1354 - ตามหาหยวนซื่อเทียนจุน
1354 - ตามหาหยวนซื่อเทียนจุน
หากสิ่งที่เย่ฟ่านคาดเดาเป็นความจริง การที่ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์อวี้หัวเสื่อมโทรมลงไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าพวกเขาได้ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่จากสงครามบนโลกใบนี้
เย่ฟ่านตกใจเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ในสมัยนั้นทรงอำนาจมากจนเกือบจะครองโลก พวกเขาปกครองจงโจว และไม่มีมหาอำนาจใดในโลกสามารถเทียบเทียมพวกเขาได้
อย่างไรก็ตามผู้นำของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์อวี้หัวต่อให้เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ เขาก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งเทียบเท่าจักรพรรดินีผู้โหดเหี้ยมได้
สตรีคนนี้มีความลึกลับเป็นอย่างมากนางมีอายุถึงสองแสนปี และในปัจจุบันเย่ฟ่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ บางทีนางอาจจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะไปแล้วก็ได้
“ความลับอันยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ?” เย่ฟ่านพึมพำกับตัวเองในใจ
มีความลับมากมายเกินไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่ และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ขอบเขต เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าครั้งหนึ่งเคยมียักษ์ที่ครอบงำทั้งหมดนี้
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะมีพลังมากเพียงใดก็ไม่สามารถหยุดยั้งกาลเวลาได้
ผ่านไปหลายล้านปีแล้ว แม้แต่เทพเจ้าก็ยังต้องตายไม่มีทางอยู่ค้ำฟ้าได้ตลอดไป
“ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์…”
ในอดีตมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ข้ามจักรวาลมาที่นี่ พวกเขาเป็นคนจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?
“ขอข้าดูหน่อยว่ายังเหลือร่องรอยอะไรอยู่ที่นี่!”
เย่ฟ่านตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าเขาจะต้องไปภูเขาคุนหลุนให้ได้ มีความลับมากมายที่ยังเหลือให้ตามหา แต่ก็เป็นไปได้ยากสำหรับเขาที่รู้ความลับทั้งหมดนี้
“แท้จริงแล้ว สิ่งที่พวกเราเรียกว่าเรียนอมตะกลับเป็นเพียงจักรพรรดิจากโรคอื่น...”
ซุนหงอคงทอดถอนใจ เขารู้สึกว่าบางทีอาจจะไม่มีผู้อมตะในโลกก็ได้
“อะไรคือจุดประสงค์ของผู้บ่มเพาะที่ยอมฝึกฝนมาทั้งชีวิต?”
เหล่าเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับจักรพรรดิก็มองไม่เห็นความหวังที่จะกลายเป็นอมตะ
“ผู้บ่มเพาะส่วนมากไม่มีสิทธิ์นึกถึงสิ่งเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ หลายคนฝึกฝนอย่างหนักตลอดทั้งวัน ละทิ้งโลกของมนุษย์เพื่ออยู่อย่างสันโดษ สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกับบรรพชนรุ่นก่อนๆ”
สิ่งนี้ทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นไหว พวกเขารู้สึกเสียใจที่เลือกเดินบนเส้นทางนี้
“เมื่อพวกเราเลือกเส้นทางนี้แล้ว เราก็ควรจะมีความเชื่อมั่น อย่ารีบหมดหวังไปเสียก่อน”
เย่ฟ่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แน่นอนว่าเย่ฟ่านไม่ได้กล่าวเพื่อปลุกสติคนอื่น แต่กล่าวเพื่อดึงจิตใจของตัวเองกลับมา ไม่เช่นนั้นเต๋าของเขาอาจได้รับความเสียหายได้
“บรรพชนรุ่นก่อนๆ ก็คิดเช่นเดียวกัน แต่พวกเรากลับไม่เห็นพวกเขาแม้แต่คนเดียว แต่ไม่เป็นไร ข้าจะให้ความหวังกับตัวเองอีกครั้ง”
“ตกลง เรายังมีหนทางอีกยาวไกล และเรายังคงมีความหวังอยู่ เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ยังคงอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าเราจะทำสำเร็จหรือไม่อย่างมากสุดชะตากรรมก็จบลงแบบเดียวกันกับบรรพชนเท่านั้น”
ทั้งสองคนตื่นตัวและปรับจิตใจอย่างรวดเร็ว
เย่ฟ่านเองก็เงียบไปสักพัก การกลายเป็นผู้อมตะคือเป้าหมายเดียวของเขา ไม่มีสิ่งใดสามารถคุกคามความมุ่งมั่นภายในใจของเขาได้
“ข้าต้องพิสูจน์เต๋า ข้าอยากเดินทางบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครเคยไป” เย่ฟ่านพึมพำกับตัวเอง
พวกเขาเดินทางร่วมกันมานานจำต้องกลับไปเตรียมการบางอย่างเพื่อที่จะเข้าร่วมการประชุมเต๋า ซึ่งมันจะจัดขึ้นในภูเขาเหมาตาน
นี่คือสิ่งที่เจ้าของหุบเขาทั้งสองแจ้งกับเย่ฟ่าน
“เจ้าจะไปหรือไม่?”
เสี่ยวซงแสดงความต้องการที่จะไปอย่างชัดเจน อันที่จริงเย่ฟ่านเองก็อยากเห็นมันเหมือนกัน เพราะในงานชุมนุมครั้งนี้จะมีผู้บ่มเพาะทั่วโลกเข้าร่วมด้วย
สถานที่จัดงานคือนิกายซิงปาเทียนบนภูเขาเหมาซาน ในปัจจุบันพวกเขารวมเข้าด้วยกันกับนิกายซางชิงและมีชื่อใหม่เรียกว่านิกายเจิ้งอี้
นิกายซางชิงนี้เป็นนิกายแรกในจีนที่บูชา*หยวนซื่อเทียนจุนเป็นเทพสูงสุด
“นิกายที่บูชาหยวนซื่อเทียนจุนเป็นกลุ่มแรกอย่างนั้นหรือ? ข้าอยากจะเห็นพวกเขาจริงๆ”
หลังจากกลับมาถึงบ้านทันใดนั้น ยันต์สีเหลืองก็ปรากฏต่อหน้าเย่ฟ่าน มันเป็นยันต์ติดต่อที่ซุนหงอคงส่งมาแจ้งว่ามีคนต้องการฆ่าเขา
“คนที่ต้องการฆ่าข้ามาแล้วหรือ?…แล้วเราจะได้พบกันที่นั่น” เย่ฟ่านพึมพำกับตัวเอง
…
เมื่อกล่าวถึงเหมาซานในโลกใบนี้ หลายคนคงนึกถึงนักพรตเหมาซานที่ไล่จับภูตผี เพราะเรื่องเล่าเหล่านี้ยังคงฝั่งอยู่ก้นบึ้งภายในใจของผู้คนมานาน
ด้วยเหตุนี้เหมาซานจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของหลายๆ คน นักพรตของที่นี่ส่วนใหญ่ใช้กระบี่ไม้ เลือดสุนัขสีดำ และผ้ายันต์สีเหลืองเป็นอาวุธ
ภูเขาเหมาซาน ชื่อเดิมว่าภูเขาจูฉู่ หรือที่รู้จักในชื่อภูเขาจินซานตี้เฟย
เนื่องจากการบิดตัวของภูเขาจนมีลักษณะคล้ายมังกร ผู้บ่มเพาะส่วนมากมักจะกล่าวถึงสิ่งนี้ว่า “จินซานแห่งจูฉู่คือซากปรักหักพังที่มีคุณค่าทางจิตใจ เปรียบเสมือนได้รับพรจากสวรรค์”
ลัทธิเต๋ามีนิกายมากมาย แต่หลักๆสามารถแบ่งออกเป็น 2 นิกายประกอบด้วย ฉวนเจินอยู่ทางเหนือและเจิ้งอี้อยู่ทางใต้ มีเพียงการรวมทั้ง 2 นิกายนี้เข้าด้วยกันเท่านั้นจึงจะเป็นลัทธิเต๋าที่ชอบธรรมได้
สมัยโบราณนิกายซางชิงเคารพหยวนซื่อเทียนจุนเป็นเทพสูงสุด พวกเขาคือนิกายของลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงอย่างมาก
แม้กระทั่งปัจจุบันพวกเขายังได้ยอมรับว่าเป็นนิกายของลัทธิเต๋าที่มีผู้คนนับถือมากที่สุด
เย่ฟ่านเดินทางจากทางเหนือหลายพันลี้เพื่อไปยังมณฑลเจียงซูในภาคใต้
เหมาซานไม่ได้สูงมากนัก มีป่าไม้เขียวชอุ่ม ยอดเขาเก้ายอด ถ้ำยี่สิบหกแห่ง และน้ำพุสิบเก้าแห่ง ภูเขามีความน่าหลงใหล และสะท้อนถึงความงามของสวรรค์พิภพ
“นี่คือสถานที่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋า” เย่ฟ่านพึมพำกับตัวเอง
ในฐานะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋า ต้องได้รับการคุ้มครองโดยสำนักเต๋าทั้งหมดในประเทศจีน
แม้ว่าผู้คนส่วนมากจะมองว่านักพรตของที่นี่เป็นตัวตลก แต่ในความเป็นจริงนักพรตที่เป็นผู้บ่มเพราะล้วนมองว่าสถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
เมื่อเย่ฟ่านไปถึงภูเขา เขาเดินช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง เขาสังเกตภูเขาอย่างละเอียด และพยายามค้นหาสถานที่พิเศษที่เกี่ยวข้องกับหยวนซื่อเทียนจุน
ทันใดนั้น เขาก็หยุดเดินเมื่อถึงลำธาร เขายังคงอยู่ในพื้นที่ส่วนล่างของภูเขา เขาจึงไม่สามารถมองเห็นยอดเขาในระยะใกล้ได้
อย่างไรก็ตามต่อให้ยืนอยู่ในสถานที่แห่งนี้เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่อุดมสมบูรณ์ของปราณสวรรค์พิภพ เขาอดไม่ได้ที่จะเดินไปข้างหน้าสู่ยอดเขา
แม้จะมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรกแต่เขาก็ได้ยินผู้คนเรียภูเขาลูกนี้ว่าเป่าปู้
นี่คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เก่อหงผู้นำเต๋าในยุคต่อมาเคยอาศัยอยู่ยังสันโดษบนภูเขาลูกนี้เป็นเวลาหลายปี และเขียนคำภีร์เป่าปู้จื้อหมิงซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้บ่มเพาะในรุ่นต่อมา
……
*หยวนซื่อเทียนจุนหรือหยกวิสุทธิ์ (Jade Pure 即玉清) : คือ เง็กเช็งหยวนสื่อเทียนจุน (จักรพรรดิหยก ผู้ปกครองสวรรค์)
เป็นลูกของผานกู่ผู้สร้างโลกและเคยเป็นจักรพรรดิหยกหรืออวี้หวงต้าตี้ (เง็กเซียนฮ่องเต้) ในสมัยหนึ่ง สุดท้ายพระองค์สละตำแหน่งเนื่องจากเบื่อหน่ายความเลวทรามของมนุษย์
พระองค์เป็นสัญลักษณ์ของพลังจักรวาล มือถือซือฮุดหรือลูกแก้วเป็นสัญลักษณ์
บางตำนานกล่าวว่าพระองค์ออกบวชและบรรลุเป็นปรางค์หนึ่งของพระยูไล
….