ตอนที่แล้วตอนที่ 84 การเดินทางครั้งใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 86 คำเชิญของเฟโอโดรา

ตอนที่ 85 เอเลนอร์


“ฝ่าบาทไม่ควรให้ชายชราคนนั้นตั้งที่พักใกล้กับเรา”

ชายชราที่แต่งกายคล้ายพ่อบ้านพูดขึ้น เขาอยู่ในกระโจมสีขาวหลังใหญ่ของกองคาราวาน รูปร่างที่ดูอ่อนแอของพ่อบ้านชราอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ว่าเขาคือคนแก่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วพ่อบ้านคนนี้เป็นผู้ทรงพลังเหนือมนุษย์ระดับสูง ถ้าสังเกตให้ดีจะสัมผัสได้ถึงพลังธาตุอันเย็นเฉียบที่เล็ดลอดออกมาจากร่างนั้นได้

“อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยแอรอน พวกเขาแค่หาที่พึ่ง”

ตรงข้ามกับพ่อบ้านแอรอนคือร่างงดงามของเอลฟ์ตนหนึ่ง เส้นผมของเขายาวสลวยจนถึงบ่าสีของมันสว่างเหมือนโลหะเงินที่ส่องแสงได้

เขาคือเอลฟ์คนเดียวกับที่ออสบอร์นพบในโรงแรมของอาร์มล็อค

“ฝ่าบาททรงตัดสินใจแล้ว เจ้าอย่าได้รบเร้าอีกเลยแอรอล ออกไปจัดการทหารยามด้านนอกเถอะ”

เสียงเข้มงวดของชายวัยกลางคนออกคำสั่ง เขาอยู่ในชุดเกราะโลหะเต็มตัว ในมือถือดาบที่ส่องประกายสีเงินเอาไว้ หนวดเคราของเขารุงรังพอๆกับขนแกะ แต่ดวงตาสีฟ้าคมกริบทำให้ใบหน้าของเขาดูภูมิฐานมากขึ้น

เขาคือ มัลคัม เฮนดริค ดยุกแห่งมอนทาคิวต์ ในสังคมที่ไม่มีสิ่งพิมพ์การได้พบเห็นใบหน้าของบุคคลสำคัญนั้นเป็นเรื่องยาก ผู้คนจึงเข้าใจว่าคณะเดินทางนี้เป็นของบุตรชายคนใดคนหนึ่งของดยุกมัลคัม แต่แท้จริงแล้วมันกลับเป็นของตัวดยุกเอง

ดยุกมัลคัมก้าวเข้าไปหาเอลฟ์หนุ่มตรงหน้า เขารินชาลงในแก้วพอสเลนเนื้อสีขาวละเอียด ควันร้อนๆลอยเอื้อยอิ่งขึ้นมาจากถ้วยชาเล็กน้อย เขาดันถ้วยชาไปทางเอลฟ์คนนั้นอย่างนอบน้อม

“ฝ่าบาท มีข่าวจากเมืองหลวงจักรวรรดิแจ้งมาว่า สมาชิกสภานักบวชอาร์คบิชอปนีโอถึงแก่มรณภาพแล้ว”

เอลฟ์ผมสีเงินรับชามาจิบด้วยใบหน้าขื่นขม นี่ไม่ใช่ข่าวที่ดีนัก

“หึ พวกพระคาร์ดินัลเจ้าเล่ห์”

ก่อนหน้านั้นพระคาร์ดินัลทั้งสองฝ่ายได้ส่งมอบนักโทษสองคนให้กับสำนักงานสังฆการีที่เขาเป็นผู้ดูแลอยู่ นักโทษคนหนึ่งเป็นมุขมนตรีแห่งวอร์ล็อคที่กำลังเป็นที่ต้องการตัวของจักรวรรดิแต่อีกคนกลับเป็นสมาชิกสภานักบวชอาร์คบิชอปนีโอผู้เป็นที่เคารพรักของประชาชน

สิ่งนี้ไม่เป็นผลดีกับสำนักงานสังฆการีของเขา อาร์คบอปนีโอเป็นที่รักและศรัทธาของประชาชนจำนวนมาก เรื่องเลวร้ายอะไรที่เกิดขึ้นกับอาร์คบิชอปนีโอจะสร้างความเกลียดชังให้กับสำนักงานสังฆการี ในที่สุดแล้วก็คือตัวเขาเองในฐานะผู้ว่าการสำนักงานสังฆการี เจ้าชายเอเลนอร์ ดยุกแห่งเคนต์

ครั้งนี้ดยุกมัลคัมไม่ได้เดินทางด้วยธุระของตนเองแต่เขาเดินทางมาเพื่อคุ้มกันเจ้านายแท้จริงของเขา เอลฟ์ผมเงินพระหัตถ์แห่งสมเด็จพระสันตะปาปาคนนี้ต่างหาก

เจ้าชายเอเลนอร์ ดยุกแห่งเคนต์ พระหัตถ์แห่งสมเด็จพระสันตะปาปา

เจ้าชายเอเลนอร์ ดยุกแห่งเคนต์ พระหัตถ์แห่งสมเด็จพระสันตะปาปา

“ดีที่ฝ่าบาทไหวตัวทัน รีบเดินทางออกจากเมืองหลวงก่อนคนพวกนั้นลงมือสอบสวนอาร์คบิชอปนีโอ ไม่เช่นนั้นท่านจะตกเป็นคนบาปของประชาชนแน่นอน”

สิ่งนี้เอเลนอร์ได้แจ้งแก่มัลคัมเองตอนที่พวกเขาตัดสินใจเดินทางออกมา และเหตุผลที่เลือกพักในโรงแรมที่มีคนพลุกพล่านก็เพื่อหาพยานในที่สาธารณะก็เท่านั้น

“แต่พระคาร์ดินัลสองคนนั่นลงมือโหดเหี้ยมนัก อาร์คบิชอปนีโอถูกน้ำยาสกัดใจเข้าไปจำนวนมากจนวิญญาณแหลกสลายไปแล้ว”

มัลคัมยังคงใส่ไฟต่อไป เอเลนอร์มองออกไปยังทิศทางของปากกระโจม เสียงลมพัดตึงๆปะทะกับผ้าไหมสีขาวด้านหน้าทางเข้า ทุกครั้งที่ลมพัด อากาศเย็นจากด้านอกจะม้วนตัวเข้ามาด้านใน เอลฟ์หนุ่มยกถ้วยชาขึ้นจิบชาครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป

“เราคงกลับกันได้แล้ว ตอนนี้องค์สมเด็จพระสันตะปาปาไม่ได้อยู่ในเฮอราบอส ข้าเกรงว่าคนที่ไม่หวังดีต่อข้าจะอาศัยโอกาสนี้ลงมือ”

เอเลนอร์ยังคงมองออกไปด้านนอก เสียงลมพัดค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ

“สมเด็จพระสันตะปาปาไม่ทรงอยู่ในจักรวรรดิตอนนี้ เป็นไปได้อย่างไรฝ่าบาท?”

โดยปกติแล้วสมเด็จพระสันตะปาปาจะไม่ทรงออกไปนอกจักรวรรดิเด็ดขาด แม้แต่ออกไปนอกเมืองหลวงก็แทบจะไม่เคยทำ ข่าวนี้ของเอเลนอร์จึงทำให้อยุดมัลคัมตกใจเป็นอย่างมาก

“เป็นพวกคณะนักเทศน์ตาบอด”

คณะนักเทศน์ตาบอดเป็นกลุ่มผู้เชื่อในพระเจ้าอื่นที่อยู่ทางเหนือของเฮอราบอส พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองรกร้างใต้หุบเขาที่ชื่อว่ามอเดส

“พระองค์ทรงลงมือเองเช่นนี้ หรือผู้นำของพวกมันจะแข็งแกร่งมาก”

ผู้นำของคณะนักเทศน์คืออัคราธิการดูแมน ที่ผ่านนั้นระดับขั้นของอัคราธิการดูแมนยังคงเป็นปริศนา คณะนักเทศน์ไม่เคยออกไปเผยแพร่ศาสนาของพวกเขานอกมอเดส ไม่เคยติดต่อกับผู้คนหรือศาสนาอื่น ขั้นพลังของอัคราธิการดูแมนจึงยังคงเป็นปริศนามาจนถึงตอนนี้ แต่เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาทรงไปที่มอเดสเองก็อาจบ่งบอกได้ว่าอัคราธิการดูแมนนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง

“ข้าไม่ทราบ การล่วงรู้สิ่งที่เกินตัวก็ไม่ใช่เรื่องดีนักมัลคัม เจ้าอย่างได้สอดรู้สอดเห็นจนเกินไป”

ดยุกแห่งมอนทาคิวต์ หดคอของตนเองลงและเดินถอยหลังห่างออกจากเอเลนอร์ไปโดยที่ไม่รู้ตัว

“หม่อมฉันทราบแล้ว”

เอเลนอร์ไม่ได้สนใจตัวมัลคัมอีก สายตาของเขายังคงเพ่งเล็งไปที่ด้านนอกกระโจม ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร

“เรามีระดับสูงอยู่กี่คน มัลคัม”

เอเลนอร์กล่าวขึ้นในความเงียบ แทรกเสียงลมที่ลอดผ่านประตูผ้าเข้ามา

“สี่พ่ะย่ะค่ะ ถ้ารวมฝ่าบาทด้วย”

เป็นที่รู้กันในหมู่คนรับใช้ที่สนิทที่สุด เอเลนอร์เป็นผู้ทรงพลังระดับสูงในตอนนี้

“เช่นนั้นเราก็ตึงมือสักหน่อยสำหรับคืนนี้”

“ฝ่าบาทหมาย…”

ไม่ทันที่จะให้ดยุกมัลคัมถามคำถามจนจบอำนาจกดขี่ที่รุนแรงก็ปะทุขึ้นจากใจกลางของค่ายพักแรม พร้อมกับเสียงระเบิดรุนแรงที่พัดเอากระโจมหลายหลังลอยขึ้นไปในอากาศ

ตู้ม!!!

เอเลนอร์กระโดดขึ้นจากเก้าอี้และทะยานออกไปด้านนอกตามที่มาของเสียง แสงอัสนีบาตหนาสามฟุตผ่าลงมาที่กระโจมตามหลังเอเลนอร์ติดๆ เสียงก่นด่าของมัลคัมดังสะท้านแข่งกับเสียงฟ้าผ่า แสงวับวาวของดาบสีเงินส่องประกายตรงไปที่สายฟ้าจากเบื้องบน

เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งกระโจมของเอเลนอร์ระเบิดหายไปจนหมด ภายใต้กลุ่มควันหนาทึบร่างของดยุกหนวดเครารุงรังเดินโซซัดโซเซออกมาอย่างน่าสังเวช

“อ่อนหัดเกิน ถ้านี่หมายถึงการมาลอบสังหารข้าล่ะนะ”

เอเลนอร์ตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดครึ้ม ต้นตอของสายฟ้าหนาสามฟุตเมื่อครู่ยังไม่เผยตัวออกมา แต่ด้านหลังของเขากลับมีภาพเลือนลางของตราอาร์มสีเขียวมรกตลอยเด่นชัดอยู่กลางอากาศ ในมือยังถือตราอาร์มแบบเดียวกันเอาไว้ มันคือวัตถุเวทมนตร์ไม่ผิดแน่

“เอเลนอร์ ข้าหวังว่าเจ้าจะปากเก่งเช่นนี้ต่อไปยามที่คนของเจ้ากลายเป็นศพไปหมดแล้ว”

เสียงเกรี้ยวกราดดังออกมาจากเมฆดำบนท้องฟ้า อัสนีบาตสีเงินสว่างวาบอีกครั้ง จากนั้นเสียงดังสนั่นของมันก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ เอเลนอร์ก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว สามวินาทีต่อมาดยุกมัลคัม พ่อบ้านแอรอน และสตรีสาววัยสิบแปดอีกคนหนึ่งก็มาปรากฎอยู่ด้านหลังของเอเลนอร์พร้อมกัน ศัตรูของพวกเขาในครั้งนี้ทรงพลงเหลือเกิน

“พลังอัสนีบาต เป็นใครกัน?”

ในความทรงจำของดยุกมัลคัม เขาไม่เคยเห็นพลังสายฟ้าของใครที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจทำลายล้างเท่านี้มาก่อน ในมหาทวีปแห่งนี้ผู้ที่มีความสัมพันธ์ธาตุระดับสูงกับสายฟ้านั้นพบเจอได้น้อยมากจริงๆ

“เป็นวอร์ล็อคหรือเปล่า?”

แอรอนพยายามตรวจจับพลังเวทมนตร์ชั่วร้ายในอากาศแต่เขาสัมผัสได้เพียงพลังธาตุเท่านั้น

“ไม่ใช่ เป็นผู้ฝึกร่างกายจริงๆ อาจเป็นครึ่งก้าวระดับตำนานด้วย”

สตรีวัยสิบแปดด้านหลังเอเลนอร์ก้าวออกมาด้านหน้า ในมือของนางมีพัดด้ามงาช้างอยู่ด้ามหนึ่ง ตัวผ้าไหมบนพัดสีขาวส่องแสงออกมาเหมือนกองไปสีฟ้าที่เริ่มครุกรุ่น

ตราอาร์มด้านหลังเอเลนอร์สว่างจ้าด้วยแสงสีเขียวก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นจนครอบคลุมคนทั้งสี่เอาไว้ทั้งหมด เหล่าทหารของกองคาราวานที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งแรกค่อยๆถอยไปด้านนอก

“เป็นครึ่งก้าวระดับตำนานจริงๆ”

เอเลนอร์ยืนยันคำพูดของสตรีผู้นั้นอีกครั้ง เขาขยับฝ่ามือออกไปด้านหน้าทำท่าเหมือนกำลังโอบรัดบางอย่างในอากาศ ตราอาร์มสีเขียวลอยออกจากฝ่ามือขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนดาวตกสีเขียวที่พุ่งจากด้านล่างขึ้นด้านบน

เสียงอัสนีบาตดังขึ้นอีกครั้ง เงาของอาวุธบางอย่างสะท้อนแสงจันทร์ที่ถูกบดบังบนท้องฟ้าเป็นเงาขนาดใหญ่ที่ทอดยาวลงมาที่ป่าด้านล่าง แสงของสายฟ้าสามเส้นหนาหกฟุตพุ่งทะลุก้อนเมฆสีดำลงมา เป้าหมายของมันคือดาวตกตราอาร์มสีเขียว

สายฟ้าสามเส้นปะทะกับตราอาร์มเหมือนลูกธนูปักลงบนขอนไม้มันยึดแน่นยื้อกันไปมาเช่นนั้นอยู่หลายวินาทีก่อนที่สายฟ้าจะอ่อนกำลังลงและสลายหายไป รูปลักษณ์ของตราอาร์มที่ปกคลุมพวกเอเลนอร์ทั้งสี่คนเอาไว้พุ่งขึ้นบนท้องฟ้าตามทิศทางของตราอาร์มอันเล็ก พลังของวัตถุเวทมนตร์เริ่มแผ่ขยายออกมาเป็รริ้วแสงสีเขียวเหมือนแสงเหนือ ศัตรูที่อยู่ด้านหลังก้อนเมฆกลับรู้สึกครั้นคร้ามขึ้นมา

เงาของอาวุธที่สะท้อนแสงจันทร์เริ่มขยายขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันมีรูปร่างที่แจ่มชัดมากขึ้น เอเลนอร์เงยหน้าขึ้นมองฉากนี้จากด้านล่าง สิ่งที่ค่อนข้างคุ้นตากำลังลอยอวดโฉมพุ่งทะลุก้อนเมฆลงมา

มันคือตรีศูลด้ามหนึ่ง!

ตรีศูลด้ามยักษ์สะบัดไปมาอย่างโกรธเกรี้ยว อำนาจกดขี่บดขยี้เมฆดำบนท้องฟ้าจนแตกกระจายทำให้แสงของดวงจันทร์ยามค่ำคืนฉายลงมาด้านล่าง ตราอาร์มสีเขียวควบแน่นภาพนิมิตของมันที่ลอยขึ้นมาจากพื้นดินเมื่อครู่เป็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อรอต้อนรับตรีศูลด้ามนั้น

จนเมื่อตราอาร์มยักษ์ถูกทำให้เหมือนจริงอย่างที่สุด รูปของอินทรีย์สีทองตรงใจกลางตราอาร์มก็ถูกทำให้มีชีวิต มันขยับปีกออกไปด้านข้างหลายสิบเมตรก่อนจะพุ่งทะยานออกไปปะทะกับอาวุธแปลกประหลาดบนท้องฟ้าที่มันชิงชัง

เสียงอัสนีบาตดังลั่นสะท้านสะเทือนซ้อนทับกันหลายครั้ง กลิ่นของทะเลและอากาศเย็นชื้นขยายไปทั่วบริเวณ เสียงแหวกอากาศของวัตถุเวทมนตร์สองชิ้นดังหวีดแหลมอยู่หลายวินาที ก่อนจะถูกหยุดด้วยเสียงของการระเบิดที่ทำให้อากาศแปรปรวนจนฝุ่นควันลอยคละคลุ้ง

ตราอาร์มส่งเสียงแตกร้าวออกมาหลายครั้ง ภาพของอินทรีสีทองสลายเป็นจุณพร้อมกับเสียงกรีดร้องของสัตว์วิญญาณที่สถิตในตราอาร์ม มันเป็นเสียงของอินทรีเช่นเดียวกัน เอเลนอร์ทรุดฮวบลงกับพื้นโลหิตแดงฉานกระอักออกมาจากริมฝีปากงดงาม หางตา จมูกและหูแหลมทั้งสองข้างมีโลหิตไหลทะลักไม่หยุดหย่อน จิตวิญญาณที่เชื่อมต่อกับวัตถุเวทมนตร์ของเอเลนอร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตราอาร์มสีเขียวหดเล็กลงกลับสู่งสภาพเดิมและพุ่งตกลงมาจากท้องฟ้า

ตรีศูลยักษ์ปลดปล่อยพลังของการทำลายล้างออกมาอย่างยินดี เสียงหัวเราะอันชั่วร้ายดังลอดก้อนเมฆที่หลงเหลืออยู่กรีดลึกเข้าไปในจิตใจของทั้งสี่คน

“ฮ่าๆ ตราอาร์มแห่งความกล้าหาญ โป๊ปเฒ่าคงรักเจ้ามาก”

ตราอาร์มแห่งความกล้าหาญ

ตราอาร์มแห่งความกล้าหาญ

เสียงของชายหนุ่มนั้นห้าวหายและแข็งกระด้าง สำเนียงของเขาไม่เหมือนผู้คนในเฮอราบอส

แต่ไม่ทันรอให้บุคคลในก้อนเมฆได้ตั้งตัว ระดับสูงทั้งสามคนที่ปกป้องเอเลนอร์อยู่ก็กระโจนขึ้นไปบนอากาศ ดยุกมัลคัมตวัดดาบสีเงินของเขาเป็นรูปกากบาทขนาดสิบสองเมตรทำลายก้อนเมฆที่หลงเหลือออกไปจนหมด รัศมีของแสงสีฟ้าสว่างวาบจากพัดในมือของสตรีวัยสิบแปด ผีเสื้อตัวใหญ่เท่ารถม้าพุ่งออกมาจากกลุ่มแสงและทะลุก้อนเมฆเข้าไปด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ในขณะที่พ่อบ้านแอรอนขยับนิ้วมือไปมาอยู่กลางอากาศสลักอักษรรูนหลายคำบนนั้นจนเบื้องหน้าของเขาแน่นขนัดไปด้วยแถวอักษรสีทองมากมาย

“ช่างไม่เจือมตัว!”

เสียงของบุคคลปริศนาดังขึ้นอีกคำรบหนึ่ง ตรีศูลคล้ายสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเจ้านายของมัน พลังแห่งการทำลายล้างเริ่มควบแน่นขึ้นอีกครั้ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด