ตอนที่แล้วตอนพิเศษ Christmas Holidays
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป17 โอกาสทอง

16 ความหวังที่ริบหรี่


เวลาผ่านไปเกือบ 3 อาทิตย์ที่เธอยังคงทำหน้าที่อยู่ภายในตลาดค้าทาสโมเบียสแห่งนี้ วอลล็อคทำตามที่เขาพูดทุกประการไม่สั่งงานอะไรเธอเพิ่มอีก เวลาเช้ากับเย็นช่วยโรงครัว ช่วงกลางวันดูแลบ้านของเขา จะมีก็เพียงแค่อีกฝ่ายจู้จี้เรื่องทำความสะอาดบ้านกับการซักผ้าเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เกรเทลมองออกว่าชายหนุ่มจงใจแกล้งกันมากกว่า เหมือนเขาไม่รู้จะหาเรื่องเธอยังไงก็เลยใช้เป็นข้ออ้าง

เกรเทลทำไมตรงนี้ยังมีฝุ่น

เกรเทลทำไมไม่ซักผ้าปูโต๊ะ

เกรเทลทำไมไม่ขัดพื้นตรงบันได

เกรเทลทำไมตรงนี้ยังมีขยะอยู่

เกรเทลทำไมซักผ้าแล้วมีกลิ่นอับ

คำก็เกรเทล สองคำก็เกรเทล เธอแทบจะว๊ากใส่หน้าเจ้านายผมเขียวอยู่เต็มประดา ถ้าไม่ติดว่าสถานะตนเองในโลกนี้เป็นเพียงแค่ทาส คงด่าไปหนึ่งยกให้หายอึดอัดใจ นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเรื่องผีสางภายในบ้านวอลล็อคก็ยังไม่ได้จางหายไปไหน เธอยังคงเห็นมันผ่านไปผ่านมาบ่อย ๆ จะบอกว่าชินก็ชิน จะบอกว่าไม่ชินก็ไม่ใช่ ไม่มีนิยามคำไหนที่เหมาะกับเหตุการณ์ในครั้งนี้

การต่างคนต่างอยู่ไม่สนใจจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ มิฉะนั้นแล้วเธอคงได้ประสาทกินไปก่อน สภาพร่างกายของเธอค่อย ๆ กลับมาแข็งแรงขึ้นทีละนิดทีละน้อย ข้อแขนและขาดูมีน้ำมีนวลขึ้นแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทันตาคงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน ในคืนหนึ่งที่เธอกลับไปบ้านพักเธอได้ถามหาตาชั่งน้ำหนักจากอารอล์ฟเพราะอยากรู้ว่าปัจจุบันเธอมีน้ำหนักแค่ไหน

อารอล์ฟเลยลุกไปขอยืมตาชั่งน้ำหนักมาจากหน่วยแพทย์ที่อยู่โซนท้ายค่ายมาให้ พอตาชั่งมาถึงร่างเล็กก็ก้าวขาขึ้นไปเหยียบบนแท่งสี่เหลี่ยมโลหะ เข็มหน้าปัดค่อย ๆ ขยับเลยหมุนไปทางขวาอย่างรวดเร็วแล้วเด้งกลับไปหยุด ณ ขีดตัวเลขที่พานทำให้เธอช็อกสุด ๆ เพราะก่อนที่เธอจะตื่นมาที่โลกนี้ เธอเคยมีน้ำหนัก 47 กิโลกรัม แต่ผลปรากฏว่าร่างนี้น้ำหนักเพียงแค่ 34 กิโลกรัมเท่านั้น

นี่ฉันยังเป็นคนอยู่ไหม?

อารอล์ที่ยืนอยู่ข้างกันยังทำสีหน้าอึ้งออกมาพร้อมทั้งอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็นบนหน้าปัด น้ำหนักเธอเบาพอ ๆ กับเด็กอนุบาลหรือเด็กตัวเล็ก มิน่าคนงานที่นี่เวลาเห็นเธอไปช่วยทำงานทีไร ต่างคนต่างทำสีหน้าเป็นห่วงกังวลกลัวว่าเธอจะล้มลงพื้นซะงั้น เพิ่งมาเข้าใจก็วันนั้นว่าเธอต้องจริงจังกับการดูแตัวเองให้ดี จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเธอถึงไม่เคยขาดการกินอาหารให้ครบทุกมื้อ

วอลล็อคยังชอบแซวว่าเธอกินเก่งมากพักหลัง ไม่เคยเห็นขาดอาหารเลยสักมื้อ ใจเธอไม่อยากสวนกลับเขาไปว่าลองตัวเองมาน้ำหนักแค่ 34 ดูไหมจะได้รู้ว่าสภาวะขาดสารอาหารเป็นยังไง

เมื่อเช้าเธอยืนพูดคุยกับป้ากันนาร์ว่า วันนี้มีวัตถุดิบอะไรที่เธอสามารถเอามาทำอาหารได้บ้าง ยืนคุยอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงเนื่องจากคนส่งของมาล่าช้า ทำให้โรงครัววันนี้วุ่นวายกันไปหมดเพราะกลายเป็นว่าจะเตรียมอาหารไม่ทันมื้อเช้าให้คนงานกิน

ก่อนที่เธอจะหอบข้าวของไปบ้านพักเจ้านาย บาสเตียนเล่าให้เกรเทลฟังระหว่างสับเนื้อหมูว่านายใหญ่วอลล็อคเป็นคนเข้มงวดเรื่องเวลามาก ยิ่งเรื่องการส่งมอบสินค้าเคี่ยวยิ่งกว่าเจ้าหนี้ด้วยซ้ำ นอกจากเป๊ะเรื่องเวลาแล้วเขายังสามารถตามล่าจัดการคนงานที่แอบลักลอบค้าทาสเองอย่างลับ ๆ ได้ภายในไม่กี่นาที หูตาเขากว้างไกลจนเป็นที่โจษจันว่าเขาแอบเลี้ยงผีไว้ข้างตัว ร่างบางยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกถึงการเชื่อมโยงจนเกิดภาพปะติดปะต่อว่าที่บ้านพักเขามีผี

แบบนี้ก็แสดงว่าเขาเลี้ยงผีเอาไว้จริง ๆ เหรอ?

แต่สำหรับเกรเทลเธอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ในเมื่อทำงานอยู่ในบ้านนั้นมา 3 อาทิตย์ นอกจากเธอมักได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาเป็นระยะ ข้าวของก็ชอบไหลตกลงมาจากชั้นวาง ไม่รวมกับการเจอสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘งู’ เธอก็ไม่เห็นว่ามีอะไรน่ากลัวอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันเลยสักอย่าง

มันต้องมีที่มาที่ไปแน่ ๆ แต่ใครมันจะสร้างเรื่องขึ้นมาให้คนอื่นกลัว นอกเสียจากว่าใครบางคนไม่ต้องการให้คนอื่นเข้าใกล้ของบางอย่าง เด็กสาวคิดภายในหัวระหว่างก้าวเท้าไปตามทางเดินว่าภายในบ้านมันมีอะไรซ่อนไว้หรือเปล่า แต่เธอไม่มีความกล้ามากพอที่จะมาสวมบทบาทเป็นคนขี้เสือกค้นบ้านพักเจ้านายหรอก เกิดโดนจับได้ขึ้นมาคนที่โดนหมายหัวคงไม่พ้นเธอ

คำโบราณกล่าวไว้อย่าสอดรู้สอดเห็นให้มากเดี๋ยวนำภัยมาสู่ตัว

เกรเทลเดินผ่านต้นไม้วิลโลว์ขนาดใหญ่ ทุกครั้งเธอจะรู้สึกถึงบางอย่างภายในใจ ส่วนลึก ๆ เหมือนมีก้อนขุ่นมัวที่มองไม่เห็น นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกแต่คลับคล้ายคลับคลาจนกระตุกต่อมการรับรู้ อย่างที่คนเขาเรียกกันว่าประสบการณ์เดจาวูละมั้ง เธอว่าเคยเห็นต้นไม้ต้นนี้มาก่อนแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรตอนไหน อาจจะในความฝันช่วงไหนสักช่วงที่เธอนอนหลับ ความเคลือบแคลงใจทำให้เธอตัดสินใจเท้าเล็กหันเปลี่ยนทิศทางไปทางต้นวิลโลว์แทน

…เข้างานช้าหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง…

ร่างบางเดินเหยียบเหล่าก้อนหิน ก้อนกรวด เศษไม้ใบ ใบหญ้าแห้งจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ พอเข้าใกล้ลำต้นเธอต้องค่อย ๆ เหยียบไปตามรากต้นไม้ใหญ่ทีละรากด้วยความใจเย็น เพราะรากขนาดใหญ่ได้ชอนไชขึ้นมาบนดิน เบียดเสียดทุกระเบียบนิ้วจนไม่มีพื้นที่ราบเรียบให้เดินอย่างมั่นคง

พอมาถึงโคนต้นเธอจัดการวางอุปกรณ์ข้าวของไว้บนพื้นหญ้าชั่วคราว เกรเทลเดินสำรวจรอบต้นไม้อย่างละเอียด เมื่อลองเดินอ้อมมาด้านหลังเธอก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างสลักอยู่กลางลำต้น ถ้าหากไม่เพ่งสายตามองดี ๆ ก็แทบจะจางหายไปกับเปลือกไม้ เนื่องด้วยต้นไม้มีการเติบโตและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งลมฟ้าลมฝน ทว่าภาพที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้าทำให้เธอประหลาดใจปนช็อกหนักกว่าเดิม

GWR forever ♡

อักขระที่เรียงตัวจากซ้ายไปขวาพร้อมรูปหัวใจปิดท้ายประโยค มันเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษในโลกของเธออย่างแน่นอน เกรเทลฝึกคัดตัวหนังสือที่หยิบมาจากชั้นของวอลล็อคทุกวัน เห็นมาทุกรูปแบบทุกอักขระ ซึ่งไม่มีตัวอักษรไหนเลยที่เหมือนตัวหนังสือในโลกเธอ

คำถามต่อมาคือใครเป็นคนเขียนขึ้นมา สำหรับเกรเทลที่ยังไม่ค่อยเข้าใจความเป็นอยู่ของโลกที่อยู่นี้ การได้เห็นอะไรที่มาจากอีกโลกของเธอเองมันสร้างความตื่นเต้นเหมือนได้พบเพื่อนเก่าที่ห่างหายกันไปนานแล้วมาเจอกันใหม่

นั่นหมายความว่าเคยมีคนมาแบบเธออีกใช่ไหม? เกลเทลรู้สึกมีความหวังขึ้นมาแบบริบหรี่ เธอเองไม่อยากคาดหวังเยอะเพราะดูจากสภาพตัวอักษรที่ขีดเขียนลงบนลำต้นน่าจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว มันเลือนรางจนแทบอ่านไม่ออก เธอคิดไว้แล้วว่าต้องลองตามหาคนคนนี้ให้เจอ แต่ใครล่ะที่จะสามารถตอบคำถามเธอได้

คงไม่พ้นเป็นนายใหญ่แห่งตลาดค้าทาสวอลล็อค

พอมาคิดดูอีกทีเธอมั่นใจว่าเขาไม่มีทางตอบคำถามเธอดี ๆ หรอก หมอนั่นชอบต่อรองไม่ยอมโดนเสียเปรียบแน่ ฉะนั้นเธอต้องคิดหาวิธีอื่นในคืนนี้ ว่าแล้วเธอก็เงยหน้าอ่านคำบนต้นไม้อีกครั้งก่อนจากไปเพื่อทำความสะอาดบ้านเจ้านายตนเอง

GWR หมายถึงอะไร? หรือเป็นตัวย่ออะไรบางอย่างเพราะสมัยเธอเด็ก ๆ ก็เคยเห็นเพื่อนชอบเขียนชื่อเล่นบ้าง ชื่อคนนู้นคนนี้บ้าง ลงตามสิ่งของ เบาะหนัง เก้าอี้ โต๊ะเรียน ทุกอย่างที่จะเขียนลงไปได้จนครูต้องคอยไล่ดุและสั่งให้ลบออกบ่อยครั้ง เกรเทลคิดว่าคงไม่พ้นเป็นชื่อย่อคนไม่ก็ชื่อกลุ่มเพื่อนรักมากกว่า

เด็กสาวละความสนใจจากข้อความแล้วเตรียมเข้างาน ขาเล็กค่อย ๆ ก้าวเท้าเหยียบรากต้นไม้เพื่อเดินอ้อมกลับมาด้านหน้าอีกครั้ง เมื่อเกรเทลเงยหน้าขึ้นมาเป็นอันต้องผงะตกใจเกือบหงายหลัง ดีที่มือเธอไวคว้าจับลำต้นไ้ม้ไว้ได้ เพราะวอลล็อคยืนทำสีหน้าถมึงทึงยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่

ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าทำไมวันนี้เจ้าเด็กทาสมันเข้ามาบ้านพักเขาช้ากว่าปกติ ตั้งแต่มันเข้ามาทำงานในค่ายแห่งนี้เขายังไม่เคยเห็นว่ามันจะมาสายเลยสักครั้ง จึงตัดสินใจเดินออกมายืนรอดูหน้าบ้านแทน ขายาวก้าวไม่ทันถึงระเบียบหน้าบ้านดี สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างผอมร่างแห้ง ๆ เดินกระโหยงกระเหย่งไปมาบนรากต้นไม้

วอลล็อคแปลกใจว่าทำไมเจ้าหนูนั่นไปทำอะไรแถวต้นไม้วิลโลว์หน้าบ้านเขา ไม่ยอมเข้างานสักที พอเห็นว่ามันยืนสำรวจรอบต้นไม้อยู่ได้สักพักใหญ่โดยไม่มีทีท่าว่าจะเดินออกมา เขาจึงเป็นฝ่ายเดินไปหามันด้วยตนเองแล้วยืนจังก้ารออยู่ด้านต้นไม้ นอกจากที่มันมีฝีปากกล้าต่อล้อต่อเถียงกับเขาเป็นบางครั้งบางคราวก็ไม่คิดว่ามันจะใจกล้าเข้างานสายไปด้วย

“น…นายมายืนทำอะไรตรงนี้ขอรับ”

เกรเทลพยายามดึงร่างตนเองให้กลับมายืนให้ตรงหลังจากเสียศูนย์ไปเมื่อครู่ เธอไม่คิดว่าหมอนี่จะมายืนรอเธอตรงนี้ด้วยซ้ำ ปกติเขาจะทำธุระส่วนตัวอยู่ในบ้านหรือทำงานของตนเองสักพักก่อนออกไปคุมงานในค่ายต่อ

“ข้าก็รอเจ้ามาเข้างานนั่นแหละ แต่ไม่เห็นหัวสักที”

“เออ…ขอโทษด้วยขอรับ ข้าจะรีบไปแล้ว”

ร่างเล็กรีบก้มขอโทษขอโพยเกือบเก้าสิบองศา เธอไม่คิดว่าตนเองจะช้าขนาดนั้นเพราะคิดแวะมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่จากที่ฟังวอลล็อคพูดเธอคงหายไปนานจริง ๆ แหละ เขาถึงมาตามด้วยตนเองแบบนี้ เกรเทลก้มตัวลงเพื่อหยิบเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ใส่มืออันน้อยนิด แล้วรีบจ้ำเท้าวิ่งเข้าบ้านพักไปโดยไม่ทันได้ฟังสิ่งที่วอลล็อคกำลังจะถาม

“เดี๋ยวเจ้า…”

นายใหญ่ตลาดค้าทาสพูดได้เพียงสองพยางค์เจ้าตัวก็วิ่งหายไปแล้ว บทจะไวก็ไวจนตามไม่ทัน บทจะลีลาก็ลีลาชักช้า ใบหน้าหล่อถอนหายใจทิ้งกับความเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของคนในปกครอง ก่อนที่จะเดินตามเด็กหนุ่มร่างผอมเข้าไปในบ้าน เขาได้หันไปมองต้นไม้ใหญ่วิลโลว์อีกครั้ง พลันนัยน์ตาเกิดสั่นวูบไหวไปมา พอกะพริบตาอีกครั้งมันก็อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว เขาสั่นหัวเรียกสติแล้วเดินถอยห่างออกมาเพื่อตรงไปยังบ้านพักตนเอง

เมื่อก้าวเข้ามาในบ้านเขาก็เห็นเจ้าเด็กหนูทาสกำลังขยับจัดเก็บข้าวของในบ้านเหมือนทุกวัน ช่วงนี้เขาชินกับการที่มีมันอยู่ในบ้าน นอกจากเสียงดังเจื้อยแจ้วของมันที่ชอบถามนั่นนี้ไปเรื่อย เวลาว่างจากการทำความสะอาดบ้านเขาก็จะเห็นมันเอาหนังสือของเขาที่วางอยู่บนชั้นหนังสือหยิบลงมาเปิดอ่านกับนั่งคัดตัวอักษรตามหนังสือลงในเศษกระดาษที่เขาทิ้งลงถังขยะไป

เขาทนเห็นสภาพเจ้าหนูทาสพยายามขีดเขียนตัวอักษรอัดเบียดเสียดแน่นเต็มแผ่นกระดาษอันน้อยนิดไม่ไหว จึงต้องเดินขึ้นไปบนห้องหยิบเอากระดาษที่ไม่ค่อยได้ใช้มาให้มันบ่อย ๆ แม้ว่าเขาจะรับปากไปว่าจะสอนหนังสือให้ แต่ช่วงนี้เขายังไม่ว่างนักจึงขอเลื่อนไปก่อน

เห็นแล้วมันขยันไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างก็พานทำให้เขารู้สึกชื่นชมไม่น้อย เป็นเด็กที่กระตือรือร้นและใฝ่เรียนรู้คนหนึ่ง ถ้าไม่ติดว่าเกรเทลมีสถานะเป็นทาสในทะเบียนมันคงมีอนาคตไกลกว่านี้แน่นอน

หลังจากวันนั้นที่เขาให้คนรู้จักที่อยู่สายใต้ดินไปสืบเรื่องรูปรอยสักที่ปรากฏบนแขนเจ้าเด็กนี่ ประมาณสามถึงสี่วันต่อมาก็ทำให้เขารู้ว่ามันเป็นรอยตีตราเวทมนตร์ชนิดหนึ่ง มันเป็นมนตร์โบราณต้องห้ามที่ปัจจุบันไม่มีใครรู้จักหรือรู้วิธีใช้งานมันเพราะมันได้หายสาบสูญนับร้อยปี น่าแปลกที่มาปรากฏอีกครั้งบนตัวเจ้าเด็กทาสนี่

นอกจากนี้ยังเคยถูกใช้ในสงครามกลางเมืองเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน เพื่อกวาดล้างผู้รุกรานที่เป็นอันตรายต่ออาณาจักร สิ่งหนึ่งที่พอจะหลงเหลือข้อมูลให้พวกเขารับรู้คือพลังของมันมีมากพอที่จะลบล้างเวทมนตร์บนโลกได้ทุกชนิด เท่านั้นไม่พอยังมีไว้เพื่อปกปักรักษาคุ้มครองเจ้าของที่ตีตราและผู้ใช้งานด้วย โดยมันจะเปลี่ยนภัยอันตรายรอบตัวเป็นเกราะบาเรียบาง ๆ คลุมร่างเอาไว้

หากมันเคยหายสาบสูญไปแล้วงั้นแสดงว่ายังหลงเหลือคนที่รู้วิธีใช้งานมัน เขาเพิ่งมานึกออกตอนอ่านเอกสารรายงาน ว่าตนเองเคยเห็นตรานี้จากหนังสือเวทมนตร์โบราณต้องห้ามในห้องสมุดประมาณสิบปีที่แล้ว วอลล็อคยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีกเกี่ยวกับเด็กคนนี้

“นายขอรับ วันนี้ข้าจะเอาผ้าไปซักเพิ่มท่านมีผ้าที่จะซักอีกหรือเปล่า”

เสียงแหบต่ำที่เริ่มหวานขึ้นเอ่ยทักทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิด จะว่าไปแล้วเขาเพิ่งมาสังเกตคนตรงหน้าดี ๆ เอง จากร่างผอมแห้งติดกระดูกตอนนี้ดูมีน้ำมีนวลขึ้นเล็กน้อย แก้มที่เคยตอบก็พองขึ้นนิดหนึ่ง แต่น่าแปลกน้ำเสียงของเจ้าหนูเหมือนแหบน้อยลงกว่าเดิมหรือว่าเขาจะคิดไปเอง

“มีเสื้อคลุมสีดำแขวนอยู่ตรงบานประตูเจ้าเอาไปซักด้วยเลยแล้วกันนะ”

ร่างบางพยักหน้าเข้าใจพร้อมเดินไปยังจุดที่เขาแขวนเสื้อคลุมเอาไว้ เพราะตัวเธอเตี้ยกว่าระดับที่แขวนเล็กน้อยจึงต้องเขย่งปลายเท้าเพื่อเอื้อมมือขึ้นไปคว้าเสื้อคลุมสีดำลงจากที่แขวน

“เกรเทล”

เมื่อเธอหันหน้ามาเป็นอันต้องตกใจรอบที่สองของวันเพราะอยู่ดี ๆ ชายหนุ่มก็เดินมายืนซ้อนประชิดตัวเธอด้านหลังเงียบเชียบไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียงจนเกือบเซล้ม ดีแค่ไหนที่อีกฝ่ายมือไวคว้าจับต้นแขนเธอทันจึงไม่ล้มลงไปก่อน

“น…นายมีอะไรหรือเปล่าขอรับ”

ใจเธอเต้นตึกตักแทบใจหายใจคว่ำไปกองที่พื้น แม้ว่าจะพอมีภูมิคุ้มกันจากผีในบ้านเจ้านายมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใจแข็งตลอดเวลา เธอคิดว่าตัวเองขวัญอ่อนลงด้วยตั้งแต่อยู่ที่นี่มาหลายอาทิตย์ แล้วอีตาหัวเขียวเขามายืนทำซากอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปทำงานทำการของตัวเองจะมายืนเกะกะเพื่อ

“ข้าเป็นประเภทที่ไม่ยอมเสียเปรียบฝ่ายเดียว แต่ข้ามีคำถามแลกกับเจ้าขออะไรจากข้าได้หนึ่งข้อ”

ร่างเล็กเลิกคิ้วขึ้นสูงทำหน้าเหวอออกมาได้ครู่หนึ่งแต่ก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นปกติ พลันในหัวก็คิดไปด้วยว่าทำไมอีตาหัวผักเขียวถึงถามแบบนี้ออกมา เธอระแวงเขาตาก็จับจ้องมองหน้าอีกฝ่ายไม่กะพริบปากก็เอ่ยถามกลับ

“หะ…ถามข้าเหรอ? ท่านมีเรื่องอะไรเหรอ”

วอลล็อคเลียริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจออกมา ไอ้เจ้าหนูนี่พอมันจะฉลาดก็ฉลาด พอจะบื้อก็บื้อไม่เข้าใจ  ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ยื่นข้อเสนอแบบนี้ให้มัน เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวและชอบเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด

ทว่าครั้งนี้ปากเขาดันไวไปหน่อย ในเมื่อพูดไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตนเอง

“เออข้ามีเรื่องสงสัยนั่นแหละแลกกับขออะไรจากข้าได้หนึ่งอย่าง เข้าใจยากตรงไหน”

ไม่ได้เข้าใจยากสักหน่อย เพียงแค่เธอสงสัยว่าทำไมเขาถึงให้ข้อเสนอที่ดูยุติธรรมแปลก ๆ ออกมา จากที่เธอคลุกคลีอยู่กับเขามาหลายอาทิตย์ หมอนี่เป็นประเภทบุคคลที่ไม่ควรคบค้าสมาคมด้วยมากที่สุด แถมในตอนนี้เธอก็มีสิ่งที่อยากขอเขาอยู่ด้วยพอดี คือเรื่องต้นไม้วิลโลว์ตนนั้น เพียงแต่ว่ามันจะคุ้มไหมที่จะบอกหรือขอเขาไป

ถ้าเขาตอบคำถามของเธอไม่ได้ล่ะ? เธอจะไม่เสียข้อเสนอไปฟรี ๆ เลยเหรอ ร่างเล็กเกิดความลังเลเม้มริมฝีปากแน่น แต่สุดท้ายเกรเทลคิดว่าเธอจะเก็บคำขอร้องเอาไว้ใช้ทีหลัง

“ได้ขอรับ ท่านถามข้ามาได้เลย…แต่ข้าขอเก็บคำขอไว้ใช้ทีหลังนะขอรับ ข้ายังไม่มีเรื่องที่อยากได้ในตอนนี้” เธอตอบเขากลับไป

“อืม”

ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจทำให้ผมสีเขียวเด่นตกลงมาปรกหน้าเล็กน้อย ก็ดีเหมือนกันถ้ามันยังไม่มีเรื่องที่อยากได้ในตอนนี้เขาก็จะไม่เร่งมัน เขามีแต่ได้กับได้ในตอนนี้ เมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้าดูพร้อมตอบเขาก็เอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ออกไป

“ข้าอยากถามว่ารอยสักที่แขนเจ้าได้มันมายังไง?”

สิ้นคำถามของวอลล็อคคนตัวเล็กก้มลงมองที่ข้อแขนตนเองที่มีแขนเสื้อยาวปิดลงมา เธอไม่คิดว่าเขาจะสังเกตเห็นรอยสักที่ข้อมือด้วยซ้ำ ตลอดเวลาที่อาศัยที่นี่เธอไม่เคยถลกเสื้อโชว์แขนให้ใครเห็นทั้งนั้นแม้กระทั่งรูมเมตเธออารอล์ฟ

เธอมักเดินไปขอเสื้อแขนยาวจากแผนกตัดเย็บเสื้อผ้าคนงานเป็นประจำ เนื่องจากไม่ชินที่เห็นข้อมือตนเองมีรอยสักขนาดใหญ่พาดอยู่บนแขน แม้จะไม่ใช่ร่างของเธอจริง ๆ แต่เธอก็ไม่ชินกับมันเสียที

“อันนี้เหรอขอรับ”

เธอตัดสินใจถลกเสื้อแขนยาวโชว์ให้อีกฝ่ายเห็นเต็ม ๆ ตา ในเมื่อเขาถามออกมางั้นแสดงว่าเขาเห็นมันแล้วงั้นสินะ เธอไม่ติดอะไรอยู่แล้วถ้าคนจะขอดูหรือถามถึงมัน ก็แค่รอยสักไม่ได้มีอะไรสำคัญ

เป็นครั้งแรกที่วอลล็อคเห็นลวดลายมันชัดเจนทุกอณูเส้นสายเถาวัลย์กุหลาบ แม้ว่าเขาจะเคยแอบมองไปหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ ครั้งนี้หากเพ่งมองดี ๆ จะเห็นว่าภายในเส้นเถาวัลย์มีอักขระแปลก ๆ ขยับเคลื่อนไหวไปมาน่ากลัว ถ้าไม่ใช่คนที่มีสายตาพิเศษแบบเขาก็จะเห็นเป็นแค่รอยสักธรรมดาทั่วไป

เขาลากสายตาจากรอยสักขึ้นมามองหน้าเด็กหนุ่ม จึงเห็นว่าเจ้าหนูมีสีหน้าลำบากใจเหมือนลังเลที่จะตอบ แต่สุดท้ายก็อ้าปากพูดในสิ่งที่เขาไม่คิดว่ามันจะกล้าตอบกลับมา

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ”

“…”

“คือว่าตอนข้าตื่นขึ้นมาก็มีมันแล้ว”

เกิดความเงียบท่ามกลางคนสองคนในบ้าน ถ้าไม่นับผีที่เกรเทลคิดว่ามีในบ้านด้วยก็เป็นความเงียบที่น่าขนลุกพอสมควร เธอไม่รู้ว่าได้มันมายังไงแล้วจะให้เธอโกหกเหรอ แบบนั้นมันจะไปเนียนตรงไหน เธอโกหกไม่เก่งในไม่ช้าเดี๋ยวก็โดนจับได้เข้าสักวัน

“เจ้าบอกว่าไม่รู้ว่าได้มันมายังไงหรือ?”

ชายหนุ่มถามทวนอีกครั้งเพื่อความชัวร์ ว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่อีกฝ่ายไม่ได้ล้อเขาเล่น

“ขอรับ”

ใบหน้าหล่อได้รูปขมวดคิ้วเป็นปม ยกมือขวาขึ้นลูบหน้าตนเองเพื่อเรียกสติแล้วถอนหายใจออกมาเสียงดังจนเกรเทลกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้าตื่นขึ้นมาก็มีมันแล้วหรือไง”

เขาพยายามตั้งสติกลับมาเพราะไม่คาดคิดว่ามันจะตอบแบบนี้ อุตส่าห์คาดหวังว่าจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มแต่ดันเหมือนเดิมไม่มีผิด เฮ้อ

“เออ…ใช่ขอรับ แต่ข้าพูดจริง ๆ นะก็ข้าไม่รู้ว่ามีมันได้ยังไง”

ท้ายประโยคร่างเล็กพูดบ่นอุบอิบในลำคอกลัวเจ้านายกินหัว เพราะสภาพสีหน้าอีกฝ่ายดูอึ้งปนน่ากลัวเหมือนหมดคำพูดแต่ก็อยากพูดอะไรสักอย่างใส่เธอ ส่วนทางวอลล็อคจับสีหน้าท่าทางของเจ้าหนูทาสไม่ได้ละสายตาไปไหน เขาไม่รู้สึกเลยว่าเจ้าเด็กนี่กำลังโกหกเขาอยู่ เหมือนทุกคำพูดมันพูดออกมาจากใจจริง ๆ อย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้โกหกข้าอยู่?”

ทว่าเขายังไม่ยอมแพ้ ปากจึงเอ่ยถามเน้นย้ำออกไปรอบสุดท้ายเพื่อความชัวร์

“นายขอรับ…ถ้าข้าจะโกหกนะ ข้าโกหกว่าได้มันมาจากไหน แล้วพอนายถามเข้าเยอะ ๆ แบบนั้นข้ายิ่งตอบไม่ได้มากกว่าอีก คนโกหกกับคนไม่โกหกมันดูไม่ยากไม่ใช่หรือขอรับสำหรับนาย”

เด็กสาวตอบไปตามตรงเพราะกิตติมศักดิ์อันเลื่องลือของวอลล็อคธรรมดาเสียที่ไหน เธออยู่ที่นี่ได้ยินมาหมดแล้วเพราะคนงานมาเม้าท์ฝอยให้ฟังทุกวี่ทุกวัน ทั้งเรื่องดีและไม่ดีของนายใหญ่ตลาดค้าทาสโมเบียสออกจะสุดยอดหาที่ใดเทียบเคียง!

แค่เธอโกหกเขาไปคำแรกเขาก็รู้แล้ว ไม่ต้องต่อไปถึงประโยคสองหรือสามหรอก เสียเวลาเปล่า ๆ บอกเขาไปตามตรงนี่แหละดีแล้ว ไม่เสี่ยงโดนไล่ออกหรือถูกขายทิ้งก็บุญหัวยิ่งนัก

------

คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ

หากพบคำผิด แก้ไขติชมโปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ

***

Talk with writer

เกรเทลนางยังอยากกลับบ้านอยู่นะคะ แม้เห็นว่านางอยู่ทำงานแบบนี้ไปวัน ๆ ก็ตามแต่นางยังโหยหาวิธีกลับอยู่ ไรท์อาจจะเขียนไม่ได้ละเอียดหรือเล่าความรู้สึกนางเยอะนักเพราะมันคือเขียนแล้วอัพลงเลย(ด่วน) ฉะนั้นมีรีไรท์อีกรอบก่อนวางขายแน่นอนค่ะไม่ต้องห่วง😆

ดิฉันรู้ค่ะว่ามีคนอยากอ่านแบบยาว ๆ เพราะแบบคาใจว่าตกลงหนทางชีวิตน้องจะเป็นยังไง แอบกระซิบเลยนะคะว่าสามารถฉิบหายได้มากกว่านี้อีกค่ะ5555 ถ้าช่วงนี้ถ้าไรท์หายไปวันสองวันไม่ต้องตกใจนะคะ เร่งปั่นเล่ม E-book ให้อยู่อดใจรอกันนิดนึงนะคะ//ไหว้ย่อ

ใด ๆ ขำความไม่รู้ของหนูเกรเทลอารมณ์แบบก็หนูไม่รู้อ่ะ พ่อจะให้หนูตอบว่ารู้มันก็ไม่ได้ไง!! ช่วงแรก ๆ เอาแค่น้ำจิ้มพอหอมปากหอมคอเดี๋ยวรี้ดขาดใจไปก่อน มาอยู่ร่างใครก็ไม่รู้แถมจะพ่วงความบรรลัยตามมาอีก เราค่อยไปอัดเนื้อหาเข้มข้นกันตอนกลางเรื่องแทนค่ะ5555

****

แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัพเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่

Facebook : C.T.Tiana

X (Twitter) : @Ccttiana

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด