ตอนที่แล้วตอนที่ 17 หลี่จี ราชาดาบใหญ่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 19 ค่ำคืนที่สายฝนเป็นสายเลือด!

ตอนที่ 18 ไม่เหลือศักดิ์ศรีนักสู้


ตอนที่ 18 ไม่เหลือศักดิ์ศรีนักสู้

"ไปเลย!"

เจิ้งเหรินซินตัดสินใจอย่างรวดเร็วและออกคำสั่งทันที

แต่หลี่จีกลับหัวเราะเยาะและพุ่งไปข้างหน้าและเหวี่ยงดาบเล่มใหญ่ขนาดพอๆกับประตูไปทางเจิ้งเหรินซินและคนอีกสี่คน

เจิ้งเหรินซินและนักศิลปะการต่อสู้อีกสี่คนที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะรีบยกดาบเล่มยาวขึ้นเพื่อป้องกันที่หน้าหน้าอกของพวกเขา

"อั่ก อั่ก อั่ก อั่ก"

เสียงของเจิ้งเหรินซินสั่นราวกับว่าเขากำลังถูกโจมตีอย่างแรงเมื่อรู้สึกถึงพลังอันทรงพลังที่เข้ามาปะทะร่างของเขา

แม้ว่าเขาจะปล่อยพลังออกมาทั้งหมดออกมาแล้วและแม้กระทั่งทําให้ร่างกายแข็งแรงจนถึงขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ แต่เขาก็แทบจะไม่สามารถต้านทานพลังนี้ได้

ในช่วงเวลาถัดมา เจิ้งเหรินซินที่ถูกฟันอีกอีกหนึ่งครั้งก็กระเด็นออกไปไกลทันที

"อั่กก"

เจิ้งเหรินซินเอามือกุมหน้าอกของเขาและกระอักเลือดออกมาเต็มปาก

ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

และเป็นอาการบาดเจ็บจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว

และไม่เพียงแค่เจิ้งเหรินซินเท่านั้น แต่นักศิลปะการต่อสู้อีกสี่คนจากสำนักเมียวชูต่างก็ได้รับบาดเจ็บในระดับที่ต่างกันไปเช่นกัน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นักศิลปะการต่อสู้ทั้งสี่คนก็ตกตะลึง

แค่การโจมตีเพียงครั้งเดียวจากหลี่จีนั้นสามารถทำให้พวกเขาบาดเจ็บได้

แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะอยู่ในขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ แต่ความแตกต่างของความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นราวกับฟ้าแลเหว

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลี่จีสามารถปิดกั้นเส้นทางการค้าและหลบหนีจากการปิดล้อมของกองทัพจักรวรรดิในตอนนั้นได้ ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในขอบเขตพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะเอาชนะเขาได้”

“ท่านผู้นำ รีบหนีไปครับ! ท่านจะมาตายที่นี่ พวกข้าสี่คนจะถ่วงเวลาให้ท่านเอง!”

“ท่านผู้นำ พวกเราพ่ายแพ้แล้ว ได้โปรดรีบหนีไปเถิด!”

นักศิลปะการต่อสู้ชั้นนําทั้งสี่คนจากสำนักเมียวชูต่างตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง

ครั้งนี้สำนักเมียวชูได้ทุ่มสุดพลังที่มีแล้ว ถ้าหากนักศิลปะการต่อสู้ชั้นนําถูกฆ่าตายจนหมด ผลที่ตามมาจะเลวร้ายลงกว่าเดิมมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจิ้งเหรินซินมาตายที่นี่ รากฐานอันเก่าแก่ของสำนักเมียวชูอาจถูกทําลายลงในทันที

"เจ้าคิดจะหนีงั้นรึ?!"

"ถ้าอย่างนั้นก็ตายตามกันไปให้หมดซะเถอะ!"

หลี่จีถือดาบเล่มใหญ่ราวกับประตูและก้าวไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย

เจิ้งเหรินซินนั้นไม่ใช่คนโง่

แม้ว่าดวงตาของเขาจะเป็นโกรธจนกลายสีแดงก่ำพร้อมกับเส้นเลือดที่โป่งออกมาจากข้างหัว แต่เขาก็ไม่สามารถตายที่นี่ได้จริงๆ

ถ้าหากเขาตาย สำนักเมียวชูจะแตกสลายและตกอยู่ในความโกลาหล

ขณะที่เจิ้งเหรินซินกําลังจะหนีนั้น

"โอ้ววว"

จู่ๆกลุ่มโจรหลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นจากนอกวัดร้าง และผู้นําของพวกเขาคือนักศิลปะการต่อสู้ที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ

พวกเขากำลังยืนถือหน้าไม้และเข้าล้อมกองกำลังของกลุ่มสำนักเมียวชู

เมื่อเห็นแบบนี้ นักศิลปะการต่อสู้ของสำนักเมียวชูที่ยังคงต่อสู้อยู่ในบริเวณวัดร้างนั้นก็อยู่ในความกลัวอย่างมาก และขวัญกําลังใจของพวกเขาก็เริ่มลดลง

"พอได้แล้ว!!"

ในขณะนี้ เจิ้งเหรินซินตะโกนออกมาทันที

เขาจ้องไปที่หลี่จีและพูดอย่างเย็นชาว่า “พอได้แล้วหลี่จี ครั้งนี้สำนักเมียวชูขอยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้”

“เจ้ามาที่เมืองหนานหยางจากทางใต้ซึ่งเป็นการทำที่เสี่ยงมากก็เพื่อทองคําและเงินสินะ?”

"ถ้าอย่างนั้นก็บอกจำนวนที่เจ้าต้องการมาเลย!!"

คําพูดของเจิ้งเหรินซินนั้นทําให้ทุกคนตกตะลึง

แม้แต่หลี่จีเองก็หยุดเดินเช่นกัน

"ยอมแพ้งั้นรึ?"

"นี่เจ้าไม่ได้พยายามจะต่อสู้จนตัวตายหรอกหรือ?"

เจิ้งเหรินซินส่ายหัว "การต่อสู้จนตายจะส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากขึ้นเท่านั้น มันไม่เกิดประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย!"

หลังจากที่พูดจบ เจิ้งเหรินซินก็ทิ้งอาวุธในมือของเขา

การกระทำที่ "ตรงไปตรงมา" นี้ทําให้รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าของหลี่จี

"ฮ่าๆๆๆ ไม่เลวนี่ ดูเหมือนเจ้าจะฉลาดอยู่บ้างนะ"

"ให้คนของเจ้าวางอาวุธลงซะ!"

เจิ้งเหรินซินเหลือบไปมองคนของสำนักเมียวชูซึ่งตอนนี้เหลือเพียงประมาณสามสิบคนหรือมากกว่านั้น จากที่เคยมีมากถึง 80 คน เขาถอนหายใจและพูดว่า "วางอาวุธของพวกเจ้าลงซะ"

"แคล้ง แคล้ง"

คนของสำนักเมียวชูวางอาวุธลงทันที

"หลี่จี บอกจำนวนที่เจ้าต้องการมาได้แล้ว!!"

เจิ้งเหรินซินพูดอีกครั้ง

แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจมาก แต่ตระกูลเจิ้งแห่งเมืองหนานหยางนั้นไม่ใช่ตระกูลของนักศิลปะการต่อสู้ และสำนักเมียวชูก็ได้รับชื่อเสียงจากการสร้างแพทย์มาหลายชั่วอายุคนและสะสมความมั่งคั่งกับอำนาจมานานกว่าศตวรรษ เมื่อเผชิญหน้ากับโจรที่โหดร้ายอย่างหลี่จีพวกเขาจึงไม่มีทางต่อต้านได้ พวกเขาจึงต้องใช้เงินเพื่อแลกกับความปลอดภัยและหวังว่าจะรอดไปได้ในครั้งนี้เท่านั้น

แม้ว่าหลี่จีจะดูแข็งแกร่ง แต่เขาเองก็ค่อนข้างฉลาด

เขากลอกตาและหัวเราะอย่างกะทันหัน “เจิ้งเหรินซิน ตระกูลเจิ้งของเจ้าก่อตั้งสำนักเมียวชูมาเพื่อฝึกฝนแพทย์มาแล้วหลายชั่วอายุคนและสะสมความมั่งคั่งเป็นเวลาร้อยปี ทองคําและเงินที่พวกเจ้าเก็บเอาไว้ก็ต้องมีมากมายเช่นกัน”

“ข้าจะไม่ระบุจํานวนเงิน แต่พวกเจ้าจะต้องขนเงินมากองตรงหน้าข้าเรื่อยๆ”

“ถ้าข้าพอใจ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป เพราะน้องชายของข้าและข้าก็เข้ามาทางใต้ด้วยความเสี่ยงสูงมาก และสิ่งที่พวกข้าต้องการก็คือทองคําและเงิน ชีวิตของเจ้าจึงไม่มีค่าสําหรับพวกข้ามากนัก”

ใบหน้าของเจิ้งเหรินซินนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาคิดอยู่แล้วว่าหลี่จีเป็นคนโลภ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนโลภขนาดนี้

หลี่จีไม่ได้พูดระบุจํานวนเงินแต่ให้เอาเงินมากองจนกว่าจะพอใจแทน

เมื่อนึกได้แบบนี้ เจิ้งเหรินซินจึงกัดฟันแน่นและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “หลี่จี ข้าจะส่งลูกชายของข้าเจิ้งยี่เฟิงกลับไป ส่วนเจ้าก็ส่งคนไปรับเงินพร้อมกับเขาซะ ส่วนเจ้าจะเอาเท่าไหร่มันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการของเจ้า”

หลี่จีหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ “ฮ่าๆๆๆ ดีมาก ให้คนของเจ้ากับเจิ้งยี่เฟิงกลับไปได้”

“และถ้าเจิ้งยี่เฟิงกล้าตุกติกล่ะก็ ฆ่าจะฆ่ามันทันที”

"ได้"

หลังจากนั้น หลี่เอ้อฮูและกลุ่มชายมากกว่าสิบคนก็พาเจิ้งยี่เฟิงออกไปจากวัดร้าง

เจิ้งเหรินซินและคนอื่นๆนั้นนั่งยองๆอยู่บนพื้นโดยที่ถูกจับตามองไว้โดยคนของหลี่จี

หลี่จีเกาหัวก่อนจะยิ้มและพูดว่า "เจิ้งเหรินซิน ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นเหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้เลยนะ"

แต่โจรคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆส่ายหัวและพูดอย่างเย็นชาว่า "ท่านราชา ตระกูลเจิ้งนั้นคงอยู่มานานกว่าร้อยปีแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมีวิธีเป็นของตนเอง"

“พวกเขาไม่ใช่ตระกูลศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ต่อสู้จนตายเหมือนพวกเราชาวเจียงหู เพียงแต่ข้าคิดว่าพวกเขาอาจจะมีคนที่แข็งแกร่งบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักศิลปะการต่อสู้ทั้งสี่คนที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ แต่ข้าก็ไม่ได้คิดเลยว่าพวกมันจะอ่อนแอขนาดนี้ พวกมันกระจอกกว่าคนของกองทัพจักรพรรดิด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆๆๆ...”

“ดูเหมือนว่าสำนักเมียวชู จะร่ำรวยและหมกมุ่งอยู่กับเงินจนไม่มีวิญญาณการเป็นนักสู้งเหลืออีกแล้วสินะ”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง โจรหลายคนก็หัวเราะออกมาด้วยสายตาที่เยาะเย้ยของพวกเขาที่มีต่อกลุ่มสำนักเมียวชู

ผู้คนในสำนักเมียวชูได้แต่จ้องมองด้วยความโกรธ แต่ส่วนใหญ่ก็ก้มหน้าลง

เพราะสิ่งที่โจรเหล่านี้พูดคือความจริง

ตระกูลเจิ้งนั้นได้สูญเสียจิตวิญญาณแห่งนักสู้ไปนานแล้ว และพวกเขาก็ไม่สามารถต่อสู้ได้มากนักถึงแม้จะมีนักศิลปะการต่อสู้ถึงสี่คนที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ

สายตาของเจิ้งเหรินซินเริ่มเย็นชาและเขากําหมัดแน่น

แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรมากนักและทําได้เพียงอดทนต่อการเยาะเย้ยจากคนของหลี่จีเท่านั้น

"บู้มมม"

ในขณะนี้ ท้องฟ้าได้มืดลงอย่างกะทันหันพร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่ดังก้อง

ไม่นานนักฝนก็เริ่มตกหนัก

แต่ถึงฝนจะตกหนักก็ไม่มีผลกับผู้คนในวัดร้างแห่งนี้

พวกโจรยังคงดื่มกินอย่างเต็มที่และกำลังรอเงินทองจากสำนักเมียวชูอย่างสนุกสนาน

"ซึ่บ ซึ่บ ซึ่บ"

ทันใดนั้น ร่างๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายฝน

คนๆนั้นสวมหมวกไม้ไผ่ เสื้อผ้าสีดํา และหน้ากากผ้าสีดําปิดหน้าเป็นการปกปิดตัวตนของเขาอย่างสมบูรณ์ เขาค่อยๆเดินทีละก้าวไปยังวัดร้าง

“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใครกัน?!”

โจรที่เฝ้าทางเข้าวัดตะโกนเสียงดังทันที

คนๆนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือลู่ชางเฉิง!!

เขาเงยหน้าขึ้นและจากสายตาของเขา เขาสามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในวัดร้างได้แล้ว

สำนักเมียวชูที่มีผู้คนมากมายตอนนี้กําลังนั่งยองๆเป็นเชลยของกลุ่มโจร

ลู่ชางเฉิงส่ายหัว ดูเหมือนว่าตระกูลเจิ้งนั้นจะไม่ได้กล้าหาญเหมือนกับที่เขาคิดไว้!

จากนั้น ลู่ชางเฉิงก็ค่อยๆเดินเข้ามาทีละก้าวราวกับไม่ได้ยินเสียงตะโกนห้าม

เขาเดินไปจนถึงทางเข้าวัดร้าง

"ชิ้งง"

โจรที่เฝ้าทางเข้าวัดดึงดาบออกมาทันที

ลู่ชางเฉิงหยุด

เขามองไปที่โจรทั้งสองแล้วพูดตะโกนไปเสียงดังๆ “ข้าเป็นนักเที่เดินทางมาทั้งวันโดยที่ไม่ได้หยุดพัก และเนื่องจากตอนนี้ฝนตกหนักมาก ข้าขออนุญาตเข้าไปหลบพักด้านในวัดสักพักได้หรือไม่?”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด