ตอนที่แล้วบทที่ 9 : วิชาใหม่ วิชาฐานรากผสม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11: การเผชิญหน้าโดยบังเอิญ

บทที่ 10 : ออกเดินทาง


บทที่ 10 : ออกเดินทาง

เมื่อกลับบ้าน ลู่เหอและลู่หยูเข้ามาหาเขาอย่างกระตือรือร้นเพื่อสอบถามเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของลู่หยุน

ลู่หยุนตอบเหมือนเดิมกับที่เขาบอกหัวหน้าหมู่บ้าน จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องของเขาและปิดประตู

“เขาทะลวงขอบเขตในขณะที่ฝึกซ้อม และแม้กระทั่งกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์?” ลู่เหอตกตะลึง เขาตกตะลึงกับคำพูดของลู่หยุน

“ก่อนหน้านี้เขาก็บอกข้าแบบนี้” ลู่หยูพูดอย่างเชื่องช้า

ลู่เหอส่ายหัว เขารู้สึกพ่ายแพ้อย่างเห็นได้ชัด

“อ้า เสี่ยวหยุนมีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ซึ่งนี่ก็ดีสำหรับครอบครัวของเราและหมู่บ้านมาก เราควรจะมีความสุขนะ” ลู่หยูปลอบใจเขา

“อืม เราควรจะมีความสุข!” ลู่เหอพยายามอย่างหนักเพื่อเค้นรอยยิ้มออกมา

ในห้องของเขา ลู่หยุนกำลังพลิกดูวิชาฐานรากผสมซึ่งมีรายละเอียดวิธีการควบคุมและใช้พลังจากสวรรค์และปฐพี การกระตุ้นศักยภาพทางกาย การเสริมสร้างพลังชีวิต และเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพ

ลู่หยุนใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการจดจำเนื้อหา จากนั้นเขาก็เรียกหน้าจอค่าคุณสมบัติขึ้นมา

[ชื่อ]: ลู่หยุน

[ที่อยู่]: หมู่บ้านธารวิญญาณ

[วรยุทธ์]: วิชากระบี่ทลายวายุ ( ขั้นสมบูรณ์ ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป), วิชาฐานรากผสม ( ขั้นต้น, ไม่สามารถพัฒนาได้)

[พรสวรรค์โดยกำเนิด]: ขั้น 5

[ขอบเขตวรยุทธ์]: ขอบเขตยุทธ์ขั้นต้น

[คะแนนพลังงาน]: 0.9

ในตอนนี้ วิชาฐานรากผสมก็ได้ปรากฏขึ้นบนหน้าจอแล้ว มันพิสูจน์ว่าลู่หยุนได้จดจำมันได้ครบถ้วนแล้ว

เนื่องจากคะแนนพลังงานทั้งหมดถูกนำมาใช้เพื่อเสริมทักษะกระบี่ทลายวายุไปหมดแล้ว ดังนั้นลู่หยุนจึงไม่สามารถใช้ทางลัดได้

อย่างไรก็ตาม

การไม่สามารถใช้คะแนนพลังงานเพื่อปรับปรุงวรยุทธ์ได้นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย

พรสวรรค์โดยกำเนิดของลู่หยุนในตอนนี้อยู่ที่ขั้น 5 แล้ว ซึ่งมันก็ถือว่าดีมาก และเขาก็เชื่อว่าหากเขาฝึกฝนอย่างหนัก เขาก็จะสามารถพัฒนาวรยุทธ์ของเขาได้

——

เวลามักจะผ่านไปไวเสมอเมื่อมีการฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง

พริบตาเดียว มันก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน

ในช่วงเวลานี้ ลู่หยุนได้ฝึกฝนและสะสมคะแนนพลังงานอย่างไม่ลดละ

ในขณะเดียวกัน ขณะที่เขาเฝ้าฝึกฝน ชื่อเสียงของเขาในฐานะอัจฉริยะก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน

แน่นอนว่าลู่หยุนไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก

ในมุมมองของลู่หยุน การปรับปรุงความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้นที่นับเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างแท้จริง

ก็อก! ก็อก!

วันหนึ่ง ประตูทางเข้าถูกเคาะ

ลู่หยุนเปิดประตูและเห็นลู่โหยวเซียงกำลังยืนอยู่ข้างนอก

“ลุงโหยวเซียง!” ใบหน้าของลู่หยุนกลายเป็นรอยยิ้มที่สดใส

“อืม” ลู่โหยวเซียงพยักหน้าอย่างอบอุ่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังในขณะที่เขาพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเลือกวิชาฐานรากผสม ตอนนี้เจ้าฝึกมันไปจนถึงขั้นต้นแล้วรึยังล่ะ?”

“ข้าเพิ่งมาถึงขั้นต้นเลย” ดวงตาของลู่หยุนกะพริบและเผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใส

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา เขาได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วผ่านการทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืน ดังนั้นมันจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงขั้นต้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความปั่นป่วน เขาจึงไม่ได้บอกความจริงออกไป

“ฮ่าฮ่า ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องทำได้” ลู่โหยวเซียงโบกมือขวาอันแข็งแรงของเขาและตบไหล่ของลู่หยุนพร้อมกับหัวเราะ “เจ้าเป็นคนแรกในหมู่บ้านธารวิญญาณที่ไปถึงขั้นต้นของวิชาฐานรากผสมได้ แถมเจ้ายังทำได้ในเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนอีก อนาคตของเจ้าไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ!”

ลู่หยุนลูบจมูกของเขาอย่างเชื่องช้าและตรวจสอบความคืบหน้าทางหน้าจออย่างเงียบๆ

[ วิชาฐานรากผสม: ขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย (3%) ไม่สามารถพัฒนาได้ ]

[ คะแนนพลังงาน: 0.1 ]

การบรรลุขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อยในเวลาเพียงหนึ่งเดือนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดได้

แม้ว่าเขาจะใช้คะแนนพลังงานไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้รับมันมามากมายนักในเดือนนี้ ด้วยเหตุนี้เอง การปรับปรุงที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จึงมาจากการทำงานหนักของตัวลู่หยุนเองในแต่ละวัน

หลังจากแลกเปลี่ยนคำพูดสบายๆ สองสามคำกับลู่หยุนแล้ว ลู่โหยวเซียงก็กล่าวว่า “เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนก่อนที่สถาบันศึกษาวรยุทธ์จะเริ่มการประเมิน ดังนั้นเราจึงต้องเริ่มออกเดินทางกันแล้ว ลู่เหลียงเผิงและลู่เทียนหูได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว ดังนั้นจึงเหลือเจ้าเพียงคนเดียวแล้วตอนนี้”

“ข้าเตรียมข้าวของให้เขาเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ต้องห่วง” ทันใดนั้น ลู่หยูก็เดินออกมาจากบ้านพร้อมกับห่อผ้าในมือของเธอ

“เสี่ยวหยุนกำลังจะจากไปแล้ว และสิ่งที่ข้าทำได้ก็มีเพียงเตรียมชุดใหม่ให้เจ้าในเวลาว่างเท่านั้น” ขณะที่ลู่หยูยื่นห่อของให้ลู่หยุน ใบหน้าของเธอก็แสดงท่าทีไม่เต็มใจ

นับตั้งแต่ที่ลู่หยุนแสดงพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์อันน่าเหลือเชื่อของเขาออกมา เธอก็รู้ดีว่าอนาคตของน้องชายเธอจะไม่ได้หยุดอยู่ในสถานที่แห่งนี้หรือแม้แต่ในมณฑลเมฆาวารีอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการพรากจากกัน เธอถึงจะตระหนักได้ว่าในใจเธอไม่เต็มใจมากเพียงใด

“พี่สาวไม่ต้องกังวล เมื่อข้าประสบความสำเร็จในเส้นทางวรยุทธ์ ข้าจะกลับมาพาท่านและพี่ชายไปอยู่ในเมืองด้วยอย่างแน่นอน!” ลู่หยุนประกาศอย่างเคร่งขรึม

“ข้าเชื่อในตัวเจ้านะ เสี่ยวหยุน!” ลู่หยูยิ้มและพยักหน้า เธอกลั้นน้ำตาและแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง

“เสี่ยวหยุน เราจะรอวันที่ชื่อของเจ้าแพร่กระจายไปทั่วมณฑลเมฆาวารีและแม้แต่ในรัฐหลิง!” ลู่เหอหัวเราะเสียงดัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจขณะที่เขามองไปที่ลู่หยุน

เมื่อเปรียบเทียบกับความไม่เต็มใจของลู่หยูแล้ว ลู่เหอก็ดูภูมิใจซะมากกว่า

นี่คือน้องชายของเขา ชายผู้มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์อันสูงส่งและความสำเร็จในอนาคตที่ประเมินค่าไม่ได้ หมู่บ้านธารวิญญาณเล็กๆ ไม่สามารถจำกัดเขาไว้ได้ มันมีเพียงมณฑลเมฆาวารีหรือแม้แต่แคว้นหลิงเท่านั้นที่จะพอรองรับเขาได้

ลู่หยูมองไปที่ลู่หยุนด้วยความไม่เต็มใจ เธอใช้มือเล็กๆ ถูมุมชุดของเธอและดวงตาของเธอก็แดงก่ำ

“พี่ใหญ่ พี่สาว ข้าต้องไปแล้ว!” ดวงตาของลู่หยุนเปล่งประกายด้วยหยาดน้ำตา แม้ว่าเขาจะลังเลใจ แต่ในที่สุดเขาก็ยังต้องจากไป

เมื่อพูดจบ เขาก็หยิบห่อของของเขาขึ้นมาแล้วหันหลังกลับไปพร้อมกับลู่โหยวเซียง

ก่อนอื่น พวกเขาไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน และทันทีที่พวกเขาเข้าไปในลานบ้าน พวกเขาก็เห็นลู่เหลียงเผิง ลู่เทียนหูและชายวัยกลางคนสองคนรออยู่ที่นั่นแล้ว

ลู่หยุนจำได้ว่าชายวัยกลางคนคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมล่าสัตว์ของหมู่บ้านธารวิญญาณลู่ปิงเซิง  และยังเป็นพ่อของลู่เทียนหูด้วย

สำหรับผู้ชายอีกคน ลู่หยุนเดาว่าเขาคงจะเป็นพ่อของลู่เหลียงเผิง

“ทุกคนมากันครบแล้วนะ?”

หัวหน้าหมู่บ้านลู่คังเซิงเดินออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว

เขาดูแก่มาก แต่ดวงตาของเขาก็ยังเฉียบแหลมและเฉียบคม มันทำให้ผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันอันทรงพลัง

“หัวหน้าหมู่บ้าน!”

ลู่หยุนและคนอื่นๆ ทักทายเขาทีละคน

“ปิงเซิง ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องทำงานร่วมกับโหยวเซียงเพื่อดูแลหมู่บ้านให้ดีๆ ล่ะ” ลู่คังเซิงสั่ง

“ไม่ต้องกังวลหรอกท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าจะสั่งให้ทีมล่าสัตว์เสริมกำลังรักษาความปลอดภัยในระหว่างวันเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้น” ลู่ปิงเซิงพูดพร้อมกับตบหน้าอกของเขา

ลู่คังเซิงพยักหน้าและมองไปที่ลู่หยุน, ลู่เหลียงเผิงและลู่เทียนหู จากนั้นเขาก็พูดอย่างใจดีว่า “เอาล่ะ เตรียมตัวออกเดินทางกันเถอะ!”

ไม่นานหลังจากเขาพูดจบ รถม้าคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นนอกประตู คนขับคือชายหนุ่มซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ของหมู่บ้าน ลู่หยุนจำได้ว่าเขาถูกเรียกว่าลู่คัง และเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีกับลู่เหอ พี่ชายคนโตของเขา

“หัวหน้าหมู่บ้าน ขึ้นรถม้ามาได้เลย!” ลู่คังพูดเสียงดัง

พวกเขาขึ้นรถม้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางและมุ่งหน้าออกไปจากหมู่บ้านธารวิญญาณ

“มันช่างอ้างว้างจริงๆ”

จากหมู่บ้านธารวิญญาณไป พื้นที่นอกนั้นก็มีประชากรเบาบาง รถม้าเดินทางหลายสิบกิโลแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เจอใครเลย

โลกกำลังวุ่นวาย สำนักต่างๆ ตั้งตนเป็นศัตรูกันและความขัดแย้งระหว่างแคว้นก็มีพบเห็นได้อยู่บ่อย นักเดินทางมีอยู่ไม่มากนัก ยกเว้นก็แต่ผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากพอตัว

ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังเดินทางกันเป็นกลุ่ม เช่นเดียวกับลู่หยุนและกลุ่มของเขา

เนื่องจากมีหัวหน้าหมู่บ้านมาด้วย บรรยากาศภายในรถม้าจึงยังคงเงียบและน่ากดดัน

หลังจากเดินทางมาหลายชั่วโมง ลู่เหลียงเผิงก็ทนต่อความเงียบไม่ไหวและเริ่มพูดคุยกับลู่หยุนอย่างเฉยเมย

แน่นอนว่าการสนทนาของพวกเขาจำกัดอยู่แค่ชีวิตประจำวันในหมู่บ้าน และพวกเขาก็แทบจะไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการฝึกฝนของกันและกันเลย

3.5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด