บทที่ 13: แก๊งหมาป่าทมิฬบุกขึ้นเขา
บทที่ 13: แก๊งหมาป่าทมิฬบุกขึ้นเขา
อากาศค่อยๆ เย็นลง
บนภูเขา ความเย็นมักจะมาถึงเร็วกว่าด้านล่างเสมอ
แม้ว่าจะเป็นเพียงเดือนตุลาคม แต่ต้นไม้ที่อยู่นอกภูเขาก็เริ่มเหี่ยวเฉาและเริ่มมีน้ำค้างก่อตัวแล้ว
โฮรกก!
เสือดาวตัวหนึ่งกระโจนลงมาจากต้นไม้ราวกับลมกระโชกแรง มันกระโจนเข้าหาเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า
ฤดูหนาวได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในฐานะที่เป็นสัตว์ร้ายบนภูเขา ท้องของเสือดาวก็ยังไม่อิ่ม และไขมันในร่างกายของมันก็ยังไม่หนาพอ นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย
หากมันไม่มีไขมันในร่างกายเพียงพอ มันก็จะไม่สามารถผ่านพ้นฤดูหนาวอันโหดร้ายนี้ไปได้ และมันก็อาจจะต้องตายลงด้วยความอดอยากก็ได้
ด้วยเหตุนี้เอง ก่อนที่ฤดูหนาวจะเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง มันจึงต้องพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อเพิ่มไขมันในร่างกายของมัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อน มันก็คงจะไม่เปลืองแรงลดตัวลงไปล่ากระต่ายโง่ๆ ตัวเล็กๆ แน่
แต่ในเวลานี้ เสือดาวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตัดสินใจลดตัวลงมาล่าเหยื่อโง่ๆ แบบนี้
และราวกับสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา กระต่ายตัวสีเทาได้ยินเสียงลมหวิวและเห็นเสือดาวกระโจนเข้ามาหามัน ขนของมันพองขึ้นและมันก็พยายามจะกระโดดหนี
อย่างไรก็ตาม เมื่อกระโดดมาได้เพียงครึ่งทาง เชือกที่ถูกซ่อนเอาไว้ก็ได้ดึงร่างของมันให้ลอยขึ้นไปบนอากาศ
มันไม่มีทางที่จะหลบหนีได้ ดวงตาของกระต่ายตัวสีเทาจ้องมองไปที่เสือดาวที่กำลังเข้ามาใกล้ และแววตาของมันก็ฉายแววสิ้น
ในฐานะนักล่าระดับแนวหน้าตั้งแต่แรกเกิด เสือดาวก็เคยเห็นแววตาสิ้นหวังของเหยื่อมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ด้วยเหตุนี้เอง ฉากตรงหน้ามันจึงเป็นเรื่องปกติมาก
มันหยุดอยู่ตรงข้างล่างต้นไม้ จากนั้นมันก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้กระต่ายอย่างสง่างามและมั่นคงเพื่อเตรียมที่จะกินเหยื่อ
พรึ่บ!
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นมาจากด้านข้าง จากนั้นก็ตามมาด้วยจุดสีขาวที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนเสือดาวจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ขนบนตัวของมันลุกพองขึ้นแบบเดียวกับที่กระต่ายทำก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม การโจมตีที่กะทันหันนี้ก็รวดเร็วเกินไป เมื่อเสือดาวพยายามที่จะกระโดดหนีและหลบ มันก็สายเกินไปแล้ว
ตุ๊ด!
ลูกธนูแทงทะลุคอของเสือดาว หัวของลูกธนูโผล่ออกมาจากคออีกด้านหนึ่ง
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงปรากฎขึ้นบริเวณคอของมัน และถึงแม้ว่าเสือดาวจะอยากร้องไห้ออกมา แต่มันก็ทำได้เพียงส่งเสียงครวญครางอย่างแผ่วเบาออกมาได้เท่านั้น
และไม่นาน ความทุกข์ก็หมดไป
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
เสียงแหวกอากาศแบบเดิมดังขึ้นต่อกันอีกหลายครั้ง และลูกธนูอีกจำนวนมากก็เจาะทะลุกะโหลกศีรษะกับหัวใจของเสือดาวอย่างแม่นยำ
เสือดาวได้จ่ายให้กับความโลภและความประมาทด้วยชีวิตของมัน
“หลังจากผ่านไปสามเดือน ในที่สุดทักษะการยิงธนูของฉันก็ยกระดับขึ้นสักที” ลู่หยวนโผล่ออกมาจากที่ซ่อนของเขาและเดินตรงไปหาเสือดาวที่ไร้ชีวิต
ในขณะนี้ เขาก็รู้สึกเสียวแปลบ และจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าทั้งความแข็งแกร่งและการมองเห็นของเขาได้พัฒนาขึ้น ตอนนี้วิสัยทัศน์ของเขาดีมากจนเขาสามารถมองเห็นแมลงตัวเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรได้แล้ว
เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและปล่อยจมดิ่งลงไปภายในจิตใจ
[ชื่อ: ลู่หยวน]
[พรสวรรค์: เป็นอมตะ]
[อายุ: 16]
[ทักษะ: กับดักล่าสัตว์ (ขั้นต้น), ทักษะมีดอย่างหยาบ (ขั้นต้น), ทักษะยิงธนูอย่างหยาบ (ขั้นสูง)]
“ทักษะยิงธนูของฉันพัฒนาขึ้นได้อย่างราบรื่น และด้วยอัตรานี้ บางทีในอีกครึ่งปี ฉันก็อาจจะสามารถยกระดับทักษะยิงธนูของฉันไปสู่ขั้นสมบูรณ์ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังคงรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี” ลู่หยวนเลิกสนใจหน้าต่างค่าคุณสมบัติและถอนหายใจออกมาในขณะที่เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา
เขายังคงนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองวันนั้น...
นักดาบนามหม่าจื่อชิงสามารถสังหารกลุ่มอันธพาลลงได้ภายในสิบลมหายใจ
จางเปียวและกลุ่มของเขาถือได้ว่าแข็งแกร่งและดุร้ายในสายตาของคนธรรมดา
แต่กระนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับหม่าจื่อชิง พวกเขาก็ยังร้องไห้ราวกับเด็กน้อยและถูกฆ่าตายลงไปทีละคนอย่างง่ายดาย
ความแตกต่างระหว่างผู้ที่ฝึกยุทธ์กับผู้ที่ไม่ได้ฝึกยุทธ์นั้นมีความแตกต่างกันมาก
“เนื่องจากฉันสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งผ่านการพัฒนาทักษะยิงธนูได้ ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงสามารถยกของหนักประมาณ 150 กิโลกรัมได้แล้ว”
“ในขณะเดียวกัน ความเร็วปฏิกิริยาการตอบกลับของฉันก็พัฒนาขึ้นมาด้วยอีกเล็กน้อย”
“และในตอนนี้ แม้จะมือเปล่า แต่ฉันก็น่าจะสามารถต่อสู้กับคนเดียวกันพร้อมๆ กันได้สามถึงห้าคน”
“ถึงอย่างนั้น การปรับปรุงเพียงเท่านี้มันก็ยังไม่เพียงพอ”
ลู่หยวนส่ายหัว
แม้การต่อสู้กับคนธรรมดาสามถึงห้าคนในเวลาเดียวกันได้นั้นอาจจะน่าประทับใจในสายตาของคนธรรมดา
แต่ระดับความแข็งแกร่งดังกล่าวก็ยังไม่มีอะไรเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธ์
เขานึกถึงการแสดงของหม่าจื่อชิงเมื่อหลายเดือนก่อนและอดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็น “แม้ฉันจะพัฒนาขึ้นมามากแล้ว แต่ฉันก็คงจะยังถูกเขาสังหารลงภายในหนึ่งลมหายใจอยู่ดี”
ใช่แล้ว ห้าเดือนของการฝึกฝนอย่างหนักยังไม่เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์แม้แต่หนึ่งลมหายใจ
ความจริงมันก็โหดร้ายแบบนั้น
“เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันจึงยังต้องฝึกอยู่บนภูเขาไปอีกสองปี บางทีเมื่อทักษะยิงธนูและทักษะมีดของฉันพัฒนาขึ้นจนถึงขั้นสูงสุด ฉันก็อาจจะสามารถต่อสู้กับคนธรรมดาสิบคนพร้อมๆ กันได้... มั้ง?”
ลู่หยวนคิดและอดไม่ได้ที่จะปลอบใจตัวเองด้วยวิธีนี้
แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้กับคนธรรมดาสิบคนในเวลาเดียวกันได้นั้นจะไม่มีอะไรเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธ์ แต่อย่างน้อยมันก็ยังช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้เขากับได้อยู่เล็กน้อย
…
ลู่หยวนลากร่างไร้วิญญาณของเหยื่อทั้งสองกลับไปที่ถ้ำบนภูเขา
เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเหนือศีรษะ หิมะที่ก่อตัวขึ้นในยามค่ำคืนก็เริ่มละลายลงอย่างช้าๆ
หิมะละลายหายไปบนผืนดิน มันทำให้ถนนบนภูเขาเต็มไปด้วยโคลนและเดินได้ยากยิ่งขึ้น
แหยะ!
ลู่หยวนยกขาของเขาออกจากโคลนด้วยความยากลำบากและก้าวขึ้นไปบนพื้นหญ้าข้างหน้าและถอนหายใจด้วยความโล่งอกในใจ
“ในที่สุดฉันก็ได้เดินบนพื้นหญ้าสักที แม้ว่ามันจะเปียก แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ลื่นและเดินยากเหมือนกับพื้นโคลน”
เขาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากและมองไปรอบๆ ตามปกติ
บนภูเขามีอันตรายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งแมลงมีพิษและสัตว์ป่าดุร้ายอาจซุ่มซ่อนได้อยู่ทั่วทุกที่ ดังนั้นแล้วหากเขาไม่ระมัดระวังเพียงพอ เขาก็อาจเสียชีวิตลงและกลายเป็นเหยื่อของพวกมันได้
“เอ้ะ? นั่นอะไรน่ะ?”
ทันใดนั้น เมื่อสายตาของลู่หยวนกวาดไปถึงที่ตีนเขา ดวงตาของเขาก็สบเข้ากับสิ่งที่ดูสะดุดตา
เขาเห็นกลุ่มชายชุดดำพร้อมอาวุธครบมือกำลังเดินผ่านป่าและมุ่งหน้าไปทางเมือง
ด้วยการพัฒนาขึ้นของทักษะยิงธนู สายตาของเขาจึงดีขึ้นกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เอง แม้จะอยู่ห่างออกไปหนึ่งลี้ แต่เขาก็ยังสามารถจดจำเครื่องแต่งกายของผู้คนเหล่านั้นได้
“นั่นมันแก๊งหมาป่าทมิฬนี่?”
ลู่หยวนระบุตัวตนของคนเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว แต่พริบตาต่อมา เขาก็ต้องสับสน “พวกเขามาทำอะไรบนภูเขา? ...ดูเหมือนพวกเขาจะกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่”
หลังจากสังเกตเห็นสิ่งนี้ เขาก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยและเลือกที่จะหมอบลงก่อนหันหลังกลับและคลานออกไปจากพื้นที่บริเวณนี้
ไม่ว่าแก๊งหมาป่าทมิฬจะกำลังมองหาอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือมันจะต้องไม่เป็นเรื่องดีต่อตัวเขาอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
“ทางลัดนี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีอีกต่อไป และเพื่อความปลอดภัย ฉันก็ควรใช้เส้นทางที่ไกลกว่าเพื่อกลับไปที่ถ้ำของฉัน”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลู่หยวนก็ซ่อนซากสัตว์ทั้งสองเอาไว้ในพื้นที่ปลอดภัย จากนั้นจึงปีนขึ้นไปตามเส้นทางบนภูเขาอย่างรวดเร็วและเงียบๆ
กลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงจากซากเสือดาวอาจดึงดูดความสนใจของแก๊งหมาป่าทมิฬได้ ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงตัดสินใจเก็บพวกมันเอาไว้ในพื้นที่ปลอดภัยก่อนแล้วจะค่อยกลับมาเก็บกู้มันในภายหลัง
“ตอนนี้บนภูเขามีหิมะตก ดังนั้นเนื้อเสือดาวจึงจะไม่เน่าเสียในเร็วๆ นี้แน่ เพราะงั้นแล้วสิ่งที่ฉันต้องกลัวในเวลานี้จึงมีเพียงสัตว์ป่าตัวอื่นๆ ที่อาจจะมาแย่งพวกมันไปได้”
ลู่หยวนถอนหายใจในขณะที่เขาปีนกลับไปที่ถ้ำและทิ้งแก๊งหมาป่าทมิฬเอาไว้เบื้องหลัง...