯ จะฆ่าปิดปากพวกเราหรือไม่?

ทุกคนมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มอกแต่พวกเขาก็ยังคงมีความกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะพวกเขากลัวว่าการเดินทางมาร่วมงานมงคลในครั้งนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

เมื่อจวินหรูเย่ได้ยินหญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเฉยชา เขาก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

เดิมทีเขาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ทว่าตอนนี้กลับมีคนมาขัดขวางพิธีซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาแอบหวังไว้ในใจอยู่แล้ว

แต่…นางหมายความว่าอย่างไรกันแน่?

จวินหรูเย่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร เขาและหญิงสาวผู้บุกรุกทำเพียงแค่มองหน้ากันเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

“อะแฮ่ม!”

เฟิ่งมู่ชิงที่ถูกอีกฝ่ายจ้องหน้าก็เสมองไปทางอื่นก่อนจะแสร้งทำเป็นกระแอมในลำคอ

“ข้ามีนามว่าเฟิ่งมู่ชิง เป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายของมหาเสนาบดีเฟิ่งเทียนหลิง!”

“อะไรนะ!!”

พอแขกในงานได้ยินสิ่งที่หญิงสาวเอ่ย ทุกคนต่างก็อุทานเสียงหลง ก่อนจะมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาแปลก ๆ

นี่คือขยะไร้ประโยชน์ผู้นั้นงั้นหรือ!?

ที่ผ่านมาข้าเคยได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เพิ่งจะได้เห็นตัวจริงก็วันนี้

ในขณะเดียวกัน หญิงสาวเพิกเฉยต่อสายตาของทุกคน นางมองไปยังสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าสีแดงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จวินหรูเย่ด้วยสายตาประหลาดใจ

หากไม่ใช่เพราะความช่างสังเกตที่ยอดเยี่ยม นางก็คงจะเชื่อว่าสตรีปริศนาที่ปลอมตัวมาเป็นตนเองนั้นมีท่าทีไม่แยแสและไร้ความกังวล

แต่เมื่อมองไปยังมือของหญิงปริศนาที่กำลังจิกทึ้งชุดของตัวเองอยู่นั้น…

“ทำไมเจ้าสาวตัวปลอมที่อยู่ตรงนั้นถึงไม่ถอดผ้าคลุมให้ทุกคนเห็นล่ะ? เพราะท้ายที่สุดแล้วจะมีสักกี่คนที่ขวัญสูงเทียมฟ้ากล้าปลอมตัวเป็นว่าที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน”

หลังจากเฟิ่งมู่ชิงพูดจบ ทุกคนก็หันไปให้ความสนใจกับเจ้าสาวตัวปลอมที่ยืนอยู่เงียบ ๆ

จากนั้นไม่นานมืออันบอบบางคู่หนึ่งก็ค่อย ๆ ถอดผ้าคลุมสีแดงออกช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน

โอ้–

เฟิ่งมู่ชิงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา

ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะเตรียมตัวมาอย่างดี

ใช่สิ ท้ายที่สุดแล้ว งานแต่งงานครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ คนพวกนี้จึงไม่สามารถลงมือได้อย่างโจ่งแจ้ง

สตรีที่อยู่ตรงหน้าของเฟิ่งมู่ชิงในขณะนี้มีใบหน้าที่ดูธรรมดามาก แต่เป็นใบหน้าธรรมดาที่ไม่มีใครเคยพบเห็น

เนื่องจากร่างเดิมไม่เคยย่างกรายออกจากจวนสกุลเฟิ่งเลยสักครั้ง และนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง ดังนั้นในชั่วขณะหนึ่งพวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี

ทางด้านจวินหรูเย่มองสลับไปมาระหว่างสตรีทั้งสองโดยที่สายตาของเขามองสำรวจพวกนางอย่างครุ่นคิด

ทันใดนั้นก็มีลมพัดผ่านโถงที่ทุกคนยืนอยู่ ทำให้เฟิ่งมู่ชิงได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ปลายจมูกของนางขยับเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายด้วยความยินดี หลังจากนั้นหญิงสาวจึงถามตัวปลอมที่อยู่ตรงหน้าว่า

“เจ้ามีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?”

เมื่อหญิงสาวปริศนาผู้นั้นได้ยินในสิ่งที่เฟิ่งมู่ชิงถาม ดวงตาของนางก็หรี่ลง ก่อนจะส่งเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ

“แม่นางน้อยผู้นี้… ทำไมเจ้าต้องมาสร้างความวุ่นวายในงานสมรสของข้าด้วย?”

น้ำเสียงสั่นเครือทำให้ผู้คนที่ได้ยินเจ็บแปลบในหัวใจ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอนเอียงไปทางเจ้าสาวปริศนาผู้นั้น

ถึงแม้ว่าหน้าตาของนางจะดูธรรมดา แต่ท่าทางและน้ำเสียงของนางก็ดูสง่างามมาก

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ยอมรับสินะ?”

พอเฟิ่งมู่ชิงพูดจบ นางก็รวบรวมกำลังภายในของตนแล้ววิ่งเข้าไปหาสตรีปริศนาทันที

แขกในงานไม่สามารถมองตามความเร็วของการเคลื่อนไหวนี้ได้เลย พวกเขาเห็นเพียงแค่เงาเลือนรางที่เคลื่อนผ่านสายตาของตนไปเท่านั้น

“อ๊าาา!!”

เสียงกรีดร้องของหญิงปริศนาดังลั่นจนทำให้แก้วหูของทุกคนสั่นสะท้าน

เมื่อกลุ่มคนในงานมองไปยังทิศทางของเสียงกรีดร้อง พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าเฟิ่งมู่ชิงกำลังจับไหล่ของสตรีผู้นั้นด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็เคลื่อนไหวอยู่บริเวณใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าสาวตัวปลอมก็เผยออกมา

“เฟิ่งหวานหว่าน น้องสาวคนดีของข้า เจ้าพยายามจะขัดพระราชโองการของฝ่าบาทงั้นหรือ?”

เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันในขณะที่ถือหน้ากากบาง ๆ เอาไว้ นางปรายตามองไปยังของที่อยู่ในมือตนเองพร้อมกับเม้มฝีปากก่อนจะบ่นออกมาด้วยความขยะแขยง “เจ้าสิ่งนี้ทำออกมาได้แย่มาก”

จากนั้นนางจึงโยนหน้ากากไปทางจวินหรูเย่ที่กำลังเพลิดเพลินกับการดูละครฉากสำคัญอยู่

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ทุกคนอึ้ง! บุกงานแต่งกันอย่างงี้เลยเหรอออ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด