ตอนที่แล้วบทที่ 15 : ใครอยากจะอยู่ก็อยู่ แต่ฉันไม่อยู่แล้ว!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 17 : การแสวงหาความรู้  

บทที่ 16 : บ้านใหม่


บทที่ 16 : บ้านใหม่

หนึ่งวันต่อมา เมืองหยางเหมย

นี่คือเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนภูเขา มันล้อมรอบไปด้วยต้นเหมยซึ่งเป็นที่มาของชื่อ

เมืองหยางเหมยเองก็ตั้งอยู่ในมณฑลต้าหยูด้วยเช่นกัน แต่มันก็เป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่ยากจน มันไม่มีผลิตภัณฑ์พิเศษใดๆ ยกเว้นก็แต่ผลไม้ประจำเมืองเหมยและเหล้าหยางเหมยที่ผลิตขึ้นที่นี่ นอกเหนือจากนั้นมันก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว

และด้วยการที่ตั้งอยู่บนภูเขา มันจึงทำให้การใช้ชีวิตบนนี้ค่อนข้างลำบาก และมันก็ทำให้ทั้งเมืองมีประชากรเพียงประมาณพันคนเท่านั้น

เมืองเล็กๆ แบบนี้มักจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก

และในทำนองเดียวกัน แก๊งหมาป่าทมิฬเองก็ไม่ได้ขยายขอบเขตอำนาจของพวกเขามาจนถึงที่นี่

“นี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบดีจริงๆ”

เมื่อลู่หยวนมาถึงที่นี่ เขาก็รู้สึกพึงพอใจกับสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของเมืองมาก

เขาใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการตรวจสอบก่อนจะตัดสินใจว่าจะหนีมาตั้งรกรากขึ้นที่นี่ในที่สุด

เนื่องจากที่นี่มีประชากรเบาบางและผู้คนที่นี่เองก็ยากจน ดังนั้นแล้วแก็งหมาป่าทมิฬจึงไม่ได้ให้ความสนใจที่นี่เลย

และเนื่องจากความยากจน มันจึงไม่มีแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่นี่ ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าจะถูกกดขี่จากพวกเขา

การรักษาความปลอดภัยของเมืองได้รับการดูแลโดยกองทหารอาสาท้องถิ่นที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยชาวบ้านเอง พวกเขามีจำนวนน้อยและมีเพียงประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็นำโดยเจ้าเมืองเอง

เมื่อไม่มีแก๊ง ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริต และไม่มีปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม สถานที่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเขา

...

“เจ้าเป็นใคร?”

เมืองที่เงียบสงบแห่งนี้พึ่งพาตนเองมาโดยตลอดและไม่ค่อยจะมีคนนอกเข้ามาเยี่ยมเยือน ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อพวกเขาเห็นลู่หยวนปรากฎตัวขึ้นที่ทางเข้าเมือง ในไม่ช้าจึงมีทหารอาสาหลายคนเข้ามาล้อมรอบเขาไว้

หน้าที่ของพวกเขาคือการลาดตระเวนเพื่อกันหวัขโมยและปกป้องเมือง

“พี่ชายใจเย็นๆ ก่อน ข้าเป็นเพียงนายพรานจากบนภูเขา ข้าอยากจะขอเข้าพบกับท่านเจ้าเมืองสักหน่อย”

เมื่อเห็นทหารอาสาล้อมรอบเขา ลู่หยวนก็ทำเพียงเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและพูดพร้อมกับคำเยินยอ

อีกสักครู่ต่อมา

“เจ้าอยากจะตั้งถิ่นฐานในเมืองหรอ?”

เจ้าเมืองหยางเหมยคือชายสกุลซุน เขามีลำตัวอ้วนกลมเล็กน้อยแต่ดูมีฐานะร่ำรวย ในขณะนี้ เมื่อได้ยินคำขอจากนายพรานที่อยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นและเขาก็จ้องมองไปที่ลู่หยวนอย่างตั้งใจและพูดว่า “เจ้าไม่มีชื่อในทะเบียนและเจ้าก็เป็นคนไร้สัญชาติ... อืม นี่คงจะเป็นเรื่องยากสักหน่อย”

แม้ว่าคำพูดของเขาจะแสดงออกถึงความลำบากใจ แต่ลู่หยวนก็สามารถเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของอีกฝ่ายได้

โชคดีที่ลู่หยวนเตรียมพร้อมตั้งแต่มาถึงแล้ว เขาหยิบเงินสองตำลึงออกมาจากอกแล้วยื่นให้อีกฝ่ายพร้อมกับพูดว่า “ท่านเจ้าเมือง โปรดผ่อนปรนและเมตตาข้าสักหน่อยเถอะ”

เจ้าเมืองซุนเหลือบมองเงินที่ลู่หยวนมอบให้และจิบชาจากถ้วยน้ำชาข้างๆ เขาโดยไม่พูดอะไร

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ลู่หยวนก็รู้สึกขมขื่นในใจเมื่อรู้ว่าเขาได้พบกับชายผู้ละโมบ

หากไม่สนองความอยากอาหารให้เต็มที่ การตั้งรกรากที่นี่ก็คงจะเป็นเรื่องยาก!

เขาถอนหายใจ หยิบเงินออกมาอีกหนึ่งตำลึงจากอกของเขาแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเมือง ข้าไม่รู้หนังสือเลยทำให้ท่านไม่พอใจ โปรดรับเงินนี้ไว้แทนคำขอโทษของข้าด้วย”

หลังจากนั้นไม่นาน...

ลู่หยวนเดินออกมาจากจวนเจ้าเมืองพร้อมกับทะเบียนบ้านในมือ

หลังจากที่เขาเดินออกมาไกลแล้วและเห็นว่าไม่มีคนอยู่ใกล้ๆ เขาก็สบถออกมาเบาๆ “ให้ตายเถอะ ไอ้อ้วนนี่มันจะโลภไปไหนวะ? ถ้ามันจะเอาตังฉันขนาดนี้ ทำไมมันไม่ปล้นฉันซะเลยล่ะ”

“เพื่อทะเบียนบ้านเพียงอันเดียว แม่งเรียกเก็บเงินฉันตั้ง 5 ตำลึง นี่มันมากเกินไปแล้ว!”

สำหรับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรภายใต้อาณาเขตของพวกเขาก็คือความสำเร็จทางการเมืองของพวกเขา

ลู่หยวนเป็นฝ่ายมาขออยู่ในเมืองก่อน ดังนั้นนี่จึงหมายถึงการที่ลู่หยวนเอาพานเงินมาประเคนให้เขาแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้อ้วนนั่นก็กลับต้องการพานทอง!

“ฉันจะจดจำการสูญเสียครั้งนี้ไว้ หากมีโอกาสในอนาคต ฉันจะเล่นมันคืนแน่ ฉันจะทำให้มันรู้ถึงความยากลำบากในการหาเงิน 5 ตำลึง!”

หลังจากสาปแช่งในใจอยู่หลายครั้ง ลู่หยวนก็หันหน้าและมองไปในเมือง

ไม่ว่าเขาจะรู้สึกไม่มีความสุขมากแค่ไหน แต่อย่างน้อย เขาก็ได้รับทะเบียนบ้านมาได้สำเร็จแล้ว แต่เพื่อที่จะให้การลงทะเบียนของเขามีผลอย่างแท้จริง เขาก็ยังคงจำเป็นต้องซื้อบ้านในเมืองและลงหลักปักฐานอย่างสมบูรณ์

ในขณะที่เขากำลังคิดถึงเรื่องนี้ คำพูดที่น่าตีปากของเจ้าเมืองซุนก็ดังขึ้นในหัวของเขา “ถ้าเจ้าไม่มีถิ่นที่อยู่ถาวร แบบนั้นแล้วเราจะเก็บภาษีเจ้ายังไง? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาหาเจ้าไม่เจอ? หากเจ้าไม่คิดจะซื้อบ้าน เจ้าก็ควรกลับไปเป็นคนป่าและนอนในถ้ำแบบเดิมจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็จะได้ไม่มีใครมารบกวนเจ้าและเจ้าก็จะได้อยู่อย่างสบายใจ”

เมื่อมาถึงจุดนี้ ลู่หยวนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตามคำบอกเล่าของเจ้าเมืองซุน

แม้ว่าชีวิตของนายพรานจะเป็นอิสระ แต่มันก็ขมขื่นมากเช่นเดียวกัน การอาศัยอยู่ในถ้ำบนภูเขาและรายล้อมไปด้วยสัตว์ป่าอันตรายและแมลงมีพิษนั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตของเขามากเกินไป

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นพลเมืองชั้นเลวแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องเสียภาษีทุกปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีความปลอดภัยอยู่บ้าง

ทางเลือกหนึ่งไม่ใช่การเป็นมนุษย์ แต่อีกทางเลือกหนึ่งคือการเป็นมนุษย์

ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกแบบไหน?

แน่นอนว่าคำตอบคือการเป็นมนุษย์ แม้ว่ามันจะเป็นมนุษย์ระดับต่ำสุดเลยก็ตามแต่

“โชคดีที่ฉันได้รับโชคหล่นทับมาจากหม่าจื่อชิง ดังนั้นแม้ว่าฉันจะหักเงินค่าทะเบียนบ้านออกไปแล้ว แต่ฉันก็ยังมีเงินเหลืออยู่อีกมากกว่า 38 ตำลึง”

เมื่อพักที่โรงเตี๊ยมและสั่งอาหารเสร็จ ลู่หยวนก็คิดขณะรับประทานอาหารว่า “ด้วยเงินมากมายเช่นนี้ แม้ว่าฉันจะซื้อบ้านอยู่ แต่เงินเก็บที่เหลือก็ยังเพียงพอสำหรับฉันไปอีกสองถึงสามปี”

เงินจำนวนมหาศาลนี้ทำให้เขามั่นใจในการจดทะเบียนบ้าน

และแล้วการซื้อบ้านก็เป็นไปอย่างราบรื่น

เขาทำเพียงแค่ถามเรื่องนี้กับทางเจ้าของโรงเตี๊ยม และเมื่อได้ยินว่าเขาเป็นคนมาใหม่และตั้งใจที่จะตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมือง เจ้าของโรงเตี๊ยมก็จงใจแนะนำให้เขารู้จักกับสถานที่แห่งหนึ่ง

มีครอบครัวหนึ่งในเมืองซึ่งลูกชายได้กลายมาเป็นเจ้าของร้านเหล้าในเมืองอื่นและได้สร้างชื่อให้กับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงต้องการจะพาพ่อแม่ของเขาไปอยู่ด้วย

และเมื่อผู้คนจากไปแล้ว บ้านหลังนั้นจึงถูกทิ้งร้างในที่สุด

และสิ่งนี้ก็เป็นผลให้พวกเขาต้องการที่จะขายมัน

บ้านมีสองห้องนอน หนึ่งห้องโถง หนึ่งลานกว้าง หนึ่งห้องครัวและหนึ่งห้องใต้หลังคา มันครอบคลุมพื้นที่กว่าสี่ร้อยตารางเมตร

เนื่องจากอยู่ในเมืองชนบทและเจ้าของต้องการจะรีบขายด่วน ดังนั้นราคาจึงไม่ได้แพงนัก มันขายในราคาสิบสามตำลึงเงินเท่านั้น

ต่อมา ลู่หยวนก็หยิบเงินอีกสองตำลึงออกมาเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ โชคดีที่เจ้าบ้านคนเก่าไม่ได้ย้ายของออกไปทั้งหมด ดังนั้นลู่หยวนจึงไม่ต้องซื้อทุกอย่างใหม่

ด้วยวิธีนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เป็นเจ้าของบ้านหลังแรกในโลกนี้สักที

แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่นักและยังอยู่ในชนบท

แต่เมื่อเทียบกับตอนแรกที่เขาอาศัยอยู่ในถ้ำ นอนอยู่บนพื้นและผิงไฟเพื่อความอุ่นแล้ว การมีบ้านที่บังลมฝนและเตียงอุ่นๆ ให้นอนในตอนนี้นั้นก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับกำลังอยู่บนสรวงสวรรค์

ลู่หยวนพึงพอใจกับชีวิตในปัจจุบันของเขามาก

“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฉันจะมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว แต่การนั่งอยู่เฉยๆ ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ฉันไม่สามารถทิ้งทักษะการล่าสัตว์ไปเฉยๆ ได้ เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่ฉันมีในการหาเลี้ยงชีพในตอนนี้”

“นอกจากนี้ มันก็ยังมีเนื้อรมควันและหนังที่ฉันทิ้งไว้อยู่บนภูเขาด้วย นั่นเองก็นับเป็นเงินทองด้วยเช่นกัน”

“ฉันจะรอจนกว่าพวกแก็งหมาป่าทมิฬจะจากไป แล้วจากนั้นจึงค่อยกลับไปเอาพวกมันมา”

“ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าซากเสือดาวกับกระต่ายที่ฉันซ่อนไว้จะยังอยู่หรือไม่ และหากมันยังอยู่ มันจะเน่าแล้วรึยัง?”

...

กลางคืน

หลังจากทำความสะอาดบ้านมาทั้งวัน ลู่หยวนก็อาบน้ำ ปูผ้าห่มที่ทำมาจากผ้าฝ้ายและเอนหลังนอนอย่างสบายๆ บนเตียงนุ่มๆ และไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไปพลางคิดถึงแผนการของเขา

เขานอนหลับอย่างปลอดภัยในเมืองและในบ้านของเขาเอง เขารู้สึกสบายใจอย่างสุดจะพรรณา...

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด