บทที่ 167 สนมเยว่
หลังจากสนมเยว่ได้ยินคำยืนยันจากฉินชิงก็หัวเราะออกมา เป็นการหัวเราะที่หาได้ยากจากนาง
"หรือว่าสนมโหลวเอาเครื่องหอมของหลานเอ๋อร์มาทำร้ายคนอื่นอีกแล้ว?"
ฉินชิงไม่อยากจะปิดบังนาง ถึงอย่างไรก็มีแค่สนมเยว่ที่รู้เรื่องนี้ไม่น้อย สิ่งที่พูดออกมาก็มีไม่น้อย เรื่องครั้งนี้ต้องให้นางเป็นพยานถึงจะถูก
แต่ไฉนเลยจะคิดว่าสนมเยว่จะหัวเราะออกมาตามอำเภอใจหลังจากได้ยินคำพูดของฉินชิง
"ในเมื่อฮองเฮาเชิญหม่อมฉันมา เช่นนั้นเรื่องในปีนั้นที่หม่อมฉันรู้ก็ต้องพูดให้หมดสินะเพคะ"
ฮองเฮาที่อยู่ในห้องโถงด้านในได้ยินสนมเยว่หัวเราะเสียงดังจึงออกมา
"ยังไม่ออกมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของน้องหญิงแล้ว ช่างหาได้ยากจริงๆ เจ้าที่เป็นคนเย็นชาหัวเราะอย่างมีความสุขขนาดนี้เป็นด้วยหรือ"
"พอหม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันยังมีโอกาสจะได้สิ่งที่ปรารถนา หม่อมฉันก็มีความสุขมากเพคะ"
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ฮองเฮากลับนึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาแล้ว
"อ่อ เช่นนั้นเจ้าพูดมา เจ้ากำลังปรารถนาสิ่งใด?"
"ในเมื่อฮองเฮาทรงเรียกหม่อมฉันมาก็ต้องรู้อยู่แล้ว หม่อมฉันสงสัยมาตลอดว่าหม่อมฉันถูกสนมโหลวทำร้าย เพียงแต่หวาดกลัวต่อตำแหน่งของสนมโหลว ดังนั้นที่ผ่านมาจึงอยากจะขอให้ฮองเฮาช่วยคืนความเป็นธรรมให้เพคะ"
เมื่อได้ยินสนมเยว่กล่าวเช่นนั้น ฮองเฮาก็ยิ่งสงสัย
"เจ้าเคยถูกสนมโหลวทำร้ายมาอย่างนั้นหรือ?"
สนมเยว่เห็นท่าทางของฮองเฮาเหมือนไม่รู้ว่าตนถูกสนมโหลวทำร้าย จึงมองฉินชิงด้วยความสงสัย
ฉินชิงที่ฟังมาถึงตรงนี้ก็รู้ว่าตนลืมบอกรายละเอียดเรื่องของสนมเยว่ให้ฮองเฮาฟัง ดังนั้นจึงรีบพูดขอโทษ
"ฮองเฮาเพคะ เพราะความประมาทเลินเล่อของหม่อมฉันเองเพคะที่ไม่ได้ทูลรายละเอียดของเรื่องนี้ทันที สถานการณ์ในตอนนั้นเป็นเช่นนี้ หลังจากสนมเยว่มอบกล่องเครื่องหอมให้หม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันก็พบว่าในเครื่องหอมนั้นมีปัญหา ดังนั้นถึงได้เชิญสนมเยว่มาสอบถามหยั่งเชิงที่ตำหนักของหม่อมฉันเพคะ"
เมื่อสนมเยว่ได้ยินว่าหยั่งเชิง ตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงถูกเรียกไปที่ตำหนักจงชุ่ย ที่แท้ก็เพราะมีเหตุผล ด้วยนิสัยของฉินชิงไม่มีทางเรียกคนที่ไม่เคยเจอหน้าไปตำหนักของตัวเอง สนมเยว่มองไปที่ฉินชิงก็ได้ยินฉินชิงพูดต่อ
"หลังจากที่หม่อมฉันหยั่งเชิงแล้วก็พบว่าเครื่องหอมนี้ไม่ได้มาจากมือของสนมเยว่ สนมเยว่คิดว่ากล่องเครื่องหอมที่สนมโหลวมอบให้เป็นของมีราคา ดังนั้นจึงเก็บไว้ไม่เคยใช้มาตลอด จากนั้นเพราะหม่อมฉันได้รับความโปรดปราน นางจึงส่งมาให้หม่อมฉัน แต่คิดไม่ถึงว่าหม่อมฉันจะเจอปัญหาในเวลานั้น"
"จากนั้นล่ะ?" ฮองเฮาฟังฉินชิงอธิบาย คิดไม่ถึงว่าตอนนั้นจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย
"จากนั้นหม่อมฉันก็ตรวจชีพจรให้สนมเยว่ พบว่าสนมเยว่ก็ถูกสนมโหลวใช้เครื่องหอมทำร้ายเช่นกัน แม้ว่าพิษในเครื่องหอมนั้นจะพิเศษและแปลก แต่ก็สามารถล้างพิษออกได้ง่าย ดังนั้นหม่อมฉันจึงแก้พิษให้สนมเยว่ ถึงได้รู้เรื่องของอนุหลานเพคะ"
"ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้"
ฉินชิงเห็นฮองเฮาพยักหน้าก็พูดต่อว่า
"เรื่องที่เหลือหม่อมฉันไม่รู้แล้ว ต้องขอให้สนมเยว่เป็นคนอธิบายแทนหม่อมฉันแล้วเพคะ"
ฉินชิงมองไปที่สนมเยว่ สนมเยว่พยักหน้าหนึ่งทีแล้วพูดต่อ
"จริงๆ แล้วหลังจากที่หม่อมฉันรู้ว่าตนเองป่วยก็เริ่มสงสัยสิ่งที่สนมโหลวทำ แม้ว่าตอนนั้นชูเจาอี้ไม่ได้บอกหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันก็ไม่ใช่คนโง่ หม่อมฉันสามารถมองเรื่องเหล่านี้ออก"
ราวกับว่าเมื่อสนมเยว่ได้เปิดประเด็นแล้วจึงพูดต่อไม่หยุด
"ดังนั้นจึงแอบสืบข่าวของสนมโหลวอย่างลับๆ ในที่สุดก็สามารถแงะปากแม่นมชราที่อยู่ข้างกายของสนมโหลวได้ ยืนยันแล้วว่าสิ่งของทั้งหมดของอนุหลานในปีนั้นอยู่กับสนมโหลว"
"เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าของเหล่านั้นเป็นฝีมือของอนุหลานทั้งหมด?"
ฮองเฮาถาม แม้ว่าจะเป็นฮองเฮา แต่ตอนนั้นเป็นช่วงที่ฮองเฮากำลังเสียใจ นอกจากรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองแล้ว เรื่องอื่นๆ นางก็ไม่สนใจ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออยู่ในจวนอ๋อง อนุอย่างไรก็เป็นแค่อนุ ฮองเฮาไม่เคยสนใจเรื่องวุ่นวายที่คนระดับล่างก่ออยู่แล้ว
มารดาของฮองเฮาก็บอกนางเสมอ ตราบใดที่ทำหน้าที่ของชายาเอกได้ดี ต่อให้ฮ่องเต้ไม่ชอบใจก็ยังให้ความเคารพต่อชายาเอก ดังนั้นฮองเฮาจึงไม่ลดตัวไปสนใจเรื่องเหล่านี้ จึงไม่มีทางเข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นธรรมดา
"ฮองเฮาอาจจะไม่รู้ สนมหลานและหม่อมฉันรู้จักกันตั้งแต่ยังไม่ได้ออกเรือน แม้ว่าผิวเผินจะดูเหมือนพวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่บิดาของหม่อมฉันเคยช่วยพี่ชายคนโตของสนมหลานอยู่บนภูเขา พวกเราก็เลยได้รู้จักกันเพคะ"
สนมเยว่เล่าความเป็นมาของนางและอนุหลาน สายตาของนางก็เต็มไปด้วยความทรงจำ
"แม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน แต่พวกเราสองคนอายุเท่ากัน ตำแหน่งก็เท่ากัน ไม่นานก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เคยเขียนจดหมายหากันบ่อยๆ เพคะ"
"หลังจากนั้นล่ะ?" ฮองเฮาถาม
"หลังจากนั้นบิดาของหม่อมฉันก็ถูกโยกย้ายเข้ามาที่เมืองหลวง พวกเราสองคนเลยขาดการติดต่อไป บิดาของหม่อมฉันเวลานั้นก็เริ่มได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นหม่อมฉันจึงถูกส่งเข้ามาในจวนอ๋องเช่นนี้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นไม่กี่เดือนหม่อมฉันจะได้เห็นนางที่จวนอ๋องเพคะ"
"พวกเจ้าสองคนยอมรับว่ารู้จักกันหรือไม่?" ฮองเฮาถาม
"ไม่เพคะ ฮองเฮา แต่ไหนแต่ไรมาท่านก็ไม่เคยสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตอนนั้นแม้ว่าในจวนอ๋องจะมีคนน้อย แต่ก็มีการเป็นปรปักษ์ต่อกันอย่างลับๆ"
ฮองเฮาได้ยินคำพูดของสนมเยว่ก็รู้ว่าตอนนั้นในจวนอ๋องมีการต่อสู้กัน แต่สำหรับฮองเฮาแล้วเป็นปรปักษ์ต่อกันก็ดีกว่าการชิงดีชิงเด่น ไม่ต้องจัดการกับคนชั้นล่างถึงจะดีที่สุดสำหรับนาง จวนอ๋องก็ยังไม่ถึงขั้นเกิดเรื่องใหญ่ ดังนั้นนางจึงปล่อยไปไม่สนใจ
สนมเยว่อธิบายเรื่องตอนนั้นต่อ
"อนุหลานในฐานะที่เป็นคนอาศัยอยู่ในเรือนของสนมโหลวเวลานั้น แน่นอนว่าต้องเป็นพวกเดียวกับสนมโหลว แต่หม่อมฉันในตอนนั้นยังพึ่งพาอวี้หรงหัว พวกเราสองคนไม่อาจมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างเปิดเผยได้ ต้องเป็นปรปักษ์ต่อกันถึงจะถูกเพคะ"
"ดังนั้นพวกเจ้าก็เลยแอบไปมาหาสู่กัน หลีกเลี่ยงสายตาของทุกคนอย่างนั้นหรือ?"
"ใช่เพคะ ฮองเฮาพูดถูกต้องแล้ว หม่อมฉันรู้จักนางมานานมากและรู้ว่านางชอบเครื่องหอม ในเวลาเดียวกันนางก็รู้วิชาแพทย์ อยู่บนเขามาช่วงเวลาหนึ่ง หม่อมฉันจึงได้เห็นนางทำเครื่องหอมเหล่านั้นไม่น้อยเพคะ"
"เช่นนั้นเหตุใดสุดท้ายนางถึงตายล่ะ?"
เวลานี้สนมเยว่กลับลงไปคุกเข่าให้ฮองเฮาแล้วโขกศีรษะหนึ่งครั้ง
"ได้โปรดฮองเฮาช่วยคืนความเป็นธรรมให้อนุหลานและหม่อมฉันด้วย ช่วยลงโทษและจัดการสนมโหลวด้วยเพคะ" สนมเยว่พูดอย่างแน่วแน่
ฮองเฮาเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็บอกให้หลานจือที่อยู่ข้างๆ ไปพยุงนางขึ้นมา ทว่าสนมเยว่กลับผลักหลานจือออกไปแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นไปทางฮองเฮาอีกครั้ง
"หากฮองเฮาไม่รับปาก หม่อมฉันก็จะไม่ลุกขึ้นเพคะ"
"ข้ารับปากเจ้า แต่เจ้าต้องลุกขึ้นมาอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจนก่อนข้าถึงจะคืนความเป็นธรรมให้เจ้าได้"
ฮองเฮามองสนมเยว่ที่อยู่ด้านล่าง ในใจก็แอบคิดว่านี่คงจะมีความเกลียดชังอย่างสุดซึ้งแล้ว
ส่วนฉินชิงในเวลานี้ครั้นได้ยินสิ่งที่สนมเยว่พูดกลับยิ่งรู้สึกแปลกใจ เรื่องในตอนนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่ เกรงว่าเรื่องจากนี้ไปคงจะเป็นฉากที่สำคัญที่สุดแล้ว
ในเมื่ออนุหลานเป็นคนของสนมโหลว แต่เหตุใดฟังจากน้ำเสียงของสนมเยว่แล้วกลับรู้สึกว่าอนุหลานถูกสนมโหลวฆ่าตาย?